ลมหิมะค่อยๆ เบาบางลง แต่ที่ราบหิมะเงียบสงบได้ไม่นาน พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน ก้อนหิมะค่อยๆ คลายตัวออกจากกัน เนื่องจากกองทัพมารจำนวนมากเคลื่อนผ่านไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็วเพื่อไล่ล่าซูหลีต่อ เงามืดในท้องฟ้าค่อยๆ เคลื่อนตัวกลับไปยังเมืองหิมะโบราณ
คนชุดดำกลับมายืนอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดยมีขุนพลมารหลายคนยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลัง ที่ราบหิมะเงียบงันอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีเสียงดังใดๆ ผู้สูงส่งเผ่ามารเหล่านี้คล้ายไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ใครจะคาดคิดเล่าว่าผู้แข็งแกร่งจากดินแดนต้าลู่ทางตอนใต้ผู้นั้นจะเป็นคนเช่นนี้
“การที่ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง พาลไม่เอาหน้าขึ้นมาดื้อๆ นั้น รับมือยากจริงๆ” เสียงของคนชุดดำยังคงไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนเคย ลมหนาวพัดมาพอดี ผ้าคลุมศีรษะมุมหนึ่งเลิกขึ้น เผยให้เห็นกรามล่างที่เขียวเล็กน้อย
เหล่าขุนพลมารก็คิดเช่นเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งอย่างซูหลี พลันมาใช้วิธีการหลอกลวงในเวลาเช่นนี้ ผิดจากที่พวกตนคาดหมายจริงๆ หรือนี่คือความหมายของคำว่าเมื่อตกต่ำย่อมไร้ซึ่งศัตรู?
คนชุดดำมองดูรอยเท้าที่ซูหลีทิ้งไว้บนพื้นหิมะ แล้วเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็พูดต่ออย่างไม่ยี่หระ “เขาบาดเจ็บสาหัสมาก แม้ประสบความสำเร็จจากการซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาของฝ่าบาท แต่สุดท้ายหนึ่งกระบี่นั่นต้องทำให้เขาหมดพลัง และไร้หนทางยืนหยัดต่อได้”
……
……
หนึ่งกระบี่ไม่สามารถไปไกลถึงหมื่นลี้จริงๆ แต่สามารถฟันค่ายกลต่างๆ ที่สร้างโดยเผ่ามารผู้แข็งแกร่งให้แหลกลาญ จนเห็นเส้นทางกระบี่หนึ่งสายที่ใช้เดินทางออกไปไกลหลายร้อยลี้ สามารถจินตนาการได้ว่าหนึ่งกระบี่นี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ขนาดไหน ดังเช่นคำพูดของคนชุดดำ แม้ผู้แข็งแกร่งอย่างซูหลีถือกระบี่ไว้ในมือ ก็ต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ
ห่างจากเมืองหิมะโบราณไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราวหกร้อยลี้มีแนวสันเขาหิมะอยู่แนวหนึ่ง อากาศอันหนาวเย็นมิได้ทำให้ทิวทัศน์กลายเป็นน้ำแข็งไปเสียหมด กลางสันเขายังปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีขาว ที่แท้เป็นเพราะในสันเขามีบ่อน้ำร้อนมากมาย ข้างบ่อน้ำร้อนบ่อหนึ่งจู่ๆ ก็มีลมหิมะพัดแรง ตามด้วยหิมะตกลงมาช้าๆ ร่างของซูหลีกับเฉินฉางเซิงค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ซูหลีเก็บกระบี่เข้าไปในร่มกระดาษทองเรียบร้อย มือขวาปัดละอองหิมะที่ปลิวลงมาตรงหน้าเบาๆ ด้วยท่าทีที่ดูสบายๆ และสงบนิ่งมาก เมื่อเทียบกันแล้ว เฉินฉางเซิงยังดูอ่อนล้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด มือของเขายังคงจับส่วนบนของร่มกระดาษทองไว้แน่นขณะนั่งอยู่กับพื้นหิมะ คล้ายขอทานน้อยกำลังขอข้าวกิน
“ทั้งๆ ที่หัวสมองล้ำเลิศ แต่ไม่รู้ทำไม พวกมารมักแสดงความโง่เขลาออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย ขุนพลมารพวกนั้นต้องพาคนไล่ล่ามาทางใต้แน่” ซูหลีหันมองเส้นทางขามาด้วยสายตาอันคมกริบดังกระบี่ทะลุทะลวงผ่านลมหิมะเป็นชั้นๆ โดยไม่รู้ว่าหยุดสายตาไว้ที่ใด พร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นท่าทีเย้ยหยัน
คำพูดนี้เขามิได้พูดกับเฉินฉางเซิง แต่พูดกับตัวเอง หรือกำลังปลอบใจตัวเองก็ว่าได้ ซึ่งเฉินฉางเซิงที่ยังไม่รู้เรื่อง พยายามลุกขึ้นยืนบนพื้นหิมะอย่างยากลำบาก แล้วว่า “ผู้อาวุโส ที่นี่อย่างไรก็ยังเป็นอาณาเขตเผ่ามาร ควรหนีไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
ซูหลีในตอนนี้คล้ายเพิ่งพบว่ามีชายหนุ่มอยู่ด้วย จึงเหลือบมองเขา แต่มิได้พูดจาอะไร และมิได้รีบหนีไปไหน กลับเดินไปยังบ่อน้ำร้อนที่อยู่ข้างๆ
เฉินฉางเซิงคลายมือจากร่มกระดาษทอง พลางมองดูเขาเดินไปโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้น เกิดเสียงมากมายดังขึ้นรอบๆ บ่อน้ำร้อน บางเสียงโหยหวน เหมือนเสียงคมกระบี่กรีดกลางอากาศ บางเสียงก้องกังวาน เหมือนเสียงค้อนตกลงบนก้อนหิน บางเสียงอึดอัดยิ่ง เหมือนคนกำลังพูดขณะอยู่ในทะเลสาบลึกพันจั้ง
สิ้นเสียงเหล่านี้ พลังปราณอันแข็งแกร่งหลายสายก็พุ่งออกจากร่างของซูหลี นั่นคือเจตจำนงกระบี่เหล็กของขุนพลมาร เจตจำนงวายุอัสนีของพลองเหล็ก เจตจำนงจากป่าอันสงบเงียบของคนชุดดำ ก้อนหินรอบๆ บ่อน้ำร้อนถูกเจตจำนงอันเย็นยะเยียบเหล่านี้ทำให้แข็งตัว แล้วก็แตกออก
เสียงแผดร้องของกระบี่ดังไปทั่วทั้งสันเขา! กระทั่งผิวน้ำร้อนในบ่อที่เดือดปุดๆ และเต็มไปด้วยไอร้อน ยังปรากฏรอยแตกมากมาย ผ่านไปเนิ่นนาน จึงคืนสู่ความสงบ
ซูหลีลงไปยืนในบ่อน้ำร้อนจนมิดหัวเข่า ชุดยาวของเขาเลิกขึ้น เห็นบาดแผลบนร่างนับไม่ถ้วน โลหิตไหลออกไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ พื้นที่ใกล้ๆ เมืองหิมะโบราณถูกกองทัพมารนับหมื่นปิดล้อม เขาถูกขุนพลมารสิบกว่านายล้อมสังหาร โดยมีกุนซือเผ่ามารอย่างคนชุดดำเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ร่วมด้วยปณิธานของราชามารที่กลายเป็นเงามืดปกคลุมอยู่บนท้องฟ้า นี่คือแผนสังหารที่ทรงพลังสุดในรอบหลายร้อยปี แต่ซูหลีก็ยืนหยัดอยู่ได้หลายคืนวัน
เสื้อผ้าของเขาไม่มีรอยขาด กระทั่งเกล็ดหิมะสักเกล็ดก็ไม่มี ท่าทางไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บ แต่ความจริงแล้ว เขาบาดเจ็บสาหัสมาก ขุนพลมารที่ถูกเขาสังหาร คนชุดดำที่ประมือกับเขา กระทั่งปณิธานของราชามาร ได้ฝากอาการบาดเจ็บอันน่ากลัวและจิตสังหารมากมายไว้ในตัวเขา
ทว่าอาการบาดเจ็บอันน่ากลัวและจิตสังหารเหล่านี้ ล้วนถูกปณิธานอันกล้าแกร่งและการบำเพ็ญเพียรที่ไม่ธรรมดาของเขาข่มเอาไว้ กระทั่งเขาได้ร่มกระดาษทองมาไว้ในมือ ชักกระบี่บังฟ้าออก ฟาดฟันท้องฟ้าจนเห็นเส้นทางสายหนึ่ง และใช้เดินทางมาถึงที่ที่ห่างไกลร้อยลี้ พอมั่นใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยชั่วคราว จึงไม่ยอมใช้พลังปราณแท้ข่มกลั้นต่อ
ดังนี้ อาการบาดเจ็บและจิตสังหารทั้งหมดจึงระเบิดออกในพริบตา
จิตสังหารส่วนใหญ่ถูกเขาดำเนินการบริจาคให้กับสันเขาหิมะแห่งนี้ ให้ฟ้าดินแบกรับแทนไป แต่อาการบาดเจ็บยังอยู่กับตัวเขา
ใบหน้าของเขาซีดขาว สีหน้าดูอ่อนเพลีย มีเพียงดวงตาที่ยังมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม
พอได้ยินเสียงกระบี่ครวญครางดังทั่วสันเขา ก็รู้สึกว่าจิตสังหารอันน่ากลัวและเย็นยะเยียบเหล่านั้นกระจายอยู่ด้านนอก ขณะมองดูร่างที่เต็มไปด้วยโลหิตของซูหลี และน้ำร้อนที่ค่อยๆ ถูกย้อมจนเป็นสีแดง เฉินฉางเซิงก็ตกตะลึงพึงเพริศจนหน้าถอดสี พลางถามด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ผู้อาวุโส…ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ซูหลีไม่ตอบคำถามเขา แต่ถามกลับว่า “ศิษย์เขาหลีซานที่อยู่สวนโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินฉางเซิงสั่นศีรษะ “ข้าไม่รู้”
ซูหลีเงียบ มองดูดวงอาทิตย์มืดหม่นที่อยู่ไกลออกไปจากสันเขา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เฉินฉางเซิงเป็นห่วงเขามาก จึงถามซ้ำ “ผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นไรแน่นะ?”
ซูหลีหันมองเขา พลางว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงคิดว่าตนเดาสถานะของผู้อาวุโสท่านนี้ถูก แต่ต่อมา การแสดงออกของผู้อาวุโสท่านนี้ช่างต่างกับในคำร่ำลืออย่างสิ้นเชิงจริงๆ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกสงสัยในชีวิตมนุษย์ และย่อมทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าตนอาจจะเดาผิด จึงถามอย่างลังเลใจ “เชิญผู้อาวุโสบอกกล่าว”
ซูหลีจึงว่า “ข้าคือซูหลี”
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าตนเดาถูก คิดไม่ถึงว่าตนเดาถูกจริงๆ
ด้วยไม่คาดคิดว่าอาจารย์ปู่เล็กในตำนานจะเป็นคนเช่นนี้
“แล้ว?” เขาถาม
ซูหลีไม่พอใจอยู่บ้าง จึงเอ็ด “ขั้นตอนนี้ไม่ถูกต้อง ลองใหม่อีกรอบ”
เฉินฉางเซิงอึ้งเล็กน้อย จึงว่า “เอ๋?”
ซูหลีมองตาเขา แล้วถามอีกครั้ง “ข้าคือใคร?”
เฉินฉางเซิงยังอึ้งอยู่ จึงว่า “ผู้อาวุโส ท่านคือ…ซูหลี อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน”
ซูหลีถามอีก “ในคำเล่าลือ ข้าเป็นคนอย่างไร?”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสท่านนี้จึงถามคำถามเหล่านี้ ขณะที่ร่างเต็มไปด้วยโลหิตและดูอ่อนล้าสุดๆ หลังคิดไปคิดมา เขาจึงยังคงตั้งใจตอบ “ท่านคืออัจฉริยะด้านเส้นทางกระบี่ที่หาตัวจับยาก บรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลในตำนาน”
คำวิจารณ์ที่พูดออกมาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ มักถูกคิดว่าเป็นคำเยินยอ แต่เฉินฉางเซิงพูดอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริง อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ตอนออกจากปากของเขา เห็นชัดว่ามีความจริงใจและน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้ซูหลีพอใจมาก
เขามองเฉินฉางเซิงพลางพูดอย่างปีติยินดี “เจ้าหนุ่ม แม้เจ้ามีพลังปราณยอดแย่ แต่นับว่ายังพอมีความรอบรู้บ้าง”
เฉินฉางเซิงในตอนนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอะไรดี พอมองเห็นโลหิตบนร่างเขาไหลออกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีกครั้ง “ผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นไรจริงๆ นะ?”
ซูหลียิ้มน้อยๆ แล้วว่า “เจ้าเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่า ข้าเป็นอัจฉริยะด้านเส้นทางกระบี่ที่หาตัวจับยาก บรรลุขั้นบำเพ็ญเพียรได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลในตำนาน”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ สามารถจำคำพูดของตนได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ตกหล่นสักคำ ดูแล้วน่าจะไม่เป็นอะไรมาก
“แล้วคนอย่างข้าจะเป็นอะไรไปได้อย่างไรเล่า?”
จากนั้นซูหลีก็พูดอย่างเบิกบานใจ
เวลาต่อมา เขาก็เหมือนเสาหินที่ถูกฟันหักอย่างไรอย่างนั้น ร่างพลันล้มไปข้างหน้า ล้มลงไปในบ่อน้ำร้อน
น้ำกระจายออกทุกทิศทาง น้ำร้อนที่ถูกย้อมเป็นสีแดงกระเพื่อมไม่หยุด ร่างของซูหลีลอยขึ้นลงอยู่ในน้ำไม่หยุด
สักพัก เฉินฉางเซิงค่อยเข้าใจ ผู้อาวุโสท่านนี้น่าจะสลบไป จึงรีบกระโดดลงไปในบ่อน้ำร้อน อุ้มเขาขึ้นมา แล้วนำไปไว้ที่ขอบบ่อ
เกือบจะขณะเดียวกับที่ร่างสัมผัสพื้นดิน ซูหลีก็เริ่มกรน การที่เขาสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ เหนื่อยล้ามากจริงๆ
ซึ่งเฉินฉางเซิงไม่รู้ในจุดนี้ เขามองดูผู้อาวุโสพลางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ
คำพูดที่เขาพูดเมื่อครู่เป็นความจริง
ในใจของผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นใหม่ ซูหลีแม้ไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแปดมรสุม และไม่ถูกยกย่องให้เป็นนักปราชญ์ แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตของพวกเขา กระทั่งคนหลงตัวเองและหยิ่งยโสอย่างถังซานสือลิ่วก็ยังไม่คัดค้าน เพราะเมื่อเทียบกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สังฆราชผู้นำทางจิตวิญญาณ จอมปราชญ์ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หรือเทียบกับผู้เฒ่าความลับสวรรค์ ผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์ในกลุ่มแปดมรสุม ผู้ประพฤติปฏิบัติตนตามกฎเหล่านี้แล้ว ผู้ซึ่งเดินทางรอบโลก ร่ายกระบี่ไปทั่วทุกสารทิศอย่างอาจารย์ปู่เล็ก ย่อมเป็นตัวแทนของอิสรภาพและเสรีภาพอย่างที่คนรุ่นใหม่ต้องการ
แต่แล้ว…อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานกลับเป็นคนเช่นนี้
เฉินฉางเซิงจำไม่ได้แล้วว่าตนคร่ำครวญแบบนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว
เขารู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก กระทั่งมากกว่าการปรากฏขึ้นของสระกระบี่หรือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสวนโจวอีก
ขณะมองดูซูหลีที่นอนหลับสนิทอย่างไม่แยแสสนใจใดๆ ฟังเสียงกรนดังสนั่นของเขา เฉินฉางเซิงพลันรู้สึกว่าซูหลีเหมือนถังซานสือลิ่วอยู่บ้าง
แล้วก็นึกถึงตอนถังซานสือลิ่ววิพากษ์วิจารณ์ตนกับสวีโหย่วหรงว่าเป็นพวกที่มักทำให้ผู้คนพูดไม่ออก
อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานท่านนี้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกตัวพ่อเลยน่ะสิ?