ไม่รู้เป็นเพราะบาดเจ็บสาหัส หรือแช่น้ำร้อนนานเกินไป ใบหน้าซูหลีจึงบวมเป่ง ตาปิดทั้งสองข้าง ไม่เหลือวี่แวววีรชนผู้กล้า ความเด็ดขาดที่เฉินฉางเซิงไม่สามารถมองตรงๆ ได้ในตอนแรกไม่รู้หายไปไหน กลับดูเหมือนคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน วิญญาณมังกรดำในกระบี่สั้นก็ลอยออก พุ่งสู่หยกสมประสงค์ที่ผูกติดอยู่กับเอวของเขา กลับมาไปเป็นมังกรดำที่ดูสมจริง แล้วจึงเหาะมาเกาะบนไหล่ของเฉินฉางเซิง มองดูรอบๆ ภูเขาหิมะ ก่อนถามขึ้นด้วยความงุนงง “ที่นี่ที่ไหน? เราออกจากสวนโจวแล้วหรือ?”
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะแล้วว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพอออกมาก็เจอกับเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้”
ตอนมังกรดำอยู่ในกระบี่สั้น มันทำได้เพียงรับรู้เรื่องราวจากโลกภายนอกผ่านจิตสัมผัสของเฉินฉางเซิง โดยไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น จึงถามอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องใหญ่อะไร?”
“ร่มกระดาษทองถูกผู้อาวุโสท่านนี้นำไปใช้ ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือกระบี่เล่มหนึ่ง…แต่นี่ไม่สำคัญเท่าตอนอยู่บนที่ราบหิมะ มีชายเผ่ามารที่สวมชุดดำทั้งตัว ซึ่งอาจเป็นกุนซือเผ่ามารในตำนานท่านนั้น พร้อมขุนพลมารอีกสิบกว่าคน ทุกคนล้วนเก่งกาจเหมือนเถิงเสี่ยวหมิงกับหลิวหวั่นเอ๋อร์ รวมทั้งเงามืดนั่น ข้าสงสัยว่าอาจเป็นราชามาร”
เฉินฉางเซิงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง มังกรดำได้ยินแล้วก็ตกใจจนพูดไม่ออก อย่าว่าแต่ตอนนี้มันเป็นเพียงวิญญาณมังกรดำที่อ่อนแอเลย แม้กลับสู่ร่างจริงของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง แล้วต้องมาเจอกับคนชุดดำ และบุคคลระดับสูงแบบราชามารเช่นนี้ ก็มีแต่ตายสถานเดียว
มันมองชายวัยกลางคนที่นอนสลบอยู่ข้างบ่อน้ำร้อนพลางถาม “แล้วมนุษย์ผู้นี้คือใคร? ทำไมถึงยังรอดชีวิตอยู่ แถมพาเจ้าหนีออกมาได้อีกด้วย?”
เฉินฉางเซิงตอบ “เขาก็คืออาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน ซูหลี”
พอได้ยินชื่อนี้ ร่างมังกรดำก็สั่นกึกๆ กั่กๆ หยกสมประสงค์ก็ทำท่าจะแตกหัก
เฉินฉางเซิงงุนงงจึงถาม “มีอะไรหรือ?”
มังกรดำหรี่ตามองซูหลีอย่างหวาดหวั่น พลางว่า “เขาแข็งแกร่งมาก”
เฉินฉางเซิงนึกถึงตอนอยู่บนที่ราบหิมะ ซูหลีจับด้ามกระบี่ซึ่งชักออกจากฝักเพียงครึ่งด้าม ก็สามารถสังหารขุนพลมารไปหนึ่งคน ซ้ำยังทำร้ายคนชุดดำบาดเจ็บอีก ในใจจึงคิดว่า แม้ผู้อาวุโสท่านนี้ชอบทำอะไรบ้าบอคอแตก แต่ถ้าพูดถึงลำดับขั้นบำเพ็ญเพียรและเส้นทางกระบี่ ย่อมแข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ เพียงแต่บรรพบุรุษมังกรดำก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อหังการเช่นกัน แล้วเหตุใดพอได้ยินชื่อเขา จึงมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้เล่า?
“ข้าไม่เคยเห็นเขาก็จริง แต่รู้ว่าเขา…สังหารมังกรไปมาก”
มังกรดำเหลือบมองร่มกระดาษทองในมือซูหลี ก่อนกลายร่างเป็นวิญญาณกลับเข้าไปซ่อนตัวในกระบี่สั้นอีกครั้งอย่างไม่ลังเลใจ โดยไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะเรียกอย่างไร มันก็ไม่ยอมออกมาอีก
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ จึงทำอะไรไม่ถูก และเมื่อหันมองซูหลีก็พบว่าขณะหลับสนิท ผู้อาวุโสท่านนี้ยังคงจับร่มกระดาษทองแน่น ไม่ยอมปล่อย
จากนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่ซูหลีถามก่อนสลบไป ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในสวนโจวตอนนี้เป็นอย่างไร คนเหล่านั้นหนีออกไปได้หรือไม่ เจ๋อซิ่วกับชีเจียน หรือเหลียงเสี้ยวเซียวศิษย์ทรยศพรรคกระบี่หลีซานที่สมรู้ร่วมคิดกับพวกมารยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ รวมทั้ง…นาง ตอนนี้เป็นอย่างไร? ปลอดภัยหรือเปล่า?
เรื่องเหล่านี้ทำให้เขากังวลและร้อนใจมาก อยากกลับเมืองฮั่นชิวหรือจิงตูโดยเร็ว อยากรู้ให้แน่ชัดว่าคนที่ตนเป็นห่วงเป็นอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกันจะได้บอกคนที่เป็นห่วงตนด้วยว่าตนปลอดภัยดี ไม่มีเรื่องใดมากล้ำกราย มิเช่นนั้น… ถ้าลั่วลั่วรู้เรื่องในสวนโจว ย่อมร้อนใจยิ่ง ทว่าตอนนี้เขาจะออกจากที่นี่อย่างไร?
ขณะฟังเสียงกรนดังลั่น พลางส่ายศีรษะไปมาอย่างหมดหวัง เขาก็คุกเข่าลงข้างกายซูหลี และเริ่มสำรวจดูอาการบาดเจ็บ… ถึงจะรีบอย่างไร เขาก็ไม่สามารถทิ้งผู้อาวุโสท่านนี้ไปโดยไม่ไยดี แม้เขาในตอนนี้เหนื่อยล้ามากเช่นกันก็ตาม พลังปราณแท้ถูกใช้จนหมดสิ้น แต่ก็ต้องยืนหยัดต่อ เพราะผู้อาวุโสท่านนี้ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว
เสื้อผ้าของซูหลีขาดวิ่น อาการบาดเจ็บปะทุออกมาหมดพร้อมเจตจำนงกระบี่ก่อนหน้านี้ ตลอดทั้งร่างจึงเต็มไปด้วยบาดแผลและร่องรอยการเผาผลาญพลังบริสุทธิ์ แม้เฉินฉางเซิงมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมและเปี่ยมประสบการณ์ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรลงมือรักษาอย่างไรดี
อีกทั้งตอนนี้รอบๆ ตัวเขาก็ไม่มีสมุนไพรใดๆ กระทั่งผ้าพันแผลก็ไม่มี สิ่งเดียวที่ใช้ได้คือ เข็มทองที่พันนิ้วมืออยู่
เข็มสีทองทะลวงบรรยากาศซึ่งอบอวลด้วยไอร้อน ก่อนปักลงบนคอของซูหลีอย่างแม่นยำ แล้วจึงค่อยๆ ฝังลงบนร่างของเขา
……
……
สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงใจชื้นขึ้นบ้างก็คือ หลังจากที่เขาฝังเข็มให้ไม่นาน ซูหลีก็ตื่น ดูไปแล้วลำดับขั้นบำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ อาการบาดเจ็บสาหัสไม่นับเป็นอะไร เช่นนี้ก็สามารถออกจากที่นี่ได้แล้วสินะ?
ซูหลีมองเขาอย่างเย็นชา ทั้งไม่แยแสและแปลกแยก คล้ายเห็นเขาเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เฉินฉางเซิงรับได้ในจุดนี้ ด้วยเดิมทีเขากับผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซานท่านนี้ก็เป็นคนไม่รู้จักกันอยู่ เพียงแต่แววตาในส่วนลึกของท่านมีความหยิ่งทระนง มองเขาดั่งมดปลวกก็มิปาน ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
จากนั้น ความเฉยชาและแปลกแยกของซูหลีก็ค่อยๆ จางหาย หรือเป็นเพราะเฉินฉางเซิงมิได้ฉวยโอกาสตีจากตอนที่เขาสลบไป ยังคงอยู่คิดหาวิธีรักษาอาการบาดเจ็บให้ ทำให้เขาค่อนข้างพอใจ
“เจ้าเป็นใคร?” เขาถามขณะมองเฉินฉางเซิง
ก่อนสลบ ซูหลีเคยถามคำถามนี้หลายครั้ง ดังนั้นเขาย่อมรู้คำตอบดี เพียงแต่การพูดเช่นนี้ทำให้เขาไม่เสียหน้า ประมาณว่าผู้ไร้เทียมทานเช่นข้า จะบาดเจ็บได้อย่างไรกัน พอนึกขึ้นได้ จึงถามชื่อออกมาแก้เก้อ
เฉินฉางเซิงคิดๆ ดูก็ตัดสินใจตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่เขายังไม่ทันตอบ ซูหลีก็พูดต่อ
“เจ้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่ข้าอยากพูดก็คือ แม้กระบี่เล่มนี้เดิมทีเป็นของข้า แต่เมื่อเจ้านำมันมามอบให้ข้ากับมือ ข้าก็ตัดสินใจถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เจ้าหนึ่งเพลง เป็นการขอบคุณ”
ซูหลีลุกขึ้นยืน มองดูร่มกระดาษทองในมือ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ทำให้เฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา เกิดลังเลใจขึ้นมา
ซูหลีมิได้หันมอง เพียงพูดเย็นชา “เจ้าไม่ต้องซาบซึ้งจนน้ำตาไหลหรอกนะ และทางที่ดีก็ไม่ต้องบอกต้นสังกัดของเจ้าว่าได้เจอข้าด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงเขา เฉินฉางเซิงก็ตอบอย่างไม่ลังเล “เฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง”
เฉินฉางเซิงชัดเจนดีว่าระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่หลีซาน หรือพูดให้ถูกก็คือตนกับพรรคกระบี่หลีซานมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีต่อกันนัก เรียกว่าแย่ดีกว่า เขาจึงไม่อยากโกหก อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยชอบท่าทีของผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซานท่านนี้นัก ดังนั้นจึงโพล่งขึ้น และโพล่งเสียงดังมากด้วย
ภูเขาหิมะหนาวเย็น บ่อน้ำร้อนเงียบเสียง
ซูหลียืนอยู่บนหินข้างบ่อน้ำร้อน พลางพูดเย็นชา “ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”
เฉินฉางเซิงมองดูแผ่นหลังของเขา พลางรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ก็ไม่รู้ว่าเอาพลังมาจากไหน จึงโพล่งไปอีกครั้ง
“เฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง”
ครั้งนี้เสียงของเขาดังกว่าเดิม น้ำเสียงก็นิ่งกว่าเดิม
ซูหลีค่อยๆ หันกายมา จ้องมองเขาอย่างเหยียดๆ แล้วว่า
“ดูไปแล้ว เจ้าเป็นคนที่ไม่รักษาโอกาสเอาเสียเลย”