สามารถบำเพ็ญเพียรบรรลุขั้นทะลวงอเวจีตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบหก อีกทั้งยังสร้างผลงานที่ถูกจารึกไว้ร่วมกับสวีโหย่วหรงแต่เยาว์วัย เฉินฉางเซิงเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เทียบกับผู้แข็งแกร่งแห่งยุคที่อยู่ในวัยเดียวกัน เขาก็ไม่ด้อยกว่าใคร แต่ตอนนี้ อย่างไรเขาก็เป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่ง
ช่องว่างระหว่างเขากับซูหลีห่างไกลกันมากดุจทะเล ต่อให้นำเทียนเหลียงหวังผ้อ ฮว่าเจี่ยเซียวจาง หรือเหลียงหวังซุน ผู้หลุดพ้นและมีฝีมือสูงส่งเหล่านี้โยนลงไปในทะเลทั้งหมด ก็ไม่มีทางถมทะเลให้เต็มได้ ในด้านการบำเพ็ญเพียร ซูหลีคือเทพ ส่วนเขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเทพ
การถูกผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งประหนึ่งทวยเทพวางตัวอบรม ถ้าเปลี่ยนเป็นวัยรุ่นอีกคน เกรงว่าคงโค้งตัวยอมรับผิด หรือไม่ก็นิ่งเงียบไม่กล้าพูดจา เฉินฉางเซิงในตอนนี้ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ร่างสั่นเทาเล็กน้อย แต่เสียงยังคงสงบนิ่งและยืนหยัด
“ข้าไม่เข้าใจความหมายของผู้อาวุโส”
เขาหวงแหนชีวิตดุจเวลา คิดว่าการพูดปดเป็นวิธีการสื่อสารที่สิ้นเปลืองมากอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงเลือกที่จะพูดความจริงเสมอมา และนี่ก็คือความจริง เขาไม่รู้ว่าโอกาสที่ซูหลีว่าคืออะไร เพลงกระบี่ที่เตรียมถ่ายทอดให้กับตนนั้น หรือจะเป็นโอกาสในการรอดชีวิตก่อนไปจากที่นี่?
ซูหลีมองเขาอย่างไร้อารมณ์พลางว่า “ข้าคือใคร?”
ครั้งนี้เฉินฉางเซิงซึ่งได้รับบทเรียนมาแล้ว ย่อมไม่เข้าใจผิดเหมือนตอนแรก แต่เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงปิดปากเงียบ ไม่ยอมตอบ
เห็นชัดว่าซูหลีผ่านสถานการณ์เช่นนี้มามาก จึงไม่มีความอึดอัดใจใดๆ บนใบหน้า เขาชี้หน้าตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ พลางถามเองตอบเอง
“ข้าก็คือซูหลีแห่งเขาหลีซาน”
เสียงของเขาพลันสูงขึ้นและเย็นยะเยือกสุดจะเปรียบ
“เพียงเหลือบมอง ข้าก็เห็นวิชาที่ชายชุดดำใช้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว หรือจะยังมองไม่ออกอีกว่าเจ้าคือเฉินฉางเซิง! ก็เพราะมองออกว่าเจ้าคือเฉินฉางเซิง จึงไม่อยากให้เจ้าพูดว่าเจ้าคือเฉินฉางเซิง และพอให้เจ้าพูดใหม่ เหตุใดเจ้ายังพูดออกมาอีก! นี่หมายความว่าอะไร!”
เสียงตวาดดุจกระบี่ เฉินฉางเซิงเพียงรู้สึกแข็งเกร็งไปทั้งร่าง พลางคิดในใจ ผู้อาวุโสต่างหากหมายความว่าอะไร?
ซูหลีหรี่ตาเล็กน้อย มองเขาพลางว่า “หากเจ้าไม่ใช่เฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง หรือไม่พูดว่าตนเองคือเฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง ข้าก็สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเจ้าคือเฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง แล้วตอบแทนน้ำใจที่เอาร่มมาส่ง ด้วยการถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เสียดายที่เจ้าพลาดโอกาสนี้ไป”
พอฟังคำพูดซ้ำไปซ้ำมาจนจบ เฉินฉางเซิงค่อยเข้าใจแล้วว่าผู้อาวุโสท่านนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จึงเงียบไปสักพักแล้วว่า “ในเมื่อข้าคือเฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง เหตุใดจึงยอมรับไม่ได้ว่าข้าคือเฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง? นี่สำคัญกว่าโอกาสที่ผู้อาวุโสว่าเป็นไหนๆ”
“ไม่ได้!” ซูหลีโมโหสะบัดแขนเสื้อ ทว่าแขนเสื้อที่ขาดวิ่นและเปียกน้ำร้อนทำให้ดูไม่เท่าสักเท่าไหร่ กลับดูน่าสงสารเสียมากกว่า แต่เขาไม่สนใจ มองเฉินฉางเซิงพลางว่า
“สามารถเรียนเพลงกระบี่ที่ซูหลีสอนให้ด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาของสถานศึกษาไหน หรือศิษย์สำนักใด ล้วนซาบซึ้งปลาบปลื้มจนน้ำตาไหลกันทั้งนั้น ซ้ำยังหวั่นกลัวและกังวลว่าจะพลาดโอกาสเช่นนี้ไป! เพราะนี่คือการถูกทอดทิ้งจากดวงดาว!”
เฉินฉางเซิงพูดไม่ออกจริงๆ คิดในใจ ท่านผู้นี้หลงตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าแม้ถังซานสือลิ่วอยู่ได้ถึงห้าร้อยปีก็ยังไล่ตามไม่ทัน
ทันใดนั้น ซูหลีก็สงบลง สติอารมณ์ค่อยๆ เย็นลง มองเขาพลางพูดอย่างเฉยเมย “ข้าเข้าใจแล้ว”
เฉินฉางเซิงยังคงพูดไม่ออก คิดในใจ ตัวข้าเองยังไม่เข้าใจ แล้วท่านจะเข้าใจอะไร?
ซูหลีมองเขาพลางเย้ยหยัน “ไหนบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์สูงและรอบรู้กว้างขวางที่สุดในหมู่คนรุ่นหลัง แต่ทำไมถึงไม่รู้เล่าว่า การเรียนเพลงกระบี่กับข้าเป็นวาสนาที่พานพบได้ยากยิ่ง? หรือที่เจ้าจงใจบอกสถานะ เพราะแท้จริงแล้วไม่อยากให้ข้าสอนเพลงกระบี่ให้ แต่ต้องการให้ข้าติดค้างน้ำใจ?”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ นี่หมายความว่าอะไรอีก ผู้อาวุโสท่านนี้ชอบพูดเองเออเอง อีกทั้งยังหลงตัวเองมากเกินไป หรือการติดค้างน้ำใจผู้อื่นของท่านสำคัญมาก?
“ใครๆ ก็รู้ว่า ในบรรดาศิษย์รุ่นหลัง ข้าชอบชิวซานมากสุด วันนี้เจ้าให้ข้าติดค้างน้ำใจ วันหน้าถ้าเจ้ากับชิวซานทะเลาะวิวาทกันเรื่องนางหนูโหย่วหรงขึ้นมา แล้วคิดให้ข้าตอบแทนน้ำใจเจ้าด้วยการไม่สะดวกพูด หรืออย่างน้อยก็ไม่สะดวกลงมืออย่างนั้นสิ?” ซูหลียิ้มน้อยๆ ขณะมองเขาพลางว่า “วัยรุ่นอย่างเจ้านี่มัน…โตเกินวัยและร้ายกาจจริงๆ เลยนะ!”
ยิ้มนี้ทั้งเย็นยะเยียบ เสียดสี และหยามเหยียด คล้ายเข้าใจในทุกสิ่ง
เฉินฉางเซิงเงียบ รู้สึกไม่สบายใจยิ่ง แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถเงียบต่อได้อีก จึงอธิบาย “ผู้อาวุโสคิดมากไปแล้ว”
“จริงหรือ? อย่าบอกนะว่า ที่เจ้าบอกชื่อและสังกัด เพราะเจ้ามีคุณธรรมสูงส่ง ไม่คิดเอาประโยชน์จากคนเขาหลีซานอย่างข้า? หรือพูดได้ว่า เจ้าใช้ศักดิ์ศรีกับชัยชนะมาตัดสินว่าจะเรียนเพลงกระบี่กับข้าใช่หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ก็แปลว่าเจ้าไม่อยากได้อะไรจากข้า แล้วยังอยู่ที่นี่ทำไม?”
ซูหลีมองเขาที่อยู่ในสภาพหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ จึงไม่พูดเสียดสีต่อ กลับว่า “เจ้าแย่งอันดับที่หนึ่งในการสอบใหญ่ไปจากศิษย์ของข้า แล้วยังจะมาแย่งภรรยาในอนาคตไปจากชิวซานอีก เมื่อนำกระบี่มาส่งแล้วไม่รับการตอบแทนน้ำใจจากข้า ยังจะยืนหาพระแสงอันใดอีก? รอให้ข้าอารมณ์เสียแล้วใช้กระบี่สังหารเจ้าอย่างนั้นรึ?”
วาจาช่างทำร้ายจิตใจอะไรเช่นนี้ เย็นชาอะไรเช่นนี้
พฤติกรรมของซูหลี ถ้าไม่พูดเรื่องบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ ก็ต้องพูดว่ายโสโอหังยิ่ง ทำให้เฉินฉางเซิงหายใจถี่และเร็ว คิดข่มกลั้นความโกรธที่ปะทุขึ้น แล้วพูดอธิบายให้ฟังอีกไม่กี่คำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด เงียบไปสักพัก จึงถอนเข็มทองคืนกลับไปพันที่นิ้วดังเดิม แล้วหันกายเดินออกไปด้านนอก
พายุหิมะค่อยๆ ก่อตัว ไม่นานก็บดบังร่างอันเดียวดายของชายหนุ่มจนมองไม่เห็น
“รีบไปให้พ้นๆ เสีย! ถ้าเจ้ารอดชีวิตออกจากเขตมารไปได้ ก็นับว่าโชคเข้าข้างล่ะ”
ซูหลีมองตามทิศทางที่เขาจากไป พลางหัวเราะเยาะ “ทำท่าหยิ่งยโสไม่ยอมแพ้ให้ใครดูไม่ทราบ?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอพูดจบ เขาพลันเงียบกริบ มองดูท้องฟ้าทางทิศเหนือ แล้วถอนหายใจออกมา
ตอนเจ้านั่นออกจากสวนโจว ก็ไม่คิดสืบดูเลยว่านางหนูเป็นอย่างไรบ้าง ตายเสียได้ก็ดี
เขาถอดเสื้อผ้าที่ขาดและเปียกออก เหลือเพียงกางเกงตัวเดียว เดินลงไปในบ่อน้ำอุ่น นั่งลงแล้วเอนหลัง
ไม่ว่าถอดเสื้อ หรือก้าวเดิน กระทั่งเอนหลังในบ่อน้ำ การเคลื่อนไหวของเขาล้วนเป็นไปอย่างเชื่องช้า คล้ายจะขยับนิ้วสักนิ้วก็ยากเย็นเหลือคณา
เขาเอนหลังพิงหินสีขาวข้างบ่อน้ำ ยื่นมือไปเด็ดดอกมะลิในช่องหินมาหนึ่งดอก แล้วดอมดม
ใครจะรู้ว่า ในที่ที่พายุหิมะตกต่อเนื่องเช่นนี้ เหตุใดจึงมีดอกไม้งอกงาม ต่อให้มีบ่อน้ำร้อน แต่เหตุใดถึงมีแต่ดอกมะลิเล่า?
เขาค่อนข้างเหนื่อยล้า จึงคร้านที่จะคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ได้แต่วางร่มกระดาษทองไว้ข้างๆ จากนั้นก็หลับตาลง
ตอนนี้ กองทัพมารนับหมื่นกับผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวเหล่านั้น ยังตามแกะรอยเขาไปทั่ว
แต่เขากลับทำเหมือนคนลาพักร้อน นอนหลับเงียบๆ ในบ่อน้ำอุ่นเสียนี่
……
……
สวบๆ เสียงรองเท้าเหยียบลงบนพื้นหิมะอ่อนยวบ
ซูหลีลืมตา
เขาเพิ่งงีบในบ่อน้ำอุ่นได้สักพัก เฉินฉางเซิงก็กลับมา
ซูหลีมิได้หันมอง ยังคงพูดอย่างเฉยชา “กลัวรึ?”
เฉินฉางเซิงไม่ตอบ เดินเข้ามานั่งยองๆ ลงตรงด้านหลังของเขา ก่อนคลายเข็มทองที่นิ้วออกอีกครั้ง
ซูหลีถากถาง “ท่าทางหยิ่งยโสของเจ้าล่ะ? ศิษย์รุ่นหลังที่ผู้เฒ่าอิ๋นชื่นชม เหตุใดจู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นหงอลงไปได้? ลมแรงหิมะหนาว หนทางยากลำบาก รู้จักกลัวเข้าแล้วสิ? ถึงไม่คิดแบ่งเหนือใต้ มาขอคนของพรรคกระบี่หลีซานอย่างข้าให้ช่วยพาออกไป”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจเขา หยิบเข็มทองแล้วปักลงบริเวณคอของเขาอีกครั้ง
ครั้งแรกที่ฝังเข็มทองให้ซูหลี เขารู้สึกว่าฝังลงไปได้เร็ว ไม่มีปัญหาใดๆ ครั้งนี้จึงมิได้ทำการควบคุมวิถีเข็ม ทำให้ซูหลีรู้สึกเจ็บขึ้นมา จึงเอ็ดเสียงดัง
“เจ้าเด็กเหลือขอ คิดจะทำอะไรน่ะ!”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่สนใจ นำสมุนไพรหลายชนิดที่เก็บได้จากการออกไปเมื่อครู่ บดเป็นยา พอกลงบนบาดแผลของเขา ก่อนหันมองไปรอบๆ นำเสื้อที่ซูหลีถอดออก ฉีกเป็นแนวยาว แล้วใช้พันแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง
“นี่เจ้า กำลังทำอะไร?”
ซูหลีต่อว่าด้วยความโมโห “หรือเด็กเหลือขออย่างเจ้าคิดว่าข้าบาดเจ็บจนไม่สามารถเดินได้ ต้องให้เจ้าคอยดูแลอย่างนั้นรึ?”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่สนใจ ก้มหน้าพันแผลต่อ
ซูหลีรู้สึกว่าไร้สาระ จึงยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? แล้วเจ้าเป็นใคร? ข้ายังต้องให้คนไม่เอาไหนอย่างเจ้ามาดูแลด้วยรึ!”
เฉินฉางเซิงพูดแล้ว แต่มิได้ตอบคำถามเขา เพียงมองบาดแผลน่ากลัวมากมายบนร่างซูหลี ขมวดคิ้ว พลางหงุดหงิดเล็กน้อย พูดเองเออเอง
“ถ้าไม่ลืมของมากมายไว้ในสวนโจว บาดแผลเหล่านี้น่าจะรักษาได้ไม่ยาก”
ซูหลีอารมณ์ขึ้นแล้วจริงๆ เตรียมอ้าปากด่าแรงๆ แต่เฉินฉางเซิงกลับนำใบสมุนไพรยัดเข้าไปในปากของเขาแทน คำหยาบต่างๆ จึงถูกยัดกลับเข้าไปด้วย
“อู้ๆ อี้ๆ…”
ซูหลีพยายามกลืนใบสมุนไพรเข้าปากอย่างยากลำบาก แล้วค่อยอ้าปากด่า
“เจ้า*** ถ้าข้าขยับได้เมื่อไหร่ ต้องฟันเจ้าด้วยกระบี่แน่! ขนาดผู้เฒ่าอิ๋นยังไม่กล้าเสียมารยาทกับข้า! ข้ากับเทียนไห่ยังคุยกันหัวร่องอหาย! แต่เจ้ากลับกล้าทำกับข้าเช่นนี้!”
คราวนี้เฉินฉางเซิงโมโหจริงๆ แล้ว “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงไม่เข้าใจอะไรเลย? ข้ากำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้ ท่านอยู่นิ่งๆ หน่อยจะได้ไหม?”
และแล้ว ซูหลีก็เงียบลง
เขามองดูหิมะที่โปรยปรายลงจากฟากฟ้า เงียบอยู่นาน ค่อยถามขึ้น “ข้า…แสดงไม่ดีสินะ?”
ที่แท้พฤติกรรมทั้งหมดทั้งมวลก่อนหน้า ล้วนเป็นการแสดง
ซูหลีรู้ตัวว่าบาดเจ็บสาหัสจนเคลื่อนไหวลำบาก ถ้ากองทัพมารไล่ตามมาทัน เขาก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงเฉินฉางเซิง จึงจงใจกระตุ้นให้เฉินฉางเซิงโกรธ เพื่อให้รีบหนีไปก่อน
เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่ง จึงว่า “…ดีทีเดียว”
ซูหลีหัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนพูดอย่างอ่อนล้า “แล้วเจ้าดูออกได้อย่างไร?”
“จริงๆ แล้ว…ข้าดูไม่ออก”
เฉินฉางเซิงลังเลสักพัก แล้วจึงพูดตรงๆ “ข้าไม่ชอบถูกคนให้ร้าย ดังนั้นเมื่อครู่ข้าโกรธจริงๆ รู้สึกว่าผู้อาวุโสหยิ่งยโสเกินไป ไร้เหตุผลเกินไป เหยียด…”
ซูหลีไอแค่กๆ ยิ้มพลางว่า “เหยียดหยามผู้อื่นเกินไป”
เฉินฉางเซิงไม่กล้าพูดคำนี้ซ้ำ ได้แต่พูดเสียงต่ำ “สรุปแล้ว…เป็นผู้เฒ่าที่ไม่ค่อยน่าเคารพ”
รอยยิ้มของซูหลีค่อยๆ จางหาย “แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลับมาเล่า?”
เฉินฉางเซิงตอบ “เพราะอาการบาดเจ็บของท่านสาหัสมาก”
คำพูดนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะสำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติจริงๆ
แต่พอซูหลีได้ยิน ก็รู้สึกผิดปกติ
“พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าเกลียดข้ามาก ผิดหวังในตัวข้า จึงรีบจากไป แต่เพราะ…คนที่เจ้าเกลียดบาดเจ็บหนักมาก…เจ้าจึงกลับมาช่วย?”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคำพูดและพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของซูหลีก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ จึงไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป แต่รู้สึกซาบซึ้งใจ
ท่าทีที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงส่งคืออะไร?
มิใช่การวางตัวแบบเทพเซียน แบบวีรบุรุษไร้เทียมทาน แบบเย้ยฟ้าท้าดิน
ท่าทีที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงส่ง ไหนเลยจะกลัวการถูกมองว่าต่ำต้อย
เฉินฉางเซิงแบกซูหลีไว้บนหลัง แล้วเดินขึ้นจากบ่อน้ำอุ่น โดยไม่ลืมที่จะหยิบร่มกระดาษทองติดไปด้วย
ซูหลีทอดถอนใจบนหลังของเขา “เฉินฉางเซิงเอ๋ย ถ้าเจ้าดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นางหนูโหย่วหรงจะรู้สึกลำบากใจหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้าลำบากใจจริงๆ เลย”
ดังที่เขาเคยพูดไว้ก่อนหน้า ใครๆ ก็รู้ว่า ในบรรดาศิษย์รุ่นหลัง ชิวซานจวินเป็นศิษย์สุดที่รักของเขา
คำพูดนี้จึงบ่งบอกว่าซูหลีชื่นชมเฉินฉางเซิงอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินฉางเซิงเขินเล็กน้อย รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงคิดหาคำพูดเปลี่ยนบรรยากาศ พลันเห็นร่มกระดาษทองในมือ จึงว่า “ที่ข้ากลับมา นอกจากเพราะอาการบาดเจ็บของท่านแล้ว ยังนึกขึ้นได้ว่าลืมร่มทิ้งไว้ที่นี่”
ซูหลีรู้สึกไม่พอใจ “นี่เป็นร่มของข้า จะถูกเจ้าลืมทิ้งไว้ได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงตอบจริงจัง “ผู้อาวุโส ร่มคันนี้ท่านผู้เฒ่าบ้านตระกูลถังเป็นผู้มอบให้ข้า”
ซูหลีเริ่มโมโห “นี่เป็นร่มของข้า!”
เฉินฉางเซิงหัวเราะ ไม่โต้เถียงอีก “รอให้ออกจากเขตมารก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พูดจบเขาก็แบกซูหลีออกมาเดินบนสันเขาหิมะ
ไม่นานนัก พายุหิมะก็ปกคลุมร่างของคนทั้งสอง