ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 73 รอคนผู้หนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ผู้อาวุโส ถ้าท่านอยากให้ข้าไป พูดกับข้าตรงๆ ก็ได้ ไยต้องกระตุ้นให้ข้าโกรธ หลอกข้า หรือทำอะไรมากมายเช่นนี้?”

“ข้าซูหลีทำอะไร ย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ต้องอธิบายให้เจ้าฟังด้วยหรือ?”

“ขอรับ…ผู้อาวุโส แล้วผู้เฒ่าอิ๋นที่ท่านพูดถึงคือใครกัน?”

“สังฆราช”

“อา…ใต้เท้าสังฆราชแซ่อิ๋นหรือ?”

“รู้สึก***มากหรือไร?”

“ผู้อาวุโส…ข้ามิได้คิดเช่นนี้”

“หมายความว่าโทษข้า ว่าอย่างนั้นเถอะ”

“ผู้อาวุโส ตอนอยู่บนที่ราบหิมะ ข้ายังนึกว่าท่านจะสู้ต่อจริงๆ เสียอีก”

“ราชามาร ขุนพลมารอีกสิบกว่าคน คนชุดดำ…ยังมีอาจารย์มารโรคจิตที่ไม่รู้แอบอยู่ตรงไหนอีก…สู้ต่ออย่างนั้นรึ? คิดว่าข้าโง่หรือไร!”

“แต่ว่า…ก่อนที่กระบี่จะออกจากฝัก ท่านเท่มากจริงๆ จึงไม่คิดว่าท่านจะหนี”

“การออกรบ ย่อมต้องมีกลยุทธ์ จิตวิญญาณของเส้นทางกระบี่คืออะไร?”

“ไม่ทราบขอรับ”

“จิตวิญญาณของเส้นทางกระบี่ อยู่ที่คำว่ากระบี่”

เฉินฉางเซิงแบกซูหลีบุกป่าฝ่าดงท่ามกลางลมหนาว พอสนทนาถึงตรงนี้ เขาก็พูดไม่ออก รู้สึกอ่อนล้ามาก แถมยังรู้สึกเศร้าอีก อาจเพราะความเศร้าทำให้อ่อนล้า ในใจคิดว่าแม้เป็นการแบกคนหนีตายเหมือนกัน แต่เหตุใดความรู้สึกตอนแบกแม่นางชูเจี้ยนที่ทุ่งหญ้าในสวนโจว ช่างต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับเหว?

……

……

กองทัพมารนับหมื่นแบ่งแยกกันไล่ล่าหลายทาง จากเมืองเสวี่ยเหล่าไปยังถิ่นทุรกันดารทางใต้ ขอเพียงมีเวลามากพอ กองทัพมารต้องพลิกที่ราบสันเขาหลายร้อยลูกจนหมด

ทว่าตอนคนชุดดำจ้องมองกองทัพมารหายไปในพายุหิมะ กลับมิได้ปล่อยวางสติอารมณ์แต่อย่างใด

และในเวลานี้เอง ที่ราบหิมะก็เกิดสั่นสะเทือน หลายคืนวันที่พื้นผิวหิมะถูกผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำและถูกเจตจำนงกระบี่บดขยี้จนกระชับแน่น กลับคลายตัวฉับพลันพร้อมเสียงทึบตัน สัตว์อสูรปากยาวเขาใหญ่ ขนาดมหึมาตัวหนึ่งค่อยๆ เดินออกจากพายุหิมะ มันคือยักษ์ล้มภูเขาที่ดุร้ายสุดจะเปรียบ จัดอยู่ในลำดับสามของสัตว์อสูรบก

ร่างของยักษ์ล้มภูเขาตัวนี้ใหญ่มหึมา แข็งแกร่งกว่าตัวที่อยู่ในสวนโจวมาก อีกทั้งยังสูงราวสี่สิบกว่าจั้ง

หว่างเขาของมันมีมารตนหนึ่งนั่งอยู่ มารตนนี้รูปร่างผอมเล็ก กระทั่งเล็กกว่าเด็กปกติทั่วไปเสียอีก ซึ่งเมื่อเทียบกับยักษ์ล้มภูเขาแล้ว ดูกระจิริดอย่างมาก แต่ไม่รู้เหตุใด ยักษ์ล้มภูเขาถึงได้เชื่องให้กับร่างกระจิริดนี้

มารตนนี้สวมชุดเกราะเต็มตัว ป้องกันร่างกายทุกส่วนรวมทั้งใบหน้าด้วย บนชุดเกราะปักลวดลายดิ้นทองซับซ้อน คล้ายดอกคุณนายตื่นสายและภาพเขียนสีชิ้นเล็กๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในเมืองเสวี่ยเหล่า ขอบลวดลายสีทองเหล่านี้มีจุดสีเขียวมากมาย ไม่ชัดเจนว่าเป็นอัญมณีหรือสนิม

ไอพลังปราณอันน่าเกรงขามของมารตนนี้แผ่กระจายออกตามช่องว่างของชุดเกราะ ดวงตาอันเยือกเย็นฉายแววผ่านหมวกเกราะ ตกลงบนที่ราบหิมะไกลนับสิบจั้ง ตกลงบนร่างของชายชุดดำ พร้อมๆ กับโทนเสียงของเขา ซึ่งคล้ายด้ายทองที่ร้อยฆ้องแตกหลายตัวเข้าด้วยกันโดยไม่กระเทือนเวลาตี คำพูดทุกคำดังก้องกังวานดุจตีฆ้องแตก แสบแก้วหูมาก

“ตามที่เจ้าคิดคำนวณว่าแผนสังหารไม่มีช่องโหว่ ฝ่าบาทถึงได้เห็นชอบให้ดำเนินการ แต่ตอนนี้พวกเผ่าเทพทุ่มเทต่อสู้อย่างหนัก แม้แต่ไห่ตี๋น้อยของข้ายังแขนหักไปข้างหนึ่ง แต่คนผู้นั้นกลับหนีไปได้ ข้าจึงอยากรู้นัก ที่เจ้าบอกว่าไม่มีช่องโหว่นั้นคือตรงไหน? เจ้าเตรียมแก้ตัวกับฝ่าบาทและข้าอย่างไร?”

ใต้เท้าไห่ตี๋ ขุนพลมารอันดับสองผู้แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม ผู้ซึ่งมีไห่ตี๋น้อยอยู่ในปาก

เขาย่อมเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพมาร หรืออาจารย์ผู้คุมกฎเผ่ามาร ที่เล่าลือกันว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของราชามารในอาณาเขตที่ราบหิมะเผ่ามารแห่งนี้

ตำแหน่งของคนชุดดำในเผ่ามารสูงส่งมากและมีความพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งแม้เขาไม่ใช่มาร แต่ราชามารก็ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาอุทิศตนเพื่อเผ่ามารมาตลอด และเพราะคนในต้าลู่ล้วนรู้ว่าฝีมือเขาน่ากลัวเพียงใด โดยไม่ว่าคนหรือมาร เขาก็คลับคล้ายมีญาณหยั่งรู้ความลับในทุกสิ่ง ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกทุกสิ่งได้

ขุนนางระดับสูงของเผ่ามารที่พยายามยุแหย่ให้เขากับราชามารแตกคอกัน ที่สุดแล้วก็ต้องตายลงภายใต้การตอบโต้ที่คล้ายไม่ตั้งใจของเขา จึงไม่มีใครในเมืองเสวี่ยเหล่ากล้าสงสัยในการดำรงอยู่ของคนชุดดำมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไม่มีใครกล้าไม่เคารพนบนอบเขา ยกเว้นผู้คุมกฎเผ่ามาร เนื่องจากผู้คุมกฎเผ่ามารก็ได้รับความไว้วางใจจากราชามารเช่นกัน อีกทั้งยังแข็งแกร่งมาก ที่สำคัญคือ ไม่รู้เพราะเหตุใด คนชุดดำถึงได้อดทนต่อพฤติกรรมของผู้คุมกฎเผ่ามารเรื่อยมา แต่วันนี้อาจไม่ใช่ คนชุดดำไม่สนใจเขา กลับหันมองพายุหิมะทางใต้เงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา

ลมหนาวเลิกเสื้อคลุมสีดำขึ้น เผยให้เห็นปื้นสีเขียวอ่อนใต้กรามของเขา หลายร้อยปีที่ผ่าน เป็นครั้งแรกที่คนชุดดำวางแผนสังหารมนุษย์ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง และดำเนินไปแล้วสามสิบเจ็ดครั้ง ซึ่งซูหลีต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่า สุดท้ายซูหลีกลับหนีไปได้ สถิติรูปแบบการวางแผนที่ไม่เคยแพ้ใคร คล้ายจะถูกทำลายเป็นครั้งแรก

ผู้ทำลายแผนสังหารในครั้งนี้ไม่ใช่สังฆราช ไม่ใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ และไม่ใช่จักรพรรดิขาว แต่เป็นเด็กหนุ่มนามเฉินฉางเซิง… ไม่ว่าคนชุดดำ หรือเหล่าขุนพลมาร ถ้าต้องการลงมือจริงๆ แล้วล่ะก็ ย่อมสามารถบดขยี้เฉินฉางเซิงให้ตายคามือได้ แต่เจ้าหนุ่มผู้ต่ำต้อยก็มักจะทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนทิศทางอยู่ร่ำไป

คนชุดดำชัดเจนดีถึงความเป็นมาเป็นไปของเฉินฉางเซิง ดังนั้นตอนอยู่ในสวนโจว เขาจึงไม่เคยคิดสังหารเฉินฉางเซิง เพียงแต่ซูหลีปรากฏตัวเร็วเกินไป อีกทั้งการที่เฉินฉางเซิงถือร่มคันนั้นไว้ เขาจึงไม่ทันได้นำความคิดของตนมาบอกกล่าวกับชาวมารที่แฝงตัวอยู่ในสวนโจว ที่สำคัญสุดคือ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินฉางเซิงจะเติบโตได้เร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิด

และสวนโจวก็ล่มสลายไปพร้อมๆ กับความพ่ายแพ้ของคนชุดดำเช่นนี้หรือ? ไม่สิ คนชุดดำมิได้คิดเช่นนั้น ขอเพียงซูหลียังไม่กลับโลกมนุษย์ พูดให้ถูกก็คือ ดูจากอาการบาดเจ็บสาหัสที่ยากรักษาของซูหลีในตอนนี้แล้ว ขอเพียงเขายังไม่กลับเขาหลีซาน แผนสังหารย่อมต้องดำเนินต่อ

ดังเช่นที่เขาเคยพูดกับซูหลีว่า ในดินแดนต้าลู่ ผู้ที่อยากให้ซูหลีตายนั้นมีมากเกิน ด้วยเหตุผลนานัปการ ผู้คนนับไม่ถ้วนหวังให้เขาตายจากโดยเร็ว พวกมารก็เช่นเดียวกัน แต่ซูหลีแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครกล้าลองลอบสังหารเขา แต่ตอนนี้ซูหลีถูกพวกมารจัดการจนบาดเจ็บสาหัส จึงเป็นโอกาสดีของผู้มีอำนาจบนโลกแล้ว… การอนุมานเช่นนี้ฟังแล้วอาจรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง คล้ายมารกับมนุษย์ร่วมมือกัน ทว่าคนชุดดำชัดเจนดีว่า นี่คือความจริงที่มีความเป็นไปได้สูง

เนื่องจาก เมื่อหลายปีก่อนก็เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นครั้งหนึ่ง

คนชุดดำจ้องมองที่ราบหิมะทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลมหนาวค่อยๆ ก่อตัว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่เรียวยาวและงามสง่า กลับมีอารมณ์ซับซ้อนและหนาวเหน็บ

เขาคิดถึงศิษย์เขาหลีซานผู้นั้น พลางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ ความแค้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลก สามารถทำให้ผู้มีฐานะสูงส่งสองมือนุ่มนิ่มต้องกลายเป็นมารที่สองมือแปดเปื้อนโลหิต และสามารถทำให้ศิษย์สำนักชื่อดังคนหนึ่งต้องกลายเป็นผู้สมคบคิดมากพรสวรรค์ ไม่รู้ว่าศิษย์เขาหลีซานผู้นั้นจะนำพาความประหลาดใจอะไรมาอีก

ถ้าคิดเช่นนี้ แม้ซูหลีสามารถกลับเขาหลีซานสำเร็จ เรื่องของสวนโจวก็ยังไม่จบแน่

เขายื่นมือซ้ายไปยังธารน้ำแข็งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ขยับมือคว้าจับ ได้ยินเสียงโครม ธารน้ำแข็งแตกออกทันที แท่งน้ำแข็งแหลมคมหลายแท่ง ลอยกระจายอยู่กลางท้องฟ้าสีน้ำเงิน ขณะเดียวกันร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งก็ลอยออกมาด้วย… นั่นคือหนานเค่อที่หลับตาอยู่ พร้อมลมหายใจเฮือกสุดท้าย ร่างของนางมีขนนกยูงสีเขียวอ่อนพันรอบอย่างแน่นหนา คนชุดดำจับนางไว้ แล้วพุ่งไปยังที่ที่เกิดพายุหิมะ โดยไม่สนใจยักษ์ล้มภูเขากับผู้คุมกฎเผ่ามารที่อยู่ด้านหลัง

……

……

เมืองฮั่นชิวยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ย่อมไม่มีหิมะตก แต่เช้าวันนี้อากาศกลับหนาวเย็นลง ป่านอกเมืองหนาวจัด จนเกิดน้ำค้างแข็งบนใบไม้เขียว และกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งในเวลาต่อมา ก่อนไถลตัวจากใบไม้ หล่นลงบนพื้นดิน เกิดเสียงดังไปทั่ว

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ เป็นเพราะด้านหลังของป่ามีพลังฟ้าดินที่ยุ่งเหยิงสุดจะเปรียบคุกรุ่นอยู่ ประตูสวนโจวที่เห็นรำไรในหมอกยังคงปิดสนิท แต่จากความพยายามไม่หยุดในการเปิดประตูสวนโจว ด้วยการช่วยกันสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ของคนจากนิกายหลวง สายรุ้งที่เดินทางมาไกลหมื่นลี้จากเขาหลีซาน ในที่สุดก็ยอมให้เกิดการเหนี่ยวนำตามธรรมชาติ

รอบนอกบริเวณป่าเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญเพียร บ้างเป็นนักบวชจากวังหลี บ้างเป็นรุ่นพี่จากสถานศึกษา พรรค และสำนักต่างๆ และแน่นอน ต้องมีผู้พิทักษ์เมืองฮั่นชิวร่วมอยู่ด้วย ยังมีจูลั่ว ตัวแทนตระกูลซื่อแห่งเมืองเทียนเหลียง ผู้คนอยู่กันเต็มแต่กลับไม่มีใครส่งเสียงดัง ทุกคนต่างรู้สึกเคร่งเครียด

เวลาค่อยๆ ผันผ่าน เมื่อก้อนเมฆที่ขอบฟ้าเคลื่อนที่เข้าหาดวงอาทิตย์ เมืองฮั่นชิวก็ถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง สายรุ้งคล้ายเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น

“เปิดแล้ว!” ในป่าลึกซึ่งปกคลุมด้วยหมอกหนา นักบวชจากวังหลีท่านหนึ่งตะโกนร้องอย่างดีใจ

สิ้นเสียงร้อง บรรยากาศก็คึกคักขึ้นทันที หลายคนพุ่งไปยังประตูสวนโจวที่ค่อยๆ เปิดออกท่ามกลางหมอกหนา แม้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าไปในสวนโจว แต่เพื่อสะดวกในการรับคนของตนออกมา พวกเขาจึงต้องเข้าไปใกล้ให้ได้มากสุด ตอนนี้ทุกคนล้วนรู้แล้วว่า การที่สวนโจวปิดประตูแน่นนั้นเป็นแผนการของพวกมาร แล้วศิษย์ที่เข้าไปฝึกวิชาในสวนโจวเหล่านั้น ยังอยู่ดีหรือไม่?

ผ่านไปไม่นาน มีผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นอาจารย์ของตน จึงค่อยเบาใจลง จนเกือบจะร้องไห้เสียงดังออกมา ตามด้วยผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่เดินออกมาเรื่อยๆ ทุกคนล้วนอยู่ในสภาพอ่อนล้าจนน่าอนาถใจ แต่ในที่สุดพวกเขาก็มีชีวิตรอดจนได้

นักบวชจากวังหลีและเจ้าหน้าที่จากราชสำนักยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง กำลังจดบันทึกจำนวนคนที่ออกจากสวนโจวอย่างเคร่งครัด เจ้าหน้าที่หลายคนไม่สนใจว่าผู้บำเพ็ญเพียรหนุ่มสาวบางคนกำลังตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เข้าไปสอบถามชื่อและต้นสังกัด จากนั้นจึงนำมาคำนวณดูว่ามีอีกกี่คนที่ยังไม่ออกมา

ในป่าจึงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม

จูลั่วกับเหมยหลี่ซายืนอยู่รอบนอก ฟังการรายงานจากนักบวชและเจ้าหน้าที่ พลางมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ฟังจากคำบอกเล่าของผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกจากสวนโจว ก็ไม่ผิดไปจากการคาดเดาของพวกเขานัก แต่เป็นการคาดเดาในสภาพย่ำแย่สุด… สวนโจวใกล้ล่มสลายเต็มที

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผู้คนก็ออกมาจากสวนโจวมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่จากการจดบันทึกของอาจารย์จากวังหลีและเจ้าหน้าที่ราชสำนัก ยังมีคนบางส่วนที่ไม่ได้ออกมา

เหมยหลี่ซามองดูประตูสวนโจวที่เบาบางลงเรื่อยๆ ในหมอกหนา รู้สึกได้ว่าพลังที่อยู่ด้านในยิ่งมาก็ยิ่งปั่นป่วน แววตาจึงเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นลงเรื่อยๆ

เฉินฉางเซิงยังไม่ออกมา

จูลั่วมองเห็นรถม้าที่จอดอยู่บนถนนนอกป่า ก็รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย

นั่นเป็นรถม้าของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าซึ่งมีผ้าม่านสีเขียวปิดอยู่ มองไม่เห็นด้านในรถ

สวีโหย่วหรงนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ไม่พูดไม่จาใดๆ

นางกำลังรอการออกจากสวนโจวของคนผู้หนึ่ง