สวีโหย่วหรงมองออกนอกหน้าต่างรถม้าโดยไม่พูดไม่จา ด้วยกำลังรอให้คนผู้นั้นออกมาจากสวนโจว แม้จะมีม่านสีเขียวกั้น ก็ไม่สามารถบดบังสายตาของนางได้
เวลาไม่เคยคอยใคร ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นสูง แสงแดดค่อยๆ เคลื่อนจากกำแพงเมืองฮั่นชิวไปยังถนนใหญ่ จนสาดส่องโลกทั้งใบ ทะลุม่านหน้าต่างรถม้า ส่องต้องใบหน้านาง ทำให้ดูซีดขาวลง
พอออกจากสวนโจว นางก็รีบบอกมุขนายกเหมยหลี่ซากับจูลั่วว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ท้องฟ้าในสวนโจวกำลังถล่ม แต่ที่คนเหล่านี้หนีออกมาทันเวลาก็เพราะมีชายหนุ่มคนหนึ่งกางร่มคันหนึ่งค้ำยันท้องฟ้าไว้ ตอนนี้เขาอยู่บนสุสานโจวในที่ราบทุ่งหญ้า ต้องรีบคิดหาวิธีช่วยเขาออกมา
ถ้านางไม่ใช่สวีโหย่วหรง เหมยหลี่ซากับจูลั่วต้องคิดว่านางบ้าไปแล้ว แต่เพราะนางคือสวีโหย่วหรง ทั้งสองจึงเชื่อในคำพูดนาง ทว่ากลับไม่สามารถช่วยอะไรชายหนุ่มซึ่งค้ำยันท้องฟ้าอยู่เพียงลำพังได้… เพราะมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในสวนโจว อีกทั้งถ้าเป็นจริงอย่างที่นางว่า ผู้ที่สามารถช่วยชายหนุ่มได้ ก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นสูง จูลั่วแม้มีความสามารถ แต่สวนโจวที่กำลังถล่ม อันตรายยิ่ง ถ้าเขาเข้าไปด้านใน อาจทำให้โลกใบเล็กใบนี้ล่มสลายลงในพริบตา
ไม่มีใครสามารถช่วยชายหนุ่มได้ มีเพียงชายหนุ่มที่ต้องช่วยตัวเอง สวีโหย่วหรงจึงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ได้แต่รอเขา และแล้ว ศิษย์พี่คนหนึ่งในกระทรวงสิบสามชิงเหย้าก็รีบรุดมาที่หน้าต่างรถ ก่อนพูดผ่านม่านกั้น
“ไม่มีคนชื่อสวีเซิง อีกอย่างข้าตรวจดูแล้ว ปีนี้ไม่มีคนจากพรรคเทือกเขาหิมะเข้าร่วม”
สวีโหย่วหรงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนถาม “เหลืออีกกี่คนที่ยังไม่ออกมา?”
“สี่สิบกว่าคน” ศิษย์พี่จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าลังเลสักพัก ค่อยพูดเสียงต่ำ “เฉินฉางเซิงจากสำนักฝึกหลวง…ก็ยังไม่ออกมา”
นางเป็นห่วงความรู้สึกของสวีโหย่วหรงมาก ด้วยคิดว่าสวีโหย่วหรงต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของคู่หมั้น ถึงได้ให้นางไปสืบดู แต่สวีโหย่วหรงกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางจึงแปลกใจอยู่บ้าง
ผู้ที่สวีโหย่วหรงรอมิใช่เฉินฉางเซิง… ผู้บำเพ็ญเพียรที่ลงนามเข้าสวนโจวไม่มีสวีเซิง ศิษย์พรรคเทือกเขาหิมะ แต่นางชัดเจนดีว่าศิษย์พรรคเทือกเขาหิมะสวีเซิงอยู่ในสวนโจว และกำลังใช้กระบี่หมื่นเล่มที่รวมตัวกันเป็นร่มคันใหญ่ค้ำยันท้องฟ้าอยู่บนสุสานโจว
เรื่องการใช้ชื่อปลอมเข้าไปในสวนโจว กระทั่งแก้ชื่อต้นสังกัดขณะที่วังหลีหลับหูหลับตาอนุญาตนั้นเป็นเรื่องปกติ ในความคิดของนาง เป็นไปได้ว่า สวีเซิงอาจเป็นศิษย์ซ่อนพรสวรรค์ที่พรรคเทือกเขาหิมะฝากความหวังไว้ให้ฟื้นฟูพรรค ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับนางที่ใช้สถานะอื่นเข้าสวนโจว ทำให้หาชื่อไม่พบ
อันที่จริง นางก็มิได้หวังจะเห็นชื่อของชายหนุ่มในสมุดลงทะเบียนอยู่แล้ว หลังออกจากสวนโจว จึงได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างหน้าต่างรถม้า มองดูทุกคนที่เดิน หรือถูกหามออกจากป่าลึกในหมอกควัน นางแน่ใจว่าไม่มีใครคลาดสายตาแม้แต่คนเดียว เพราะนางไม่กะพริบตา
นางเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องจากพรรคฉางเซิงมากมาย เห็นสหายจากสถานศึกษาหนานซีอยู่บ้าง เห็นผู้บาดเจ็บที่ตนช่วยรักษาให้หายดีเมื่อหลายคืนก่อน เห็นชายหนุ่มผู้อ่อนล้าที่นางยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนแบกชีเจียนชนต้นไม้ล้มไปสี่ต้นกว่าจะเดินมาถึงข้างถนน
สุดท้าย เห็นคนหลายคนพยุงซึ่งกันและกันเดินออกจากหมอกหนา จากนั้นในหมอกหนาก็ปรากฏไอพลังปราณอันน่ากลัวที่ยากคาดเดาสายหนึ่งระเบิดออก ทำให้สายรุ้งในหมอกสั่นไหวจนคล้ายสามารถแตกออกได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างในสวนโจวที่เห็นเลือนราง พลันบิดเบี้ยวกลายเป็นภาพซ้อนมากมาย คล้ายกำลังจะจางหาย
เหมยหลี่ซามองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าชรายิ่งกว่าเดิม จูลั่วทะยานร่างขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือหมอกควันขณะสายรุ้งแยกออกจากกัน แสงเจิดจรัสจากกระบี่ในมือเขาพุ่งลงสู่พื้นดิน สร้างแนวขวางกั้นอันทรงพลัง ตัดโลกแห่งความเป็นจริงให้ขาดจากโลกด้านหลังหมอกควัน
เสียงดังกัมปนาท สะท้อนไปไกลหลายร้อยลี้รอบเมืองฮั่นชิว
แม้จูลั่วซึ่งเป็นหนึ่งในแปดมรสุม หนึ่งในผู้แข็งแกร่งของต้าลู่ ใช้แรงทั้งหมดฟันกระบี่ลงมา ก็ยังไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของพลังปราณอันทรงอานุภาพ พายุหมุนหอบใบไม้และเศษดินมุ่งหน้าเข้าสู่ป่า ส่งเสียงดังหวีดหวิวไม่หยุด มันกลืนกินถนนในชั่วพริบตา จวบจนชนกับกำแพงเมืองฮั่นชิวอันแข็งแรงจึงหยุดในที่สุด
พอพายุหยุดหมุน ฝุ่นควันก็จางลง โลกกลับสู่ความสดใสอีกครั้ง เสียงร้องครวญครางดังทั่วป่า ผู้คนมองไปยังด้านหลังของป่า เห็นหมอกหนาจางหาย รวมทั้งภูเขาชิงซานที่ควรจะมองเห็น…ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย!
ประตูสวนโจวหายไป สวนโจวก็หายไป ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีใครมาเปิดประตูสวนโจวอีกหรือไม่ แต่ถึงเปิดได้จริง ก็ไม่มีความหมายใดๆ ขนาดพลังที่สวนโจวแผ่ออกก่อนล่มสลาย ยังทำให้เห็นภูเขาชิงซานในโลกจริงไม่ชัดเจน แล้วตัวสวนโจวเองจะดำรงอยู่ได้อย่างไรกัน?
ในป่าเงียบเสียง เหล่านกกาที่บินหนีด้วยความตกใจถูกพลังที่สวนโจวปล่อยออกก่อนล่มสลายกระแทกจนเสียชีวิตคากองใบไม้บนพื้นดิน
เสียงที่ทำลายความเงียบสงบคือเสียงร้องไห้ อาจารย์จากสำนักและพรรคต่างๆ ล้วนมีสีหน้าเศร้าสร้อย ผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเยาว์หลายคนคุกเข่าอยู่ข้างศพของสหายหรือศิษย์ร่วมสำนักพลางร้องห่มร้องไห้อย่างโศกาอาดูรไม่หยุด นักบวชจากวังหลีและเหล่าเจ้าหน้าที่พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วทำการตรวจตราจำนวนผู้เข้าบำเพ็ญเพียรในสวนโจวต่อ ก่อนพบว่ามีอีกยี่สิบเจ็ดคนที่ยังไม่ออกมา ซึ่งไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ได้เสียชีวิตภายใต้เล่ห์กลของพวกมาร หรือเสียชีวิตขณะสวนโจวล่มสลายแล้วหรือไม่ โดยตอนนี้ในป่ามีศพอยู่สิบกว่าศพ
ม่านหน้าต่างรถม้าถูกฝุ่นหนาเคลือบจับจนอับแสง ใบหน้าสวีโหย่วหรงจึงพลอยหม่นหมองไปด้วย นางหลับตา ขณะขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย
นางไม่พูดอะไรมาก ใช้มือขวาลูบศีรษะไก่ฟ้าตัวน้อยข้างกายเบาๆ พลางพูดเสียงสั่นเครือ
“ไปกันเถิด”
รถม้าของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าจึงออกวิ่งจากถนนใหญ่ไปยังที่ที่ไกลแสนไกล
ฝุ่นธุลีที่เกาะอยู่บนม่านหน้าต่างถูกสายลมบนถนนพัดออก นางจึงมองเห็นทิวทัศน์ข้างถนน มองเห็นผู้บาดเจ็บหลายคนส่งเสียงร้องครวญครางขณะนอนอยู่บนเปล ซึ่งทำให้นางรู้สึกเศร้าเสียใจยิ่ง
คืนแรกๆ ในสวนโจว นางกับเฉินฉางเซิงไม่ได้พบเจอกัน เพราะต่างคนต่างช่วยชีวิตคนไม่หยุด ซึ่งผู้บาดเจ็บเหล่านี้ก็คือผู้ที่ถูกช่วยไว้ แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่สามารถออกมาจากสวนโจว
นางในตอนนี้จึงถ่องแท้ในสัจธรรมข้อหนึ่ง นักพรตน้อย สหายทางจดหมายเมื่อหลายปีก่อน… ก็คงเสียชีวิตแล้วเช่นเดียวกัน
เดิมทีนางคิดว่าตนไม่น่าเสียใจกับเรื่องนี้ แต่กลับพบว่ายังคงค่อนข้างเสียใจ
หากไม่มีการหมั้นหมาย เขาก็คงไม่มาจิงตู ไม่ต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ ไม่ต้องเข้าเรียนในสำนักฝึกหลวง ไม่ต้องมาสวนโจว ย่อมไม่ต้องมาเสียชีวิตลง เขาในตอนนี้ควรนั่งอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันบทอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิงมิใช่หรือ?
ความจริงนางลืมจดหมายพวกนั้นไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมพลันนึกถึงขึ้นมา ตอนนั้นเฉินฉางเซิงเคยเขียนในจดหมายว่า การต้องท่องคัมภีร์ลัทธิเต๋าในทุกวันเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่… ถึงยากเพียงใด ก็ยังดีกว่าตายไปในตอนนี้ จริงไหม?
ล้อของรถม้าส่งเสียงดังกุกกักขณะบดถนน นี่ก็คือการจากลา
ทุกคนล้วนต้องเรียนรู้การจากลา
การจากลามักทำให้ผู้คนเจ็บปวดใจ ไม่เว้นแม้แต่สาวน้อยอายุสิบห้าอย่างสวีโหย่วหรง
แต่สิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดใจที่สุดก็คือ คนที่นางรอ สุดท้ายก็ไม่ได้ออกมาอีก
เจ้าชื่อสวีเซิงจริงหรือ? เป็นศิษย์พรรคเทือกเขาหิมะจริงหรือ? เจ้าไม่รู้ว่าข้าชื่อสวีโหย่วหรงหรือไร? มีคนเห็นเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในทุ่งหญ้า ร่วมเป็นร่วมตาย ตะโกนใส่กันเงียบๆ หรือไม่? สหายและอาจารย์ของเจ้าอาจเศร้าเสียใจ แต่ข้า…กระทั่งสิทธิ์ในการเศร้าเสียใจก็ยังไม่มี นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่า
……
……
พอรถม้าของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าจากไปไม่นาน ป่านอกเมืองฮั่นชิวแห่งนี้ก็เกิดเรื่องเศร้าสลดขึ้นอีกเรื่อง มีคนกำลังจะตาย
ปีนี้ สวนโจวเปิดขึ้นด้วยแผนการร้ายของพวกมาร ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรบาดเจ็บล้มตายมากมาย ซึ่งถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว การมีคนตายย่อมเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าหนึ่งในผู้ตายคือเหลียงเสี้ยวเซียวแห่งพรรคกระบี่เขาหลีซาน ก็ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว
เรื่องนี้ทำให้คนเศร้าใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความเศร้าใจก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
เนื่องจากผู้คนในที่นี้ล้วนคิดว่า ผู้สังหารเหลียงเสี้ยวเซียวไม่ใช่พวกมาร แต่เป็นเจ๋อซิ่ว