บทที่ 3 บทที่ 3 ตอนที่ 28-3 ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจคน

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 28-3 ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจคน โดย Ink Stone_Fantasy

 

หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง หลี่ว์อีอวิ๋นหยุดร้องไห้คร่ำครวญ

คุณปู่และคุณพ่อของเธอค่อยๆ พยุงเธอที่น้ำตานองหน้าให้ยืนขึ้น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปทางลั่วชิว ก่อนยื่นยาต้านไวรัสในมือไปให้ลั่วชิว

เจ้าของร้านลั่วรับหลอดทดลองมาแล้วพูดว่า “ถ้าผมจะเอามันมาจากมือคุณล่ะก็ ที่จริงก็ง่ายมากเลย แต่ถ้าคุณส่งให้กับมือคุณเอง…ถึงจะเป็นการปล่อยวางที่แท้จริง คุณคงเข้าใจใช่ไหมครับ?”

หลี่ว์อีอวิ๋นส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้าอีก

“จะมาช่วยฉันทำไม?” จู่ๆ เธอก็ถามขึ้น

ลั่วชิวพูดด้วยเสียงเฉยเมย “คุณก็คิดซะว่าผมว่างก็แล้วกัน”

ริมขอบหน้าผา หลี่ว์ปู้ไห่มีแววตาซาบซึ้งใจ ก่อนค่อยๆ หลับตา แล้วล้มลงไป

“พ่อ!!”

“คุณปู่!!”

หลี่ว์อีอวิ๋นกับหลี่ว์ไห่รีบวิ่งไปข้างๆ หลี่ว์ปู้ไห่ ตะโกนเรียกชายชราผู้นี้กันอย่างลนลาน

“คุณปู่!!” สาวน้อยก้มมองดูร่างของหลี่ว์ปู้ไห่

หลี่ว์ไห่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดว่า “ลูก คุณปู่อาจจะจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว…ด้วยวัยขนาดนี้ของเขา หลายปีมานี้…ให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบสุขเถอะ เขาคงสบายใจที่ได้เห็นลูกปล่อยวางความโกรธแค้นในใจ ลูกเองก็เสียใจมามากแล้วเหมือนกัน”

ในยามค่ำคืน

เริ่นจื่อหลิงเปิดโคมไฟ

เธอมองหลีจื่อที่หลับลึกอยู่ ส่ายหน้าพลางยิ้ม แล้วยกน้ำชาร้อนขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น สองมือก็วางลงแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กำลังเคาะแป้นพิมพ์เบาๆ

‘ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา คนอื่นๆ ก็ทยอยกันตื่นแล้ว ฉันมองดูสาวน้อยและพ่อของเธอนั่งอยู่เงียบๆ ตรงนั้น ขณะเดียวกันยาต้านไวรัสในหลอดทดลองหลอดนั่นซึ่งช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านไว้ได้ก็ถูกวางไว้บนโต๊ะชงชาเช่นกัน แต่ว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลย’

‘อันที่จริงหม่าโฮ่วเต๋ออยากจะถามให้รู้ชัด แต่ฉันรู้จักนิสัยของเขาดี เจ้าพุงพลุ้ยด้วยดื่มเบียร์มานานนั่นไม่อยากไปสะกิดบาดแผลในใจของสาวน้อยอีก หมอนี่โมโหมาก แต่ไม่เป็นไร เพราะยังมีซะไก ทัตสึโอะและหลี่ว์เฉาเซิงสองคนนี้ยั่วโมโหเขาอยู่ ฉันคิดว่าหลังจากพาตัวเจ้าสองคนนี้ไปแล้ว หม่าโฮ่วเต๋อคงจะมีชีวิตยุ่งไปอีกนานเลย อย่างไรปัญหาในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่ตกทอดมาจากสมัยก่อน เพียงพอที่จะทำให้เขาเจองานหนักเลยล่ะ’

‘ราวกับว่ามีบางสิ่งปลุกพวกเราอยู่ในความเงียบ ให้พวกเราตื่นขึ้นมาทีละคนทีละคน โดยจ้องมองหลอดทดลองหลอดนั้นเงียบๆ ไม่มีใครถามว่าเพราะอะไร เหมือนว่าได้ผ่านการนัดแนะกันมาแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ ฉันยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย’

‘ชาวบ้านที่ถูกช่วยชีวิตไว้พวกนั้นตกลงกันว่าจะไม่ไปกล่าวโทษหลี่ว์ไห่หรือหลี่ว์อีอวิ๋นอีก ราวกับว่าผ่านครั้งนี้ไปแล้วความอัปลักษณ์ที่ซ่อนฝังอยู่ในจิตใจพวกเขาถูกชำระล้างจนสะอาดทั้งหมด ฉันมองดูชาวบ้านพวกนี้แต่ละคนค่อยๆ โค้งคำนับอยู่ด้านนอกบ้านพักตากอากาศ แล้วก็แยกย้ายกันไป’

‘หลี่ว์ไห่กับหลี่ว์อีอวิ๋นไม่ได้ออกมาเลย ความบาดหมางยังไม่ได้หายไปหลังจากเกิดเรื่องนี้ แต่ในเมื่อครอบครัวหลี่ว์ไห่เลือกที่จะให้อภัย อย่าสงนั้นเรื่องบาดหมางก็น่าจะค่อยๆ จืดจางหายไปตามกาลเวลาเช่นกัน บางทีอาจต้องใช้เวลานาน บางทีจะเป็นยุคหลังจากสาวน้อย…แต่คงมีสักวัน บ้านพักตากอากาศบนไหล่เขานี้จะมีแขกลูกค้ามากขึ้นหน่อย และอาจจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับผู้สืบทอดบ้านพักหลังนี้’

‘สิ่งเดียวที่เสียใจคือชายชราในบ้านพักตากอากาศคนนี้ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้าน ศพของชายชราจะต้องถูกเผาในวันนั้น แน่นอนว่าขั้นตอนพิธีไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบันอยู่บ้าง แต่ใครใช้ให้ที่แห่งนี้อยู่ไกลตาผู้คนล่ะ? เลขาซึ่งมีความคิดความอ่านคนนี้ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณีของหมู่บ้านแห่งนี้…ฉันคิดว่าหลังจากผ่านครั้งนี้ไป บางทีเขาคงไม่กล้าทำอะไรตามความคิดตัวเองแล้วล่ะมั้ง?’

‘ไม่รู้ว่าชายชราคนนี้ ก่อนเสียชีวิตเขาจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า?’

‘หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ เคยเกิดเรื่องที่ฉันจะจดจำไปชั่วชีวิต’

เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ เคาะปุ่มแป้นพิมพ์เครื่องหมายจุดจบประโยค แล้วลากบทความนี้ใส่เข้าไปในโฟลเดอร์เอกสารที่ชื่อ ‘เรื่องราวมหัศจรรย์ของเริ่นจื่อหลิง’

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอใช้ตีพิมพ์

“ลูกชายรีบมีเบบี้สักคนเถอะ!” เริ่นจื่อหลิงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะนอนหลับไป ก็ยังยิ้มอ่อนๆ พลางพูดว่า “ฉันเตรียมเรื่องราวสนุกๆ ไว้เล่าให้หลานฟังเยอะแยะเลยล่ะ”

รองบรรณาธิการเริ่นที่กำลังหลับหวังว่าตนเองพอจะได้ฝันดีบ้าง ไม่รู้เลยว่า ในช่วงเวลากลางคืน ลูกชายที่พอจะให้กำเนิดทายาทที่เธอนึกถึงนั้น กำลังอยู่ที่ริมหาดของหมู่บ้านชาวประมง

ที่นี่มีเจ้าของสมาคม และมีสาวใช้ของสมาคม และก็มี…หลี่ว์ปู้ไห่ซึ่งน่าจะถูกเผาไปเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณพวกคุณนะ” หลี่ว์ปู้ไห่มองลั่วชิว ถือว่าชายชราใจนิ่งสงบอย่างชัดเจน

พายุฝนที่เกิดขึ้นได้ผ่านไปแล้ว และทำให้ชาวประมงหนุ่มเมื่อวันวานที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยที่ชายหาด และไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ มีแววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งขึ้นแล้ว

“พวกเราแค่ทำให้ความปรารถนาคุณเป็นจริงเท่านั้นเองครับ คุณลูกค้า”

“ไม่ว่ายังไง” หลี่ว์ปู้ไห่ส่ายหน้า “นี่ก็เพียงพอแล้วล่ะ”

เขาหันหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งไม่มีทางช้างเผือกบนฟ้ามานานแล้ว ทะเลใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นสีดำสนิท ชายชรากลับเดินลงทะเลไปทีละก้าว

น้ำทะเลกลืนสองขาเขาหายไปแล้ว จนถึงเอวของเขา และกลืนหัวของเขาจมมิดไปแล้ว

ตอนที่บ่าของเขาใกล้จะจมน้ำทะเลไป ชายชราก็ยิ้มน้อยๆ ราวกับมองเห็นหญิงสาวที่ลอยมาติดชายหาดคนนั้นเมื่อหลายปีก่อนอยู่ตรงหน้า

“เธอบอกว่า เธออยากจะเป็นปลาที่ว่ายไปในมหาสมุทร…บางทีเธออาจจะว่ายไปในทะเลแล้วจริงๆ ฉันมาหาเธอแล้ว สุ่ยเอ๋อร์”

ตอนที่ตัวเขาจมน้ำทะเลไปมิดแล้ว ชายชราแห่งหมู่บ้านประมงเล็กๆ ริมชายหาดคนนี้ก็กลายเป็นปลาสีฟ้าตัวใหญ่ว่ายหายไปบนผิวน้ำทะเลในที่สุด

ลั่วชิวพยักหน้าไปทางทะเลเงียบๆ พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณลูกค้า ขอบคุณที่มาครับ”

เจ้าของร้านลั่วยังตากลมทะเลอยู่ สาวใช้ที่อยู่เป็นเพื่อนเขากลับมองไปทางด้านหลังทันที

ตอนที่เสียงฝีเท้าเหยียบย่างไปบนชายหาดค่อยๆ ดังชัดเจนขึ้น เสียงของปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรก็ดังขึ้น “หลี่ว์ปู้ไห่ ตอนนั้นแค่แกล้งตายจริงๆ ด้วย…พวกรุ่นพี่จัดการนี่เอง”

ลั่วชิวหันกลับมา

ควรบอกสักหน่อยหรือเปล่าว่า ‘สิ่งที่คุณรู้มีมากเกินไป’ ?

มั่วมั่วกลับขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมหลี่ปู้ไห่ถึงกลายเป็นปลาไปได้…ไม่สิ นี่เขากลับคืนสู่ร่างเดิมหลังจากกลายเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่น่าจะมีชีวิตยืนยาวนี่ บางทีเขาอาจจะว่ายไปอีกฝั่งของทะเลไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมคิดมาตลอดว่าหลี่ว์อีอวิ๋นจะกลายร่างเป็นปีศาจได้ ซึ่งเป็นลักษณะที่หลงเหลือตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผมคิดว่าตัวผู้หญิงที่โผล่มาจากชายหาดคนนั้นก็เป็นปีศาจตนหนึ่ง อย่างน้อยเธอก็มีสายเลือดปีศาจ แต่หลี่ว์ปู้ไห่กลับ…พวกรุ่นพี่เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำให้คนกลายเป็นปีศาจได้?”

“ผมไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นปีศาจ” ลั่วชิวส่ายหน้า “ส่วนทำไมนั้น…คุณลูกค้า อยากรู้ไหมครับ?”

มั่วมั่วนิ่งอึ้ง

วินาทีนี้เอง ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก

นี่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงตูมตาม จนถึงกับถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้สึกตัว

มั่วมั่วส่ายหน้า “ลางสังหรณ์บอกผมว่า นี่จะทำให้ยุ่งยากขึ้น”

ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ

มั่วมั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง มองทะเลผืนนี้อยู่เงียบๆ ฉับพลันก็พูดว่า “รุ่นพี่เคยบอกว่า ดวงจิตของมนุษย์มหัศจรรย์มาก ขอเพียงแสงสว่างเล็กน้อยก็กำจัดความมืดมิดภายในใจทั้งหมดได้…แต่อาจารย์ผมก็เคยบอกว่าที่เลือดเย็นที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าใจมนุษย์”

เขามองลั่วชิว “ดังนั้นใจมนุษย์คืออะไรกันแน่?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมก็กำลังหาคำตอบอยู่” ลั่วชิวส่ายหน้า มองออกไปทางทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา “เพียงแต่ ที่เลือดเย็นที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าใจมนุษย์ และที่อบอุ่นที่สุดก็น่าจะเป็นใจมนุษย์”

ที่เลือดเย็นที่สุดไม่มีอะไรเกินกว่าใจมนุษย์

ที่อบอุ่นที่สุดก็คือใจมนุษย์เช่นกัน

มั่วมั่วพึมพำกับตัวเอง ก่อนหลับตาสองข้างลง นั่งขัดสมาธิบนชายหาดทันที แสงสีทองที่เปล่งออกมาเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว

ลั่วชิวมองดูแววตาพึงพอใจมากขึ้นของสาวใช้ แล้วก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “กลับกันเถอะ”

ไม่กี่วันก่อน

ในห้องทำงานของคลินิกเล็กๆ ของหลี่ว์เฉาเซิง

คุณสาวใช้หาเอกสารฉบับหนึ่งได้จากด้านในสุดของตู้เอกสารที่ล็อกไว้เป็นอย่างดี

ใบหน้าสาวใช้จึงมีรอยยิ้มน้อยๆ มองลั่วชิว แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่านคะ ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจบางอย่างค่ะ”

“สิ่งที่น่าสนใจ?”

เจ้าของสมาคมรับเอกสารมา กำลังพลิกอ่าน

นี่คือการค้นพบส่วนหนึ่งตั้งแต่ตอนที่หลี่ว์เฉาเซิงเป็นหมอในหมู่บ้านประมงแห่งนี้

เขาค้นพบว่าสุขภาพของชาวบ้านบางส่วนจะมีกระดูกซี่โครงน้อยกว่าคนปกติไปหกซี่ แต่ยังคงใช้ชีวิตได้ปกติสุข ถึงขนาดมีสุขภาพแข็งแรงกว่า…