บทที่ 29 ภาษาดอกไม้ชั้นที่สอง โดย Ink Stone_Fantasy
ตอนเสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น หลีจื่อก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่เริ่น พี่ยังจะถ่ายอะไรอีกล่ะคะ?”
อันที่จริงหลีจื่อไม่รู้ว่าเริ่นจื่อหลิงยังจะถ่ายพวกนี้ไปทำอะไร
เธอถ่ายภาพด้านหลังชาวบ้านที่กำลังทำความสะอาดดินถล่มบนถนน
วันนี้ก็น่าจะทำความสะอาดถนนจนพอเดินทางได้แล้วล่ะมั้ง?
“ถ้าเธอเบื่อล่ะก็ ไปเดินเล่นในหมู่บ้านสักหน่อยก็ได้นี่”
หลี่จื่อเบะปากบอกว่า “มีอะไรน่าดูกันล่ะ ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครเดินออกมาเลย”
เอายาต้านไวรัสออกมาแล้ว และตามที่หลี่ว์เฉาเซิงพูดไว้ หลังจากทำให้เจือจางก็ค่อยๆ ฉีดให้ชาวบ้านที่ติดเชื้อทีละราย สุขภาพของชาวบ้านที่ติดเชื้อก็จะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงได้แต่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
นักเดินทางก็ยังไม่ได้จากไปทันที เพราะถึงแม้ว่าจะได้ยาต้านไวรัสมาแล้ว แต่ตามที่หลี่ว์เฉาเซิงบอก นี่เป็นสิ่งที่เขาปรุงขึ้นมาได้ด้วยความบังเอิญ เขาเอาแต่ศึกษาค้นคว้ายาตัวนี้ตลอด แต่สุดท้ายไม่อาจปรุงขึ้นมาได้อีก
หม่าโฮ่วเต๋อคิดว่าแค่ตัวยาของหมอคนนี้ฝ่ายเดียวนั้นคงรักษาไม่หายขาด จึงกังวลว่าไวรัสในหมู่บ้านยังไม่ได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้น ดังนั้นเลยติดต่อทีมรักษาพยาบาลทีมหนึ่ง ดำเนินการคัดแยกคนไข้ในหมู่บ้านนี้ออกชั่วคราว รอหลังจากตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดพลาดจริงๆ ถึงจะคิดทบทวนให้พวกลั่วชิวสามสี่คนจากไป
ดังนั้นก็เลยอยู่ต่อมาอีกนานหลายวัน
“เอ๊ะ ทำไมพวกเขาถึงขนดินทรายพวกนี้ไปบนเขาล่ะ?” หลีจื่อมองชาวบ้านพวกนั้นขนเศษหินดินทรายขึ้นรถบรรทุก แต่ไม่ได้โยนทิ้งทะเลหรือกองไว้ในป่าเขา “นี่…เหมือนว่าจะขึ้นไปผาฟังเสียงคลื่น?”
เริ่นจื่อหลิงยังคงกดชัตเตอร์กล้อง กล้องจับภาพอะไรอยู่ ดูเหมือนว่ามีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่รู้
เธอเปลี่ยนไปอีกมุม ย่อตัวลงพลางปรับเลนส์กล้อง พลางพูดว่า “อู๋ชิวสุ่ยบอกว่า หลังจากชาวบ้านปรึกษาหารือกัน คิดจะเอาเศษหินเศษดินพวกนี้มาสร้างรูปปั้นอันหนึ่ง”
“รูปปั้น?”
“รูปปั้นภรรยาเทพเจ้าทะเล” เริ่นจื่อหลิงพูดเสียงเฉยเมย “ไว้กราบไหว้บูชา”
หลีจื่ออ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้น เหม่อมองไปหน้าผาแหว่งแห่งนั้น เธอลูบเส้นผมที่พัดพริ้วตามลมทะเล
ฉับพลันนั้นหลีจื่อก็พูดว่า “พี่เริ่น ฉันช่วยพี่ก็แล้วกัน!”
“เธอไม่ร้องหิวก็ถือว่าช่วยฉันได้มากแล้วล่ะ” เริ่นจื่อหลิงพูดพลางมองค้อน
“อย่าพูดแบบนี้สิคะ…” หลีจื่อสีหน้าน้อยใจ
…
“เซอร์หม่าครับ จากคำให้การของหลี่ว์เฉาเซิง พวกเราเจอดินระเบิดที่เขาใช้ทำลายหน้าผาครบทั้งหมดแล้ว น่าจะไม่มีตกหล่นครับ”
ในคลินิกเล็กๆ หม่าโฮ่วเต๋อมองของในกล่องที่ค้นเจอ “เป็นดินระเบิดทั้งหมด”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า ถอนหายใจพลางพูดขึ้น “นี่หลี่ว์เฉาเซิงก็ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์เหมือนกันนะ คิดค้นยาต้านไวรัสได้โดยลำพัง แต่น่าเสียดายที่เดินผิดทาง”
นายตำรวจหนุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วยทีเดียว แล้วพูดว่า “แต่เซอร์หม่าครับ เรื่องนี้จะปล่อยไว้แบบนี้เหรอครับ?”
“นอกจากตายเพราะตกใจแล้ว…” หม่าโฮ่วเต๋อพูดเสียงเย็นชาว่า “คนที่ติดเชื้อในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครเสียชีวิตสักคน คนทั้งหมู่บ้านนี้เห็นพ้องว่าจะไม่สืบสาวเอาเรื่องต่อ…พูดตามจริงแล้ว หากพวกเขาคิดจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ผมก็จะสืบสาวเรื่องที่พวกเขาเคยทำไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนเหมือนกัน ถึงแม้จะหมดอายุความไปแล้ว ผมก็จะให้คำวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมประณามคนพวกนี้ให้กระอักเลือดตายไปเลย!”
“นี่…เซอร์หม่าใจเย็นหน่อยนะครับ!” นายตำรวจหนุ่มปาดเหงื่อพลางพูดว่า “แต่แบบนี้ด้านขั้นตอนเหมือนว่าจะ…”
“นี่ผมเรียกว่าการพลิกแพลง!”
หม่าโฮ่วเต๋อทำเสียงพ่นจมูกหึๆ พลางพูดว่า “พวกคุณยังอายุน้อย! วัยรุ่นทำผิดก็ถือเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ แต่พอจะกลับตัวได้ ทำไมพวกเราจะไม่ให้โอกาสพวกเขาล่ะ? ผิดเพียงครั้งเดียวถึงกับต้องเอาให้ถึงตาย นี่น่ายกย่องหรือ? ใช่อยู่พวกเราเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่พวกเรารักษากฎหมายไปเพื่อใคร? ถ้าแม้แต่พวกเรายังไม่ให้โอกาสเขา แล้วยังมีใครให้โอกาสเขาแก้ตัวบ้าง? กฎหมายก็ไม่ได้ไร้น้ำใจ กฎหมายมีไว้เพื่อลงโทษตักเตือน และควบคุม แต่ก็เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัวอีกครั้ง”
“เซอร์หม่า ผมเข้าใจแล้วครับ!” นายตำรวจยศน้อยมีสีหน้าท่าทางเข้าใจ
หม่าโฮ่วเต๋อกลับจ้องตาถลึง “คุณเข้าใจบ้าอะไรล่ะ! ผมเป็นคนใกล้เกษียณ อย่ามาเอาอย่างผม!ยังไม่รีบเอาของพวกนี้ไปอีก!”
“ทราบ ทราบแล้วครับ!” นายตำรวจหนุ่มรีบกุลีกุจอยกกล่องขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าวิ่งออกไป
เซอร์หม่าเห็นท่าทางนายตำรวจหนุ่มเร่งรีบออกไปก็ถอนหายใจพลางพูดขึ้น “แต่ก็ต้องให้คนทำผิดยินดีขอโอกาสกลับตัวเอง มันถึงจะมีคุณค่า”
จู่ๆ หม่าโฮ่วเต๋อก็ถ่มน้ำลาย มองคลินิกเล็กๆ แห่งนี้ “ถุย! ถ้าเป็นตายก็ไม่ยอมเปิดโอกาสล่ะก็ สมควรตายจริงๆ!”
หม่าโฮ่วเต๋อผู้มีพุงพลุ้ย ที่อีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณแล้ว ยังคงมีอารมณ์หุนหันพลันแล่น
…
…
ในศาลาบนสนามหญ้าซึ่งเชื่อมต่อกับบ้านพักตากอากาศ บนม้านั่งยาวซึ่งหันหน้าออกสู่ทะเล ริมรั้วตัวนั้น ลั่วชิวกำลังนั่งก้มหน้าถือดินสอวาดรูป
สิ่งที่วางอยู่ข้างๆ คือกาน้ำชาและแก้วชา ส่วนคุณสาวใช้ก็ยืนอยู่ข้างๆ
นี่ก็คือฉากที่หลี่ว์อีอวิ๋นมองเห็น…แม้เธอรู้ว่าสองคนนี้ เริ่นจื่อหลิง และหลีจื่อเป็นนักเดินทางที่มาด้วยกัน แต่กลับรู้สึกว่าสองคนนี้กับสองคนนั้นอยู่คนละโลก
แม้ผ่านเรื่องที่ผาฟังเสียงคลื่นมาแล้ว ตอนที่สาวน้อยเผชิญหน้ากับสองคนนี้ ยังคงมีความรู้สึกยำเกรงซาบซึ้งบุญคุณอย่างมาก
สาวน้อยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายยังคงเดินเข้าไปหา “คุณ คุณลั่ว คุณโยวเย่”
“กินขนมไหม?” ลั่วชิวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “คุกกี้ที่โยวเย่ทำ รสชาติใช้ได้เลย”
“ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่หิว” หลี่ว์อีอวิ๋นรีบโบกมือพูด
ถ้าบอกว่าเมื่อหลายวันก่อนแค่รู้สึกว่าเข้าถึงยาก…อย่างนั้นตอนนี้ก็รู้สึกกดดันอย่างมาก
“ได้ยินว่าเถ้าแก่เนี้ยไปแล้ว?”
หลี่ว์อีอวิ๋นพยักหน้าพูด “แม่…เธออยู่ไม่ได้แล้ว คนในหมู่บ้านรู้เรื่องเธอกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เมื่อคืนล่ะมั้ง ก็แอบหนีไปแล้ว ไม่ได้เอาอะไรไปเลย พ่อฉันบอกว่า ตอนแรกที่แต่งงานกับเธอก็เพื่อให้ดูแลฉันเท่านั้นแหละ…ตอนนี้ไปแล้วก็ไปเถอะ เธอก็อายุขนาดนี้แล้ว ออกไปแล้วก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตดีๆ ได้”
ปัญหาของหลัวอ้ายอวี้เป็นเรื่องส่วนตัวของหลี่ว์ไห่ ลั่วชิวได้รู้แล้ว และไม่ได้สนใจสืบสาวต่อไป
ตอนนี้มือลั่วชิวกลับหยุดนิ่ง มองหลี่ว์อีอวิ๋นพลางพูดว่า “วันนั้นวิธีที่โยวเย่จู่โจมคุณไป ถือว่าได้ทำลายปีศาจที่อยู่ในตัวคุณแล้ว และตัวคุณเองก็ได้กำจัดปีศาจทิ้งไปแล้ว โดยพื้นฐานแล้วจะไม่เกิดซ้ำขึ้นอีก แต่ตัวคุณเองก็ระมัดระวังไว้สักหน่อย ความเจ็บปวดเสียใจที่มากเกินไปอาจเป็นโอกาสให้ปีศาจของคุณฟื้นกลับคืนมาอีกได้”
“ฉัน ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “บาดแผลบนตัวคุณดีขึ้นบ้างหรือยังครับ?”
หลี่ว์อีอวิ๋นเผลอลูบที่ท้องน้อยตนเองอย่างลืมตัว พลางพูดว่า “ถ้าไม่เคลื่อนไหวก็ดีค่ะ”
“งั้นเหรอ…” ลั่วชิวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน มองตาสาวน้อย ไม่พูดอะไรสักคำ แต่หันเดินกลับไปที่บ้านพักตากอากาศ
สาวน้อยกำลังมองของที่วางอยู่บนม้านั่งยาว รีบพูดว่า “คุณลั่ว ของของคุณไม่ได้หยิบไปด้วย”
“คุณปู่คุณให้ผมเอามาให้คุณ เก็บไว้เถอะครับ”
“คุณปู่…”
สาวน้อยนิ่งอึ้ง เธอหยิบของที่วางอยู่บนม้านั่งขึ้นมาอย่างเผลอไผล นี่เป็นภาพร่างในกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง
ที่จริงก็ไม่ใช่กระดาษสีขาวบริสุทธิ์ แต่เป็นกระดาษวาดภาพสีเหลืองอ่อนๆ…เป็นหนึ่งในภาพวาดมากมายที่คุณปู่ของเธอเก็บไว้ในห้อง
เพียงแต่ภาพวาดพวกนั้นมีแค่โครงร่างธรรมดา ทว่าวันนี้ได้สมบูรณ์แล้ว นั่นเป็นรูปของสาวน้อยคนหนึ่ง
บนกระดาษวาด ยังวางดอกดาวสีฟ้าที่ปลูกไว้ในสวน และเด็ดมาใหม่ๆ ดอกหนึ่ง
หลี่ว์อีอวิ๋นอ่านข้อความพวกนั้นที่เขียนไว้ข้างๆ ภาพร่างภาพนี้อยู่เงียบๆ…ข้อความที่ชายลึกลับคนนี้เขียนไว้
‘ชีวิตของดอกดาวสีฟ้ามีเพียงแค่วันเดียว’
‘ดอกไม้ที่ได้เห็นในทุกวัน แตกต่างไปจากวันวาน และสดใหม่เสมอ’
‘แต่รากของพวกมัน ยังคงเป็นรากของเมื่อวาน’
‘ดอกดาวสีฟ้าจึงมีอีกความหมายว่า โอบกอดปัจจุบันเอาไว้’
สาวน้อยมองดูทะเลที่อยู่ตรงหน้า โอบกอดดอกดาวสีฟ้าในฝ่ามือไว้ในอ้อมอก เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว เข้าใกล้ตรงรั้วราวกั้นอีกนิด
สาวน้อยหลับตาลง สองมือประสานกัน กุมดอกไม้ในฝ่ามือเบาๆ ราวกับอธิษฐาน
หลังจากนั้นเธอก็ฮัมเพลงเบาๆ
นั่นเป็นทำนองเพลงลึกลับที่เคยมีคนบันทึกไปเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้ร้อง มีเพียงแค่เสียงฮัมทำนองเพลงเท่านั้น
ไม่มีพลังน่าอัศจรรย์ที่ชวนให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์แล้ว บางทีคงเพราะว่าไม่มีเนื้อเพลงแล้ว และบางทีคงเพราะว่าไม่อาจร้องเนื้อเพลงแบบนั้นออกมาอีกแล้วเช่นกัน
แต่ว่า
ฮัมเพลงไปเรื่อยๆ เวลาก็ผ่านไปแล้ว