บทที่ 3 บทที่ 3 ตอนที่ 30 เต่าทะเลดึกดำบรรพ์

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 30 เต่าทะเลดึกดำบรรพ์ โดย Ink Stone_Fantasy

 

ถ้ามีเพลงดนตรีประกอบ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาตอนนี้น่าจะเหมาะใช้ประกอบเอ็มวีอะไรแบบนั้น

เรื่องที่เกิดในหมู่บ้านประมงกระทบจิตใจผู้คนอย่างมาก

กระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังยากจะอธิบาย

แต่พวกเราลืมอะไรไปแล้วหรือเปล่า?

ใช่ ก็อย่างว่าแหละ ก่อนจากไปหนึ่งวัน รองบรรณาธิการเริ่นยังใช้วิธีเดิมๆ ลากสองคนที่เธอเหมาเอาเองว่าเป็นสองสามีภรรยาอย่างเป็นทางการมาที่ชายหาด

เอ่อ…อย่างเป็นทางการในแบบเริ่นจื่อหลิง

“ทะเล!แสงแดด! ชายทะเล! นี่สิถึงเรียกว่าหน้าร้อน! แถมเป็นที่นั่งชมแบบเหมาส่วนตัวของพวกเราอีก!!” เริ่นจื่อหลิงอุทานขณะหันหน้าไปทางทะเล

“ไม่มีคนแน่อยู่แล้วค่ะ…เดิมลูกค้าที่มาบ้านพักตากอากาศในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แถมยังพากันติดเชื้ออีก ตอนนี้ยังพักรักษาตัวกันอยู่เลย” หลีจื่อพูดอย่างขบขัน

แต่ว่าบนหาดทรายที่กว้างใหญ่แบบนี้ ความรู้สึกที่มีแค่คนสี่คนแบบนี้มันสุดยอดไปเลยจริงๆ นะ!

“อย่าเอ็ดไป!” เริ่นจื่อหลิงหัวเราะฮาดังลั่น เดินย่ำไปบนน้ำทะเลริมชายหาดพลางถอดเสื้อคลุมบนตัวออก

ในความเป็นจริงหน้าอกขนาด 35D ของรองบรรณาธิการเริ่น เป็นที่ประทับใจของคนในกองบรรณาธิการนิตยสารเสมอมา ตอนนี้เธอเลือกชุดว่ายน้ำทูพีชสีชมพู…ที่จริงภาพตอนที่เริ่นจื่อหลิงวิ่งนั้นมันกระทบกระเทือนจิตใจหลีจื่ออย่างรุนแรง จนเธอไม่กล้ามองเลยจริงๆ

โดยเฉพาะรูปร่างราวกับเด็กมัธยมต้นอย่างเธอ และชุดทรงกระบอกสีเหลืองมะนาวที่เธอสวมอยู่นั้น… “ถ้าไม่เปรียบเทียบก็จะไม่รู้สึกเจ็บใจ…จะยังไงก็ช่าง ฉันเป็นปีศาจนี่!”

“พวกเธอมัวอึ้งอะไรกันอยู่ มาสิ!” เริ่นจื่อหลิงลงไปในน้ำทะเลแล้ว สีหน้ามีความสุข

หลีจื่อหันกลับไปมองทางอื่นอัตโนมัติ

ลั่วชิว…ลั่วชิวกำลังเสียบร่มกันแดดที่ยืมมาจากบริเวณใกล้ๆ และปูผ้าสำหรับนั่ง ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะลงเล่นน้ำเลย

แต่เหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างกับโยวเย่ พอโยวเย่พยักหน้า ถึงได้อมยิ้มแล้วเดินมา

การออกมาข้างนอกในวันนี้ คุณสาวใช้ได้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดผมที่ยาวปลิวสยายเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ แล้วเธอก็ค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมกันลมบางๆ สีขาวที่สวมอยู่บนตัวออก

ด้านในยังเป็นชุดว่ายน้ำสีขาว

สำหรับหลีจื่อแล้ว ถ้าบอกว่าพี่เริ่นเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ อย่างนั้นคนที่เดินมาหาเธออย่างสงบเสงี่ยม พูดน้อยแต่ดูพูดจาดีมากคนนี้ก็คงเป็นเหมือนการบุกจู่โจมเธอเลยล่ะมั้ง?

“ไม่นึกเลย…ไม่นึกเลย…” หลีจื่อพูดพึมพำกับตนเอง

หญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความงดงามแบบฉบับโบราณ นึกไม่ถึงว่าชุดที่เธอสวมอยู่จะเป็นชุดว่ายน้ำบิกินี่ ตรงกระดูกเชิงกรานช่วงเอวแต่ละข้างผูกเงื่อนโบว์ไว้ ซึ่งสะบัดไปมาตรงขาสองข้างระหว่างเดิน แทบจะสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สิ่งที่ปิดบังจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอยู่ เป็นแค่ผ้าสีขาวชิ้นเล็กๆ เท่านั้น

“คุณหลีจื่อ คุณไม่ลงเล่นน้ำเหรอคะ?”

“เรียกฉันหลีจื่อก็ได้ค่ะ…” หลีจื่อหัวเราะแห้งๆ สองครั้ง

สิ่งกระตุ้นความเจ็บจี๊ดในใจยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เธอได้แต่ยิ้มพูดด้วยความลำบากใจ “งั้นลงเล่นน้ำกันเถอะค่ะ เล่นน้ำกัน…”

ถึงอย่างไรก็พูดไม่ได้นะ ถึงแม้เธอก็เป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมองค้างเหมือนกันเลย?

“ถ้าอย่างนั้น ลงเล่นน้ำกันเถอะหลีจื่อ” โยวเย่ยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ดึงมือหลีจื่อไป

ลั่วชิวมองท่าทางของทั้งสามคนที่กำลังเล่นน้ำอยู่ ก็ยิ้มเล็กน้อย หยิบน้ำโซดากระป๋องหนึ่งออกมาจากกล่องรักษาอุณหภูมิแล้วดื่มอึกหนึ่ง ก่อนใช้เสื้อผ้าคลุมสองขาและแขนไว้ แล้วถือวิสาสะใช้หมวกของโยวเย่มาคลุมใบหน้าตนเองแล้วเอนตัวลงนอน จากนั้นก็ไม่ขยับอีกเลย

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองสามคนก็ขึ้นมาบนหาด

เริ่นจื่อหลิงตรงมาข้างๆ ลั่วชิว “เด็กนี่!! ยังไงเราก็มาถึงทะเลกันแล้ว เธอมาหลับตรงนี้ไม่เบื่อเหรอ?”

ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว แล้วเปิดหมวกใบนั้นออกซะเลย สิ่งที่เห็นกลับเป็นแค่…หัวที่ใช้ทรายก่อกองขึ้นมาเท่านั้น

นี่ใช่ลั่วชิวที่ไหนกัน นี่มันแค่ทรายที่ก่อขึ้นมาเป็นร่างคนเท่านั้นเอง

“พอฉันไป…เจ้าเด็กแสบนี่ก่อทรายเป็นตัวคนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…แล้วตัวเขาล่ะ?” เริ่นจื่อหลิงมองไป ที่นั่นรอบๆ จะไปมองเห็นใครได้?

“เขาชอบไปเดินเล่นรอบๆ ค่ะ น่าจะกำลังเดินเล่นอยู่ที่อื่นล่ะมั้งคะ” ฉับพลันนั้นโยวเย่ก็พูดขึ้นมาเบาๆ

“เรื่องนี้ฉันรู้น่า!” เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างโกรธๆ “แต่เธออยู่ที่นี่นะ! เป็นแฟนกัน เดินหายไปแบบนี้ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบเลยนะ!”

คุณสาวใช้พูดเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนี่คะ พวกคุณอยู่เป็นเพื่อนฉันก็โอเคแล้วล่ะค่ะ”

ช่างเป็นเด็กแสนดีมากเสียจริง!

บนโลกใบนี้ยังมีเด็กสาวแบบนี้อยู่จริงๆ สินะ…เจ้าเด็กแสบนั่นต้องสั่งสมบุญมากี่ชาติถึงโชคดีขนาดนี้เนี่ย!

รองบรรณาธิการเริ่นก็กุมมือโยวเย่ขึ้นมา พูดอย่างสนิทสนมว่า “มา! ฉันจะสอนวิธีเอาชนะใจสามีให้เธอนะ! เธอเป็นแบบนี้จะถูกรังแกเอาได้! ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะลูกสาว ตอนที่จำเป็นก็ขี่ได้นะ!”

พรวด!

พี่เริ่น สิ่งที่พี่สอนนี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?!

หลีจื่ออ้าปากค้าง…นิ่งตะลึงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว

ลั่วชิวกระโดดสบายๆ อยู่บนหินโสโครกระเกะระกะในทะเล ราวกับจอมยุทธ์ที่อยู่ในภาพยนตร์ หลังจากกระโดดไปสักพักหนึ่งก็หมดความสนใจแล้ว

ที่นี่คือด้านล่างของผาฟังเสียงคลื่น

การพังทลายของหน้าผาครั้งหนึ่งเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน และสี่สิบห้าปีให้หลังก็ถูกหลี่ว์เฉาเซิงระเบิดอีกครั้งตามคำสั่งของหลี่ว์อีอวิ๋น

หินผาซึ่งถล่มมาจากภูเขาถึงสองครั้งมารวมกับหินโสโครกที่มีอยู่เดิมแล้วที่นี่ ทำให้สถานที่แห่งนี้รกระเกะระกะเป็นที่สุด ตอนที่คลื่นทะเลซัดยิ่งรุนแรงน่ากลัว

อย่าว่าแต่เรือประมงลำเล็กๆ เลย ขนาดคนที่ว่ายน้ำแข็งๆ ก็คงไม่กล้าพรวดพราดเข้ามายังที่แห่งนี้

ลั่วชิวถือว่ารายงานเรื่องหมู่บ้านหลี่ว์ที่เขาพบในคลินิกเล็กๆ ชุดนั้น เป็นของหวานที่ได้ลิ้มลองครั้งสุดท้ายก่อนออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป

เขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านมาสี่สัปดาห์ก็ยังไม่พบอะไร สุดท้ายเลยคิดใคร่ครวญถึงด้านล่างหน้าผาที่ยากจะเข้าไปใกล้ได้แห่งนี้

เพิ่งจะเลยช่วงเที่ยงมา ระดับน้ำทะเลยังไม่ลดลง ลั่วชิวมองใต้หน้าผาซึ่งโล้นโล่ง สุดท้ายดูเหมือนว่าจะไม่พบอะไรที่นี่เลย

เจ้าของร้านลั่วส่ายหน้า กำลังคิดจะออกไป แล้วพลันก็ขมวดคิ้ว

เขาพบว่าจุดหนึ่งบริเวณหน้าผานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ…มันมีหินส่วนที่ยื่นออกมาก้อนหนึ่ง บนนั้นมีตะไคร้น้ำเกาะเต็มมาตั้งนานแล้ว

นี่น่าจะเป็นหินแผ่นใหญ่ที่ร่วงลงมาจากภูเขาเมื่อสี่สิบห้าปีก่อน

ลั่วชิวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไป ขยับไปมากลางอากาศ แล้วหินผาที่น้ำหนักเกินยี่สิบสามสิบตันก็ค่อยๆ ขยับไปอีกด้านหนึ่ง

น้ำทะเลเริ่มไหลทะลักเข้าไปตรงช่องนี้ทันที หลังจากนั้นก็กลับคืนสู่ระดับความสูงเท่าเดิมอย่างรวดเร็ว

ลั่วชิวเดินไปอยู่บนผิวน้ำ แล้วน้ำทะเลในระยะประมาณสิบตารางเมตรก็แยกออกอย่างเป็นธรรมชาติ ในที่สุดก็พบสาเหตุที่น้ำทะเลไหลวนเข้ามา

ใต้ผิวน้ำทะเลมีปากถ้ำกว้างประมาณสิบเมตร เหมือนว่าลั่วชิวได้เจอสิ่งที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว แววตาเขาเป็นประกาย จากนั้นเขาก็ ‘เดินเข้าไป’ ในถ้ำใต้น้ำทะเลแห่งนี้

ปากทางเข้าถ้ำแห่งนี้เหมือนทางเดินสายหนึ่ง ตรงเข้าไปส่วนลึกที่อยู่ใต้ภูเขา

ระยะทางน่าจะประมาณสามสิบกว่าเมตรได้ล่ะมั้ง เดินเข้ามาถึงสุดทางเดินของเส้นทางสายนี้แล้ว ลั่วชิวจึงเงยหน้าขึ้น…ช่องทางเดินเส้นนี้ดูเหมือนธรรมชาติได้สร้างสรรค์เป็นรูปตัวอักษร ‘U’

ส่วนใต้ฐานภูเขาที่อยู่ด้านในนี้เป็นที่ว่าง

เขาออกมาจากทางเดินรูปตัวอักษร ‘U’ นี้แล้ว น้ำทะเลพวกนั้นก็ไหลทะลักเข้ามาอีกครั้ง แล้วที่นี่ก็มืดมิดลง แต่น่าประหลาดใจที่กลับไม่รู้สึกว่าอากาศอับแต่อย่างใด…น่าจะยังมีช่องอากาศอยู่ที่ไหนสักแห่งให้อากาศได้ถ่ายเท

เขาเปิดไฟฉายในโทรศัพท์มือถือ จึงพอมองเห็นพื้นที่ตรงนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น

ลั่วชิวมองเห็นบางสิ่งบางอย่างปรากฏอยู่ตรงหน้าตนเอง…เอ่อ เต่าตัวหนึ่ง

เต่าที่ใหญ่มหึมามากตัวหนึ่ง!

น่าจะเป็นเต่าทะเลล่ะมั้ง?

ลั่วชิวเดินวนรอบเต่าทะเลมหึมาตัวนี้ ดูเหมือนว่าทางเดินทั้งหมดเมื่อครู่เกิดขึ้นตามรูปร่างของเต่าทะเลตัวนี้ และออกจะแคบไปสักหน่อย ทำให้มันเดินต่อไปได้เลย

ในที่สุดลั่วชิวก็เดินมาตรงหน้าเต่าทะเลตัวนี้ เจ้านี่ไม่ได้มีสมองใหญ่ไปกว่ามนุษย์สักเท่าไร

หลังจากชั่วพริบตานั้นเองนัยน์ตามหึมาสีดำสนิทคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น

วินาทีที่เต่าทะเลยักษ์ลืมตาขึ้นมา ลั่วชิวก็รู้สึกราวกับจมไปในมหาสมุทร…ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร น่าจะบอกว่าเป็นความรู้สึกเย็นเป็นระลอกๆ ทำให้เขารู้สึกสบายตัวมากกว่า

เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้พินิจพิจารณาลั่วชิว และลั่วชิวเองก็พินิจพิจารณาดวงตาคู่นี้ของมันเช่นกัน

“เจ้าเป็นใคร?”

ลั่วชิวได้ยินเสียงแบบนี้มันไม่ใช่ภาษาที่สื่อสารกันด้วยการเปล่งเสียง แต่เหมือนเป็นการสื่อสารทางจิตมากกว่า

ลั่วชิวพูดด้วยความอยากรู้ทันที “คุณรู้จักการสื่อสารทางจิต?”

“อะไรคือการสื่อสารทางจิต? ข้าไม่รู้จัก ข้าแค่นึกเท่านั้นเอง เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมารบกวนเวลานอนของข้า?”

เจ้าของสมาคมเคยแต่พูดคุยกับคน แต่ตอนนี้ได้พูดคุยอย่างสนุกกับสิ่งมีชีวิตนอกเหนือมนุษย์อย่างคาดไม่ถึง “ผมน่ะเหรอ? ก็แค่เดินไปทั่วด้วยความอยากรู้ครับ แล้วก็บังเอิญมาพบสถานที่แห่งนี้ พูดตรงๆ แล้ว ผมเพิ่งจะเคยเห็นเต่าทะเลยักษ์อย่างคุณ…คุณเป็นปีศาจสินะครับ?”

เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้กลับพูดว่า “ปีศาจคืออะไร?”

“น่าจะเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในระยะที่สองหลังจากเริ่มมีสติปัญญา…อย่างเช่นเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างไม่แตกต่างกับผมนี่”

“ฉันไม่เป็นแบบนั้นหรอก”

ลั่วชิวนิ่งอึ้ง แต่พบเจอเต่าทะเลตัวหนึ่งที่ใช้จิตสื่อสารได้ กลับทำให้เขารู้สึกสนุกเลยถามว่า “คุณมาจากที่ไหนกันครับ? อยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว…จริงสิ คุณอายุเท่าไรแล้ว?”

“ข้าไม่รู้ว่าข้าอายุเท่าไรแล้ว” เต่าทะเลยักษ์ค่อยๆ พูดอย่างเนิบช้า…ท่วงทำนองแบบนั้นช้ามากจริงๆ “ตอนแรกเริ่ม ฉันจำได้ว่า บนโลกน่าจะมีเจ้าหัวโตเยอะแยะมากมายเลยล่ะ”

“หัวโต? หน้าตาเป็นยังไงครับ?” ลั่วชิวขมวดคิ้วถาม

“บางตัวหัวโตมาก ขาหลังแข็งแรงมาก แต่สองขาหน้ากลับเล็กนิดเดียว ใช่แล้ว ฟันของพวกมันแหลมคมมาก และชื่นชอบอยู่ลำพังตัวเดียว นอกเสียจากช่วงหน้าผสมพันธุ์ถึงจะพบเห็นเป็นคู่ ลักษณะตัวอื่นๆ ไม่แตกต่างกันนัก ขนาดก็ไม่แตกต่างกัน บางตัวคอค่อนข้างยาว มีบางตัวถึงขนาดบินบนฟ้าได้…ใช่แล้ว พวกมันมีหางที่แข็งแรงมาก”

เจ้าของร้านลั่วฟังไปฟังมา ก็ตะลึงงัน รีบเปิดโทรศัพท์…คิดไม่ถึงว่ายังพอมีสัญญานอยู่นิดหน่อย ไม่นานนัก เขาก็หาภาพในอินเตอร์เน็ตเจอภาพหนึ่ง ยื่นไปข้างหน้า “คุณลองดูหน่อย ใช่พวกนี้ไหมครับ?”

“นี่คือตัวอะไร? เอ่อ เหมือนข้าเคยเห็นเจ้านี่มาก่อน”

ลั่วชิวได้รับคำตอบที่ชัดเจนของเต่าทะเลยักษ์ตัวนี้แล้วก็ตกใจมาก สาเหตุที่ตกใจคือ ภาพที่เขาเอาภาพให้เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้ดู เป็นภาพไดโนเสาร์น่ากลัวภาพหนึ่ง

และยังเป็นชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า ‘cerasinops’ในยุคครีเทเชียส*

งั้นก็บอกได้ว่า เต่าทะเลยักษ์ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตในยุคครีเทเชียสแล้ว?

ยุคครีเทเชียสเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ถึงนับตั้งแต่จบยุคนี้ ก็ยังห่างจากตอนนี้เกือบเจ็ดสิบล้านปี…

ของจริงเลยเหรอเนี่ย? เต่าดึกดำบรรพ์!

ยุคครีเทเชียส*ยุคครีเทเชียสเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของไดโนเสาร์ และเป็นยุคที่ยาวนานที่สุด ประมาณ 4.0 ล้านปีก่อน เมื่อปลายยุคครีเทเชียสเมื่อ 65 ล้านปีก่อน เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ทำให้สิ่งมีชีวิตถึง 94% สูญพันธุ์ ซึ่งรวมถึงไดโนเสาร์ด้วย