บทที่ 31 อารยธรรมโบราณ โดย Ink Stone_Fantasy
ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นในยุคครีเทเชียสจริงๆ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็น่าจะเป็นพวกเต่าทะเลในยุคนี้ หรือก็คือเต่าทะเลดึกดำบรรพ์
ก่อนหน้าที่เขาจะมารับหน้าที่เจ้าของสมาคม เจ้าของร้านลั่วก็เป็นนักศึกษาวิชาเอกที่ว่าด้วยสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์คนหนึ่งเหมือนกัน ย่อมเข้าใจว่าการได้ค้นพบเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งแบบนี้มีความหมายทางชีววิทยาอย่างไรบ้าง
บางทีสิ่งมีชีวิตเกินจินตนาการแบบนี้ก็ช่วยให้มนุษย์เข้าใจขีดกำจัดของชีวิตได้ ซึ่งทำให้มนุษย์เกิดการพัฒนาได้ ส่วนที่เหลือยังมีการวิจัยเกี่ยวกับแผนที่พันธุกรรม วิถีการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงที่สามในระบบสุริยะนี้ ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้นนะ มันยังเข้าใจการสื่อสารด้วยจิต ดังนั้น มันจึงสามารถช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์เลียนแบบสภาพความเป็นอยู่ในยุคครีเทเชียสได้
และก็ไม่ใช่ปีศาจ แต่เกรงว่าจะอยู่มายาวนานกว่าปีศาจเสียอีก ตัวเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนี้เป็นประจักษ์พยานปาฏิหาริย์ของชีวิตอันน่าอัศจรรย์
ลั่วชิวเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณมีชื่อไหมครับ? คุณ…ยังมีพวกเดียวกันอยู่ไหม?”
“ข้าไม่มีชื่อ” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์พูดเนิบนาบ “พวกเดียวกัน…ก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็เคยมี เพียงแต่พวกมันไม่อยู่แล้ว ข้าเคยเห็นเพวกที่คล้ายข้าอยู่มาก แต่พวกมันทั้งหมดไม่ได้ถือเป็นประเภทเดียวกับข้าจริงๆ หรอก พวกมันก็แค่หน้าตาคล้ายเท่านั้นเอง”
ลั่วชิวพยักหน้า…ถ้าสิ่งมีชีวิตอย่างเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ยังมีชีวิตอยู่อีกเยอะล่ะก็ หลายปีมานี้โลกภายนอกคงต้องมีความเคลื่อนไหวบ้างสิ หรือเป็นไปได้ว่านี่เป็นตัวสุดท้ายที่ยังมีชีวิตตั้งแต่ยุคครีเทเชียสจนถึงปัจจุบัน
“จริงสิ คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง…เอ่อ นอนเหรอ?”
“แปลกมากเหรอ? ข้านอนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์บอก “ข้าเคยเปลี่ยนที่นอนมาหลายครั้งแล้ว มีครั้งหนึ่งจู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีหินก้อนมหึมาเป็นเปลวไฟตกลงมามากมาย กระแทกหน้าดินแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี แม้กระทั่งในทะเลก็วุ่นวายเหมือนกัน ข้าจึงจำต้องย้ายถิ่น มีครั้งหนึ่ง ภูเขาไฟในทะเลเริ่มปะทุ ข้าไม่ไปก็ไม่ได้เช่นกัน มีอีกครั้งหนึ่งทั่วทั้งโลกเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นเกินกว่าที่ข้าจะทนได้ ข้าจึงจำต้องหาสถานที่สักแห่งหนึ่งที่อบอุ่นกว่า…”
เต่าทะเลดึกดำบรรพ์เอาแต่เล่าประวัติการย้ายถิ่นฐานในช่วงระยะเวลายาวนานนี้ของมัน อาจด้วยเวลาผ่านมานานจนตัวมันเองก็ลืมไปแล้วว่าทำไมถึงย้ายถิ่นฐานในแต่ละครั้ง คงเป็นเพราะวันเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ทำให้ความทรงจำของมันเลือนรางไปไม่น้อยจนถึงกับลืมเลือนไปแล้ว
“อ่อ ใช่แล้ว ตอนที่ข้าย้ายมาที่นี่น่าจะเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นบนพื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงน่ากลัว มีสองอย่างที่ใหญ่มากๆ ตกลงมาจากฟ้า…สิ่งนั่นน่ากลัวมากเหลือเกิน สถานที่แห่งนั้นพังทลายลง แล้วก็มีควันโขมงเหมือนภูเขาไฟระเบิดลอยขึ้นไปในอากาศ หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นในอากาศหรือในน้ำทะเลต่างมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายตัว ข้าจึงได้แต่จากไป เดิมข้ายังชื่นชอบที่ที่ข้าเคยนอนในครั้งที่แล้วอยู่มาก”
ลั่วชิวอ้าปากค้าง…จากคำบอกเล่าของเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ ตอนที่มันย้ายถิ่นครั้งที่แล้ว คงไม่ใช่ตอนที่อเมริกันทิ้งระเบิดปรมาณูที่เขตสิบเอ็ดหรอกนะ?
ลั่วชิวไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในฉับพลันนั้นเองก็คุ้นบางอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่ามันอยู่ใกล้ตัวเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว บางทีเขาคงยังไม่สังเกตเห็น
จู่ๆ เขาพูดว่า “คุณขยับตัวคุณออกสักหน่อยได้ไหมครับ? ให้ผมดูของที่ตัวคุณทับไว้สักหน่อย”
“ได้สิ”
เต่าทะเลดึกดำบรรพ์มีนิสัยอ่อนโยนอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนเคลื่อนไหวกลับเนิบช้าและลำบากยิ่ง แต่ลั่วชิงเองก็มีความอดทนมาก หลังจากเขารอให้เต่าทะเลดึกดำบรรพ์ขยับตัวเสร็จแล้ว ถึงได้เดินมายังจุดที่เต่าทะเลดึกดำบรรพ์ทับไว้อยู่
มีรอยทับของกระดองเต่าขนาดมหึมารอยหนึ่ง ลั่วชิวเดินมาอยู่ตรงกลางของรอยทับนี้ เขาย่อตัวลง ยื่นมือออกมากดแตะบนดินเหนียวซึ่งถูกกดทับจนแข็งมาตั้งนานจนเหมือนกับหินผา
ดินเหนียวที่แข็งแกร่งแตกออกทีละนิดๆ หลังจากนั้นกล่องหนึ่งที่ยาวประมาณสี่สิบเซนติเมตรก็ค่อยๆ โผล่ออกมา
“ที่ที่ข้านอน ที่แท้มีของแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์พูดอย่างตกใจ
ลั่วชิวไม่ได้ใส่ใจความตกใจของเต่าทะเลตัวนี้ เขาเปิดกล่องออก…สิ่งที่บรรจุในนี้กลับเป็นวัตถุทรงกลมขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งซึ่งอิ่มเอิบเปล่งปลั่งสีขาวและไร้กาลเวลา
ไข่มุกเม็ดหนึ่ง…มันมีขนาดพอๆ กับลูกฟุตบอลเลย!
นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่หาพบได้ยากในโลกนี้…หรือน่าจะบอกว่าเป็นของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้ ไข่มุกกลมเกลี้ยงขนาดมหึมาแบบนี้ยังใหญ่กว่าไข่มุกก้อนใหญ่ที่สุดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘ราชาแห่งมุก’ ก้อนนั้นที่พบบนโลกนี้เมื่อหลายสิบปีก่อนเสียอีก
‘ราชาแห่งมุก’ ไม่ได้เป็นรูปร่างทรงกลมตามคำนิยาม แต่เม็ดนี้แทบจะเป็นรูปทรงกลมสมบูรณ์แบบ เป็นความแตกต่างของไข่มุกทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่สิ่งล้ำค่าบนโลกอย่างไข่มุกเม็ดหนึ่งนี้กลับไม่อาจรักษาไว้ในมือของลั่วชิวได้นานเกินกว่าหนึ่งนาที
นิ้วมือลั่วชิวข้ามไข่มุกขนาดมหึมาเม็ดนี้ไป สมบัติล้ำค่าหายากซึ่งเพิ่งปรากฏออกมาบนโลกเมื่อครู่นี้ก็แตกเป็นผงละเอียดสีขาวปริมาณมากนับไม่ถ้วน
เจ้าของร้านลั่วคีบการ์ดของสมาคมที่เขาคุ้นเคยขึ้นมาจากกล่องท่ามกลางผงละเอียดนี้
ส่วนล่างสุดของกล่องใบนี้ที่บรรจุไข่มุกยักษ์ยังมีชั้นวางไม้ที่ใช้ยันไข่มุกไว้ พอเขาพลิกเปิดส่วนล่างสุดของชั้นวางนี้ก็เห็นข้อความบางอย่างซึ่งถูกใครบางคนแกะสลักไว้
หลังจากใช้อายุขัยจำนวนหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน ลั่วชิวก็แปลความหมายของข้อความพวกนี้ได้
ระยะเวลาประมาณเจ็ดร้อยปีก่อน มนุษย์เงือกตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเลลึก จ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อนำคนในเผ่าพันธุ์มันขึ้นมาบนผืนดิน
ชื่อของมันคือตงหยาง ต่อมาได้เพิ่มแซ่แบบคนว่าแซ่หลี่ว์
หลี่ว์ตงหยางใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไป รับรู้ถึงความอบอุ่นของแสงแดด ให้กำเนิดลูกหลาน ขยายเผ่าพันธุ์กับเผ่าพันธุ์เดียวกัน ใช้ชีวิตสุขสงบไม่วุ่นวายกับโลกภายนอกมาโดยตลอด
“หากลูกหลานของข้าทุกคน พบกับความยากลำบากที่ยากจะผ่านไปได้ ให้ทำลายไข่มุกเม็ดนี้แล้วเอาสิ่งที่อยู่ในนี้ออกมา ขอเพียงเจ้าขอพรจากใจจริงก็จะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน แต่ก่อนจะขอพรจะต้องคิดทบทวนให้ถ้วนถี่ สิ่งที่ต้องการยิ่งมากราคาก็ยิ่งสูง สิ่งที่สูญเสียก็จะยิ่งเยอะยิ่งราคาสูง ไม่ล้ำเส้นความเป็นและความตาย ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจว่าจะใช้มั่วซั่วไม่ได้เด็ดขาด”
…
หลังจากได้อ่านคำสั่งเสียที่หลี่ว์ตงหยางแกะสลักไว้บนแผ่นไม้แล้ว เขาก็อยากรู้มากขึ้นกว่าเดิมว่ามันเคยทำข้อตกลงอะไรไว้ในตอนนั้น สงสัยต้องกลับไปสมาคมแล้วเปิดค้นดูในสมุดบัญชีสักหน่อยแล้ว
“หมู่บ้านหลี่ว์น่าจะมีสิ่งที่บ่งบอกเกี่ยวกับสถานที่นี้มาโดยตลอด แต่ว่า…” ลั่วชิวเล่นการ์ดดำใบนี้ที่อยู่ในมือ พลางส่ายหน้าบอกว่า “คงจะเป็นการแลกเปลี่ยนในสมัยที่ผ่านมานานมากเกินไป จนลูกหลานรุ่นหลังลืมกันไปหมดแล้วล่ะมั้ง”
ดังนั้นตลอดที่ผ่านมานี้กล่องที่ฝังไว้ที่นี่จึงไม่ได้ถูกค้นพบ
นอกจากนั้นไข่มุกยักษ์ล้ำค่าเม็ดนี้น่าจะมีพลังสกัดกั้นอะไรบางอย่าง จากสถานการณ์ที่ได้อยู่ใกล้ชิดแบบนี้ เขาในฐานะเจ้าของสมาคมถึงได้มีปฏิกิริยาบางอย่าง อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย
ถึงตอนนี้ ความลับของหมู่บ้านหลี่ว์ก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว
ลั่วชิวยิ้มอย่างพึงพอใจ
แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ เต่าทะเลดึกดำบรรพ์นั่นกลับพูดว่า “ของสิ่งนี้ ข้าเหมือนเคยเห็นมาก่อน”
ลั่วชิวนิ่งอึ้ง “เคยเห็น?”
“ให้ข้าคิดสักหน่อย…” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์หลับตาลง
ลั่วชิวรอคอยอย่างอดทนอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามสิบนาทีแล้ว ลั่วชิวถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เต่าเฒ่านี่…เหมือนจะหลับไปอีกครั้งแล้ว!!
…
“อ๊ะ ข้าหลับไปอีกแล้วเหรอ…อ๋อ ข้านึกออกแล้ว ของสิ่งนี้เมื่อก่อนข้าเคยเห็น” เต่าทะเลไม่ได้รู้สึกละอายใจเลยสักนิด ยังคงพูดจังหวะเนิบนาบแบบนั้น “อืม จะว่าไปแล้ว ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายๆ กันในตัวเจ้ากับตัวเจ้านั่น มิน่าล่ะข้าถึงได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล”
“กลิ่นอายที่คล้ายกัน?” ลั่วชิวขมวดคิ้ว “คนนั้นได้เคยบอกชื่อกับคุณหรือเปล่าครับ?”
“ลืมแล้ว” เต่าทะเลดึกดำบรรพ์บอก “เจ้านั่นเหมือนจะให้ของแบบนั้นกับข้าเหมือนกัน บอกว่าถ้าข้าต้องการอะไร สามารถใช้มันตามหาเจ้านั่นได้”
“หลังจากนั้น?”
“ข้าโยนของสิ่งนี้ทิ้งไปแล้ว” เต่าดึกดำบรรพ์พูดเนิบนาบ
ลั่วชิวอ้าปากค้าง…เอาเถอะ เวลาสองสามเดือนที่รับช่วงต่อสมาคมนี้ก็เพิ่งเคยเห็นคนที่โยนการ์ดดำทิ้งไปได้ อย่างเช่นก่อนหน้านี้ถูจยาฉิงก็เคยโยนทิ้งไปตั้งแต่ครั้งแรกเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าการ์ดดำระบุตัวตนเอาไว้แล้ว หากเอาให้ลูกค้าแล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะโยนทิ้งที่ไหน สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ในมือคนที่ต้องการเสมอ แน่นอนว่าสามารถเอาการ์ดดำให้คนอื่นใช้ได้เช่นกัน
แต่ที่นี่ลั่วชิวก็ไม่ได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของการ์ดดำใบที่สองเลย เขามองเต่าดึกดำบรรพ์ตัวนี้อย่างตกใจพลางพูดว่า “หรือว่าตลอดเวลายาวนานขนาดนี้ คุณไม่มีสิ่งที่ต้องการเลยเหรอครับ?”
เต่าทะเลดึกดำบรรพ์พูดอย่างสมเหตุสมผลว่า “เจ้านั่นบอกว่า ช่วยให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริงได้ แต่ว่าข้าไม่ต้องการนี่ ขอแค่ข้านอนหลับได้ก็พอแล้ว เรื่องนอนข้าจัดการเองได้ แล้วทำไมยังต้องให้ใครมาช่วยข้าด้วยเล่า?”
ลั่วชิว “…”
ยังมีสิ่งมีชีวิตอย่างนี้อยู่จริงๆ …ขอเพียงนอนได้ก็พอแล้ว
นี่แทบจะอยู่ในระดับไร้ความปรารถนาอย่างถาวรเลย มิน่าล่ะ การ์ดดำที่ถูกทิ้งนั่นถึงไม่ได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ เต่าทะเลดึกดำบรรพ์อีกเลย
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าจะนอน…หลับ…แล้ว…”
“เดี๋ยวก่อน คุณเจอคนที่ให้การ์ดดำนั่นกับคุณที่ไหนครับ?”
“ก้น…ทะเล…เล…มู…เลีย…”
“Lemuria? อารยธรรมโบราณที่มีชื่อเสียงที่แอตแลนติส? มีอยู่จริงๆ ?”
“ฮูว~~~~”
ลั่วชิวขยับริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่ได้รบกวนการนอนหลับลึกของเต่าทะเลดึกดำบรรพ์ตัวนี้ เขาพูดเสียงแผ่วเบา “ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าว่างๆ ผมคงจะมาพูดคุยกับคุณอีกนะครับ”
เขาฝังกล่องและการ์ดดำลงไปในดินเหนียวอีกครั้ง ทำให้ทุกอย่างที่นี่ให้กลับสู่สภาพเดิม แล้วเดินจากไปตามทาง สุดท้ายก็เคลื่อนย้ายหินผามหึมากลับเข้าตำแหน่งเดิม ปิดปากทางเข้านี้ไว้
พอมาครั้งหน้า เขาจะได้ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้แล้ว เพราะเขาจำตำแหน่งของที่นี่ได้แล้ว
…
…
เวลาต่อมา เริ่นจื่อหลิงเอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตลอด ราวกับจำได้แล้วว่าตนเองอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว
เพียงแต่ความน่าเกรงขามของหัวหน้าครอบครัวแบบนี้นั้น ยังคงไม่อาจเอาชนะโจ๊กทะเลมื้อเดียว รวมทั้งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเจ้าของร้านลั่วได้
“นี่อะไร?” เริ่นจื่อหลิงมองกล่องใบใหญ่ที่ลั่วชิวเอาออกมาวาง แล้วพูดด้วยเสียงฮึดฮัดว่า “อย่านึกว่าแค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็จะให้อภัยที่เธอแอบวิ่งหนี…ฉันไปนะ นี่มันอะไรน่ะ?”
หลังจากเธอเปิดกล่องดู สิ่งที่เห็นคือผงสีขาวจำนวนมาก
ลั่วชิวตอบ “ผงไข่มุก”
“เยอะ…เยอะขนาดนี้เลย? ไม่เสียดายเงินเลยเหรอ? ให้ฉันใช้ทุกวันเป็นสิบปีก็ยังใช้ไม่หมดนะเนี่ย!”
“มันราคาถูกน่ะ”
“ก็จริง…นี่ดูแล้วก็เหมือนสินค้าราคาถูก” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า บอกว่าเป็นสินค้าราคาถูก แต่ก็รับมาเรียบร้อย
จู่ๆ ลั่วชิวก็พูดว่า “จริงสิ หลังจากกลับไป ผมจะไม่อยู่สักพักนะครับ”
“จะไปไหน?”
“รัสเซีย ไปเที่ยวน่ะครับ”