เมื่อได้ยินว่ามายมิ้นท์มาหาตนเรื่องราเม็ง ลาเต้ก็ก้มหน้าลงทำท่าทางเฉยเมย แต่เขาก็ยังพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ที่รัก ผมคิดว่าคุณมาหาผมเพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาเสียอีก ที่แท้เป็นเพราะเรื่องของราเม็งนี่เอง ที่รักครับ คุณทำร้ายหัวใจผมเจ็บปวดเหลือเกิน”
“เอาละค่ะ” มายมิ้นท์เอามือขึ้นนวดหัวคิ้ว “ลาเต้คะ ฉันขอถามคุณหน่อยว่าคุณสามารถติดต่อกับผู้จัดการส่วนตัวของราเม็งได้ไหม ช่วยถามผู้จัดการส่วนตัวของราเม็งให้หน่อยว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เขาทำงานอยู่หรือไปที่อื่น”
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะโทรถามให้” ลาเต้ยกมือขึ้นเกาศีรษะจนผมยุ่งเหยิง
มายมิ้นท์ตอบรับว่า “ขอบคุณนะคะ รบกวนคุณด้วย”
“รบกวนอะไรกัน ไม่หรอกครับ” ลาเต้ส่ายหน้าจากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นว่า “จริงสิครับ วันนี้คุณจะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หรือตั้งใจจะไปที่เทนเดอร์กรุ๊ป?”
“น่าจะไปเทรนเดอร์กรุ๊ปค่ะ สถานการณ์ของฉันตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนนานขนาดนั้น” มายมิ้นท์เอามือลูปไปที่ท้องน้อยซึ่งยังรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก
เดิมทีลาเต้ตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมให้เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่เขาก็รู้ดีว่านิสัยของเธอนั้นต่อให้โน้มน้าวอย่างไรเธอก็ไม่ฟัง ดังนั้นจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะไปช่วยคุณจัดการงานต่างๆ ที่เทนเดอร์กรุ๊ปด้วย เมื่อวานคุณไม่ไปทำงาน งานคงจะกองพะเนินเทินทึก”
มายมิ้นท์รู้ว่าเขาอยากจะให้เธอผ่อนคลายบ้าง หัวใจของเธอก็อบอุ่นขึ้นมา ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าตอบว่า “ก็ดีสิคะ”
หลังจากวางสายแล้วมายมิ้นท์ก็วางโทรศัพท์มือถือลง เธอบิดขี้เกียจและเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าล้างตา
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เธอก็เดินทางมาถึงเทนเดอร์กรุ๊ป
มายมิ้นท์เดินตรงมาที่ห้องทำงาน ซึ่งที่ประตูทางเข้านั้นพบเลขาซินดี้กำลังรออยู่
“ประธานมายมิ้นท์สวัสดีค่ะ” เลขาซินดี้ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทาย
มายมิ้นท์หันไปยิ้มให้กับเลขาซินดี้แล้วพูดว่า “เมื่อวานที่ฉันไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
เธอเปิดประตูพลางเอ่ยถาม
เลขาซินดี้เดินตามเธอเข้าไปอยู่ด้านหลัง “ไม่มีค่ะ เพียงแต่พวกคนของประธานเตชิตซุบซิบนินทาคุณลับหลัง บอกว่าในฐานะรองประธานกรุ๊ป กลับเป็นผู้นำในการขาดงาน ไม่คู่ควรที่จะนั่งในตำแหน่งนี้”
มายมิ้นท์หัวเราะออกมาเยาะเย้ยอย่างเยือกเย็น “ดูเหมือนตอนนี้พวกเขาจะรู้แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแย่งอำนาจในมือฉันไปได้แม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงระบายความคับข้องใจเหล่านี้ออกมาลับหลัง เพื่อให้ภายในใจของพวกเขารู้สึกเติมเต็ม”
เหตุผลแท้จริงที่เมื่อวานเธอไม่ได้เดินทางมาทำงาน เธอไม่ได้บอกกับใครในบริษัท
เนื่องจากนั่นเป็นเรื่องส่วนตัว
อีกทั้งในตอนนี้เธอรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ไม่ได้พูดมันออกไป เพราะแค่เธอบอกว่ามีธุระจึงไม่ได้มาทำงาน พวกคนของเตชิตก็พูดถึงเธอแบบนี้แล้ว ถ้าพวกเขารู้ว่าที่เธอไม่ได้มาทำงานเพราะแท้งลูก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะนินทาว่าร้ายเธอลับหลังเช่นไร
“ก็ใช่น่ะสิคะ” เลขาซินดี้พยักหน้าแล้วเห็นด้วยกับคำพูดของมายมิ้นท์
มายมิ้นท์ลากเก้าอี้ออกมานั่งแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ “ตารางวันนี้มีอะไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินคำถามของเธอ เลขาซินดี้ก็ได้เปิดแฟ้มเอกสารที่ตนถือเดินเข้ามา ก่อนจะเปิดหาตารางการเดินทางในวันนี้ของหล่อนแล้วอ่านรายงานออกมา
มายมิ้นท์พยักหน้า “โอเคค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ประธานมายมิ้นท์คะ ดิฉันขอตัวก่อน” เลขาซินดี้ปิดแฟ้มเอกสารลง
มายมิ้นท์มองดูเธอ “เดี๋ยวก่อนค่ะ ช่วยติดต่อทนายให้ฉันคนหนึ่ง ทางที่ดีขอเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน”
“ประธานมายมิ้นท์คะ ต้องการจะพิสูจน์อะไรงั้นเหรอคะ?” เลขาซินดี้ขยับแว่นตาแล้วเอ่ยถาม
มายมิ้นท์พยักหน้า “ฉันเพิ่งจะรู้ว่าที่จริงแล้วหุ้นในมือของฉันมากกว่าครึ่งเป็นของลาเต้และราเม็งช่วยฉันซื้อมา และฉันจะรับไปฟรีๆ ไม่ได้ ฉันต้องการให้ทนายมาช่วยร่างหนังสือ เพื่อในอนาคตจะคืนเงินให้พวกเขาเป็นทวีคูณ”
นี่คือทางเดียวที่เธอจะสามารถตอบแทนลาเต้กับราเม็งได้
เป็นอย่างนี้นี่เองค่ะ เลขาซินดี้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย แววตาที่เธอมองมายมิ้นท์มีความชื่นชมยินดีขึ้นไปกว่าเดิม “เข้าใจแล้วค่ะประธานมายมิ้นท์ ดิฉันจะช่วยจัดหาทนายความที่มีความสามารถที่สุดมาให้”
ก่อนหน้านี้การเคารพนับถือที่เธอมีต่อประธานมายมิ้นท์ เป็นเพราะประธานลาเต้กำชับเอาไว้
แต่ตอนนี้ เธอมีความรู้สึกนี้มาจากใจ
เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ต่อหน้าเงินทองอันได้มาฟรีๆ แล้วสามารถคืนให้แก่คนอื่นได้
เพียงแค่จุดนี้ มายมิ้นท์ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอชื่นชมจากใจ
“ต้องรบกวนด้วยนะคะ” มายมิ้นท์หันไปยิ้มให้เลขาซินดี้
“นี้เป็นหน้าที่ของฉันค่ะ” เลขาซินดี้ตอบรับ
มายมิ้นท์ขยับเม้าส์ แล้วพูดว่า “อ้อจริงสิคะ เดี๋ยวรบกวนเอาโต๊ะทำงานที่ก่อนหน้านี้ลาเต้ใช้ออกมาหน่อยนะคะ วันนี้เขาจะมาช่วยงานฉันที่บริษัทหน่อยน่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เลขาซินดี้ก็แววตาเป็นประกาย มือทั้งสองข้างของเธอกำแน่นด้วยความตื่นเต้น
แต่เธอแอบทำอย่างเงียบๆ มายมิ้นท์ไม่เห็นปฏิกิริยานี้ ฟังออกเพียงว่าน้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปเป็นเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “ได้ค่ะประธานมายมิ้นท์”
“ไปทำธุระต่อเถอะค่ะ” มายมิ้นท์ยิ้มและโบกมือ
เลขาซินดี้หันไปจัดเก็บโต๊ะทำงานของลาเต้
ลาเต้เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว เลขาซินดี้เพิ่งจะเก็บโต๊ะเสร็จเขาก็เข้ามาแล้ว
มายมิ้นท์วางปากกาในมือลงแล้วทักขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้างคะ ติดต่อผู้จัดการส่วนตัวของราเม็งได้แล้วหรือยัง?”
“ผมลงมือทำเรื่องอะไรเคยผิดพลาดมาก่อนเหรอครับ?” ลาเต้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบลงไปที่หน้าอกของตนเองแล้วหัวเราะ
มายมิ้นท์จึงถอนหายใจออกมา
น่าจะติดต่อกับผู้จัดการส่วนตัวของราเม็งได้แล้ว อีกอย่างดูท่าทางของลาเต้ที่คนข้างๆ จะผ่อนคลาย
ดูเหมือนว่าราเม็งจะไม่เป็นอะไร
“แล้วตอนนี้ราเม็งอยู่ที่ไหนคะ?” เมื่อมายมิ้นท์รู้สึกผ่อนคลายลงเธอจึงได้เอ่ยถาม
ลาเต้รับกาแฟที่เลขาซินดี้ชงมาให้แล้วจิบไปอึกหนึ่ง “เขากลับอำเภอแสงดาวไปแล้ว ดูเหมือนว่ามีเรื่องต้องจัดการ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับมา”
“อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” มายมิ้นท์พยักหน้าเป็นความหมายว่าเธอเข้าใจแล้ว
แต่เธอก็ยังรู้สึกสงสัยว่าราเม็งกลับไปทำอะไรอย่างกะทันหันแบบนี้ แล้วทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย?
แต่คำตอบนี้ คาดว่าเธอคงจะต้องรอให้ราเม็งกลับมาและถามด้วยตนเองจึงจะรู้
……
ณ โรงพยาบาล
เปปเปอร์ที่นอนสลบไสลอยู่ถึงสองวันหนึ่งคืน ในที่สุดก็ตื่นขึ้น ทำให้ปีโป้ดีใจจนน้ำตาไหล
“พี่ใหญ่!” เมื่อปีโป้เห็นพี่ใหญ่ของเขาลืมตาขึ้น ก็ได้กดออดบนหัวเตียงอยู่หลายครั้งด้วยทางดีใจ
ภาพนี้เมื่อสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเปปเปอร์ จึงทำให้เขารู้ได้ว่าตนตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
เขาขยับแขนและจับไปยังขอบเตียงเพื่อที่จะพยายามลุกขึ้น
แต่เมื่อเขาออกแรง ก็มีความเจ็บปวดแผ่ซ่านมาจากแผ่นหลัง ทำให้เขาต้องนอนลงไปที่เตียงอีกครั้งหนึ่ง
“โอ้ย……!” ใบหน้าอันหล่อเหลาของเปปเปอร์แสดงอาการเจ็บปวดออกมา เขาส่งเสียงเบาๆ ด้วยปฏิกิริยาตามธรรมชาติ เดิมทีใบหน้าเขาก็ซีดเผือด บัดนี้กลับซีดขึ้นกว่าเดิม
ปีโป้เห็นดังนั้นจึงได้รีบพูดขึ้นว่า “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
เปปเปอร์พยายามอดทนกับความเจ็บปวดจากหลังที่แผ่ซ่านไปทั่ว น้ำเสียงของเขาตอบกลับด้วยความแหบแห้งว่า “ไม่เป็นไร พอดี เจ็บหลังนิดหน่อย”
“พี่อย่าขยับสิ แผลที่หลังยังไม่สนิทดี ถ้าแผลเปิดขึ้นจะทำยังไง?” ปีโป้บ่น
เปปเปอร์หลับตาลงเล็กน้อย “ฉันสลบไปนานแค่ไหน?”
“สี่สิบกว่าชั่วโมง” ปีโป้นับนิ้วตนเองแล้วตอบออกมา
เปปเปอร์ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
นานขนาดนี้เชียวเหรอ?
เช่นนั้นมายมิ้นท์คงออกจากโรงพยาบาลไปวันหนึ่งแล้วสินะ
เปปเปอร์ทำสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศรอบตัวของเขาดูตึงเครียดเล็กน้อย
เดิมทีเขาต้องการจะมารับเธอออกจากโรงพยาบาลด้วยตนเอง
แต่คิดไม่ถึงว่าจะพลาดไปได้
“พี่ครับ เป็นอะไรไป?”
เปปเปอร์เม้มริมฝีปาก “ไปที่ห้องคนไข้แปดศูนย์ห้าหาดูซิว่ามายมิ้นท์ยังอยู่รึเปล่า!”
แม้ทางแพทย์จะบอกว่ามายมิ้นท์สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อวานนี้ และตัวมายมิ้นท์เองก็ตั้งใจจะออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวาน
แต่ถ้ามายมิ้นท์ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลล่ะ?
เขายังคงมีความคิดยืนกรานไม่ยอมเเพ้ แต่เมื่อเปปเปอร์เห็นปีโป้นั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เขาก็กัดฟันรบเร้าด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “นั่งทำอะไรอยู่อีก ยังไม่รีบไปอีกนะ!”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ พี่มายมิ้นท์ออกจากโรงพยาบาลแล้วเมื่อวาน” ปีโป้ตอบ
ใบหน้าของเปปเปอร์แข็งทื่อลงทันที ในใจของเขาที่เต็มไปด้วยความรอคอยและความหวัง วินาทีนี้ถูกพัดกระจัดกระจาย
เธอไปแล้วจริงๆ
อืม ความหวังก็คือแค่ความหวังสินะ แต่ความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ
เปปเปอร์ขมวดคิ้วแล้วกำหมัด ท่าทางอันหดหู่เช่นนั้นทำให้ปีโป้มองดูแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่ใหญ่ครับ พี่รู้ว่าพี่มายมิ้นท์จะออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ เลยต้องการจะมารับเธอ แต่ก็รับไปไม่ได้เลยอารมณ์ไม่ดีใช่ไหมครับ”
สายตาของเปปเปอร์เป็นประกายจ้องมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
ปีโป้เห็นท่าทางของเขาแบบนั้นก็รู้ว่าตนคงเดาถูกแล้ว เขารู้สึกเย่อหยิ่งยิ่งนัก
เหอะๆ เขาก็แค่ลองเดาไปเฉยๆ แต่กลับเดาถูกเอาจนได้
มาดูกันว่าในอนาคตใครจะกล้าว่าเขาโง่อีก
ปีโป้เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางอันหยิ่งผยอง แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้เก็บท่าทางอันเย่อหยิ่งนั้นลงไป
ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็ยังบาดเจ็บอยู่ การที่ทำท่าทางโอ้อวดแบบนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่มีน้ำใจของเขา
“พี่ครับ อย่าอารมณ์เสียไปเลย ผมจะบอกข่าวดีให้” ดวงตาของปีโป้กลอกไปมา “ที่จริงแล้วเมื่อวานพี่มายมิ้นท์มาเยี่ยมพี่ด้วยแหละ