ผ้ากอซที่หนาขนาดนั้น และพื้นที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ใครๆ ก็นึกภาพได้ว่าเปปเปอร์ได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหน
“พี่มายมิ้นท์ เข้าไปข้างในกันเถอะ!” ปีโป้วางมือลงบนลูกบิดประตู
มายมิ้นท์ส่ายหัวและปฏิเสธ “ไม่ ฉันเห็นเขาแล้ว ได้เวลากลับแล้ว!”
“แต่…” ปีโป้ต้องการพูดอย่างอื่น
มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากสีแดงของเธอ “ปีโป้ ฉันไม่ต้องการมาที่นี่ นายบังคับให้ฉันมาที่นี่ ตอนนี้ฉันได้เห็นเปปเปอร์แล้ว อย่าก้าวร้าวเกินไป!”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของปีโป้แดงก่ำ “ผมไม่ได้ก้าวร้าว ผมแค่อยากให้พี่อยู่กับพี่ชาย”
“ทำไมฉันต้องไปอยู่กับเขาด้วย เขาเป็นใครสำหรับฉัน” มายมิ้นท์มองไปที่เขาอย่างเหนื่อยล้า
ปีโป้เปิดปากของเขา เขาอยากจะบอกว่าแน่นอนว่าเป็นภรรยาของพี่ชาย แต่แล้วเขาก็พบว่าเธอและพี่ชายได้หย่ากันไปแล้ว
เป็นผลให้ปีโป้ไม่สามารถพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูดได้
เมื่อเห็นภาพนี้ มายมิ้นท์ก็ส่ายหัว เธอหันหลังและเดินไปที่ลิฟต์
คราวนี้ ปีโปไม่ได้ห้ามเธอ
บางทีเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีสถานะอะไร และไม่มีสิทธิมาห้ามเธอได้
มายมิ้นท์เดินไปที่ลิฟต์และกดปุ่มชั้นล่าง
ไม่นานลิฟต์ก็มาถึง และร่างในเสื้อคลุมสีขาวก็ปรากฏออกมา นั่นก็คือการันต์
เมื่อการันต์เห็นมายมิ้นท์ การันต์ก็ดันแว่นตาของเขาด้วยความประหลาดใจ “คุณออกจากโรงพยาบาลแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้ยังไม่ไป?”
“มีบางอย่างทำให้ล่าช้าน่ะ” มายมิ้นท์ยิ้มและตอบ
การันต์เหลือบมองไปทางด้านหลังของเธอ และทันใดนั้นเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ห้องผู้ป่วยของคุณไม่ได้อยู่ทางนี้ และคุณไม่ควรขึ้นลิฟต์ที่นี่ถ้าคุณต้องการออกไป ดังนั้นคุณมาหาเปปเปอร์?”
เมื่อเขาเดาได้ มายมิ้นท์ก็ไม่แปลกใจ เธอยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ใช่ ตอนที่ฉันออกจากโรงพยาบาลฉันได้เจอปีโป้ และเมื่อฉันรู้ว่าคุณย่าก็อยู่ในโรงพยาบาลด้วย ฉันก็เลยไปหาคุณย่า หลังจากเยี่ยมคุณย่า ปีโป้ก็พาฉันมาที่นี่”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนนี้จะกลับแล้วเหรอ?” การันต์ถามในขณะที่มือของเขาอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมสีขาวของเขา
มายมิ้นท์พยักหน้า “ใช่ ไปเยี่ยมมาแล้ว ได้เวลากลับไปแล้ว”
การันต์ยิ้ม “แล้วคุณคิดอย่างไรกับอาการบาดเจ็บของเปปเปอร์?”
“คิดยังไง?” มายมิ้นท์มองเขาอย่างสงสัย “ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้?”
“ไม่มีอะไร ผมแค่สงสัย ผมได้ยินมาว่าอาการบาดเจ็บของเปปเปอร์ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคุณ” การันต์ดันแว่นกลับ
มายมิ้นท์หลับตาลงและพูดเบาๆ “ใช่ มันเกี่ยวข้องกับฉัน แต่เหตุผลที่แท้จริงยังคงเป็นเพราะเขาเอง ดังนั้นฉันไม่มีความเห็นใดๆ”
“เหรอ?” สายตาแปลกๆ แวบเข้ามาในดวงตาของการัตน์ และเขาก็เริ่มสนใจ “ก็หมายความว่า คุณรู้ว่าทำไมเขาถึงถูกตี?”
“ก็ถือว่ารู้ แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันกับตระกูลนวบดินทร์ ฉันจะไม่บอกคุณเรื่องนี้” มายมิ้นท์พยักหน้าขอโทษ “เอาล่ะ คุณหมอการัตน์ ฉันจะไปก่อนนะ”
หลังจากพูดจบเธอก็เดินผ่านเขาเข้าไปในลิฟต์
การันต์หันศีรษะไปที่ประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดช้าๆ และแว่นตาของเขาก็สะท้อนแสง เขาไม่หันหลังกลับจนกว่าประตูลิฟต์จะปิดสนิท เขาผลักแว่นตาของเขา และยิ้มอย่างลึกลับ “น่าสนใจ!”
สวนผู้ป่วยใน
มายมิ้นท์มาพบกับลาเต้
ลาเต้นั่งอยู่บนเก้าอี้และคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล
มายมิ้นท์เดินไป ลาเต้เห็นเธอ เขาโบกมือให้ แล้วพูดอะไรบางอย่างกับปลายสายโทรศัพท์ ก่อนจะวางสาย
“เสร็จแล้วเหรอ?” ลาเต้วางโทรศัพท์แล้วถาม
มายมิ้นท์พยักหน้า “เสร็จแล้ว”
“ทำไมนานจัง” ลาเต้ชี้ไปที่นาฬิกา เพื่อบ่งบอกว่าเขารอมาเป็นเวลานาน
มายมิ้นท์อย่างเขินอาย “ฉันคุยกับคุณย่าสักพัก ขอโทษที เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวนายนะ”
“ชั่งมันเถอะ เธอไม่สามารถกินอาหารดีๆ ได้ ดังนั้นถ้าต้องนั่งกินอาหารดีๆ คนเดียวมันจะมีประโยชน์อะไร ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอกลับบ้านก่อน” ลาเต้ลุกขึ้นยืน
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปยังที่จอดรถของโรงพยาบาล
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ลาเต้ก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาหันศีรษะไปที่มายมิ้นท์ “เอาล่ะ ที่รัก เดาสิว่าฉันเพิ่งเห็นใคร”
“ใคร?” มายมิ้นท์ส่ายหัวเพื่อแสดงให้รู้ว่าเธอไม่ต้องการเดา และเธอเดาไม่ถูก
ลาเต้ก็ไม่อึกอัก เขาเหล่ตาและยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันเห็นส้มเปรี้ยว!”
“อะไรนะ?” มายมิ้นท์หยุดไปชั่วคราว “ส้มเปรี้ยวมาที่โรงพยาบาลด้วยเหรอ?”
“เธอไม่ได้มาโรงพยาบาล ตั้งแต่เธอออกจากศาลในวันนั้น เธอก็อยู่ในโรงพยาบาลมาตลอด ฉันเพิ่งถามพยาบาล เธอบอกว่าตอนที่เธอถูกตำรวจจับกุม ร่างกายของเธอยังไม่หายดี ดังนั้นหลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวแล้ว ก็เลยกลับมารักษาตัวต่อ จนได้ออกจากโรงพยาบาลในวันนี้” ลาเต้กล่าว
ใบหน้าของหรงชูเย็นชา “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“พูดถึงเรื่องนั้นแล้ว เธอ เปปเปอร์ และส้มเปรี้ยว พวกเธอทั้งสามคนก็แปลกเหมือนกัน” ลาเต้จับคางของเขา
มายมิ้นท์หันกลับมามองเขา “มีอะไรแปลกเหรอ?”
“แน่นอนว่าโชคไม่ดีไง” ลาเต้ยิ้มและพูดว่า “เธอไม่รู้เหรอว่า พวกเธอสามคนไปโรงพยาบาลตั้งกี่ครั้งในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่ส้มเปรี้ยว เป็นเธอ หรือไม่ก็เป็นเปปเปอร์ เหมือนตุ๊กตาเป็นชุดเลย”
“เอ่อ…” ปากของมายมิ้นท์กระตุก เธอไม่สามารถตอบโต้ได้
เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ไปกันเถอะ” มายมิ้นท์เปิดประตูรถของลาเต้และนั่งเข้าไป
ลาเต้ทำความเคารพต่อเธอ “รับทราบครับ คุณผู้หญิงของผม”
กลับมาที่คอนโดพราวฟ้า ลาเต้อยู่ได้ไม่นาน เขาช่วยมายมิ้นท์ทำความสะอาดคอนโด ก่อนจะจากไป เหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับบริษัท
มายมิ้นท์สั่งอาหารกลับบ้าน เธอโทรหาราเม็งในขณะรับประทานอาหาร
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเหมือนที่ลาเต้พูดในตอนเช้าเลย โทรติดต่อราเม็งไม่ได้และหาเขาไม่เจอ
เธอไม่รู้ว่า ทำไมจู่ๆ เขาก็ขาดการติดต่อ เป็นเพราะเรื่องงาน หรือเป็นเพราะเรื่องที่เธอพูดเมื่อวานนี้ มันเลยทำให้เขาต้องซ่อนตัวโดยเจตนา
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอต้องหาราเม็งให้เจอและเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้ารับการรักษา
ในขณะที่คิด มายมิ้นท์ก็วางโทรศัพท์ลง ก่อนจะเปิดวีแชท และส่งข้อความถึงราเม็ง : ราเม็งโทรหาฉันทันทีเมื่อนายเห็นข้อความ ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะบอกกับนาย ได้โปรด
หลังจากส่งไป เธอก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ และคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในขณะที่รอให้ราเม็งโทรกลับ
แต่การรอครั้งนี้ ก็ต้องรอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากที่มายมิ้นท์ตื่นขึ้นมา เธอก็มองโทรศัพท์ไม่มีหมายเลขผู้โทรเข้า เธอถอนหายใจอย่างเหลืออด
เธอไม่รู้ว่าราเม็งเห็นข้อความที่เธอส่งไปหรือเปล่า
เธอขยี้ตาเธอยังตื่นนอนได้ไม่เต็มที่ และเธอก็รู้สึกเบลอเล็กน้อย มายมิ้นท์โทรราเม็งอีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่าเขายังปิดเครื่องอยู่
มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น? ราเม็งไปทำอะไรกันแน่?”
ปิดเครื่องหนึ่งวันหนึ่งคืน มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้สงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากเม้มปากแล้ว มายมิ้นท์ก็โทรไปหาลาเต้
ลาเต้รับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และเสียงหาวก็ดังขึ้น “อรุณสวัสดิ์ ที่รัก”
“อรุณสวัสดิ์ ลาเต้” มายมิ้นท์ยกผ้าห่มขึ้นและลุกจากเตียง เธอเดินไปฝั่งตรงข้ามและเปิดม่านของหน้าต่างสูง
แสงสีขาวที่แยงตาก็ส่องเข้ามาในทันใด มันส่องแสงลงบนใบหน้าของเธอ มันแยงตาเล็กน้อย
เธออดไม่ได้ที่จะหลับตา และหลังจากใช้เวลาไม่กี่วินาทีเธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“ที่รัก โทรหาฉันเร็วจัง คิดถึงฉันเหรอ” ลาเต้แหย่เล่น
มายมิ้นท์กลอกตา “อย่าเล่น จริงจังหน่อย มีเรื่องจะถามน่ะ”
“ก็เกิด เรื่องอะไร!” ลาเต้ไอก่อนจะเริ่มจริงจัง
การแสดงออกของมายมิ้นท์จริงจังขึ้น “มันเป็นเรื่องของราเม็ง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ โทรศัพท์มือถือของราเม็งปิดเครื่อง และฉันไม่สามารถติดต่อเขาได้ ดังนั้นฉันจึงกังวลเล็กน้อยว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา”
เธอกลัวว่าหลังจากที่เธอพูดทุกอย่างเมื่อวันก่อน มันจะทำให้ราเม็งไม่สามารถยอมรับมัน จนทำเรื่องโง่ๆ
เพราะยังไงก็ไม่มีใครรู้ว่าคนที่มีปัญหาทางจิต จะทำอะไรบ้าง