ตอนที่ 1647

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,647 : เจ้าเมืองคลื่นขจี!

 

“ทำอย่างไรได้เล่า แม้คฤหาสน์คลื่นขจีเราจะเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นขุมพลังชั้น 5 ที่ไม่ธรรมดาในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า…แต่กำลังรบก็นับว่าด้อยกว่าอย่างสิ้นเชิงหากยกไปเปรียบเทียบกับคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง”

 

“นั่นสิจะอย่างไรคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ก็เป็นถึงขุมพลังชั้น 4 อันแข็งแกร่ง นับว่าพลังอำนาจล้วนครอบงำคฤหาสน์คลื่นขจีทุกทิศทาง! กระทั่งท่านผู้นำคฤหาสน์คลื่นขจี ยังไม่กล้าไม่สุภาพต่อหน้านายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยซ้ำ! เพราะอย่างไรนายน้อยฟ้าลิ่วล่องก็มีอำนาจดั่งคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมาเอง!!”

 

“เรื่องนี้มิแปลก ผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแม้จะมีบุตร 4 คน หากแต่กลับมีมันเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกตามใจจนเสียคนมาแต่เด็ก นับว่ากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์อยากได้อะไรก็ต้องได้”

 

“ชีวิตผู้คนไฉนถึงได้แตกต่างกันนักนะ…ตั้งแต่ที่มันลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องมีอำนาจล้นฟ้า…แต่ดูพวกเราเถอะ ขยันบ่มเพาะฝึกปรือแทบตาย กว่าจะมีได้อย่างทุกวันนี้…”

 

“เฮ่อ…อย่าเอาตัวไปเทียบกับผู้อื่นเลย รังแต่จะปวดใจกันเสียเปล่าๆ…”

 

……

 

ในวาจาของทั้ง 3 เผยให้เห็นว่าพวกมันอิจฉานายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่น้อย ยามกล่าวจบยังระบายลมหายใจกันออกมายกใหญ่

 

‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง? ขุมพลังชั้น 4?’

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเป็นปม ‘นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องต้องตาพึงใจคุณหนูใหญ่คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานตั้งแต่แรกพบ และจากที่เสี่ยวเอ้อพูด เฉวียไน่ก็คือคุณหนูใหญ่ที่ว่า…เจ้านั่นมันชอบหานเฉวี่ยไน่กระทั่งคิดจะสู่ขอตบแต่ง?’

 

‘มันเป็นเดียรัจฉานหรือไร! กลับคิดอุบาทว์เช่นนี้กับสาวน้อยนางหนึ่ง!!’

 

ในความทรงจำของต้วนหลิงเทียนนั้น หานเฉวี่ยไน่ยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่เติบโตเต็มวัย และนางมักแลคล้ายดรุณีน้อยวัยใสอายุราวๆ 15-16 ปีเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้เลยว่าหานเฉวี่ยไน่ทลายพันธนาการเคล็ดบำเพ็ญจิต สลายโซ่ตรวนฉุดรั้งรูปลักษณ์เอาไว้สำเร็จ และเริ่มเติบโตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

‘คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง ขุมพลังชั้น 4…’

 

หลังออกจากเหลาอาหาร ใจของต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

 

ขุมพลังชั้น 5 สำหรับเขาก็นับว่าเป็นมหาอำนาจแล้ว

 

ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กบ้านนอกที่พึ่งมาเหยียบดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกต่อไป เขายังรู้เรื่องราวของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าไม่น้อย

 

ในบรรดาเรื่องทั้งหลายเขายังได้รับทราบอีกว่า ด้วยสาเหตุลี้ลับประการหนึ่งดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้ถูกแบ่งออกเป็นภูมิภาคเบื้องบน กับภูมิภาคเบื้องล่าง

 

และตอนนี้เขาก็อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

 

ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ขุมพลังชั้น 4 ก็เรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจระดับแนวหน้า และมียอดฝีมืออันน่ากลัวมากมาย นอกจากนั้นพวกมันยังมีตัวตนอันร้ายกาจในขอบเขตอริยะเซียน!

 

อริยะเซียน ก็เป็นด่านพลังของขอบเขตเซียน ที่อยู่เหนือเซียนขัดเกลาไปอีกขั้นหนึ่ง!

 

โดยทั่วไปแล้วภายในขุมพลังชั้น 6 นั้น ยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดส่วนมากก็มีพลังฝึกปรืออยู่ที่ ‘เซียนขัดเกลา’ เท่านั้น

 

ส่วนขุมพลังชั้น 5 ก็จะมียอดฝีมือขอบเขต ‘อริยะเซียน’ คุมบังเหียน

 

ในขุมพลังชั้น 4 นั้น มีแม้กระทั่งยอดฝีมือที่ข้ามผ่านขอบเขตอริยะเซียนไปแล้ว

 

‘ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทะลวงถึงขอบเขตเซียนที่อ่อนด้อยที่สุดอย่างเซียนดั้งเดิมด้วยซ้ำ…ต่อให้ใช้ตราผนึกมารอย่างดีข้าก็ฆ่าได้แค่ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุด ถ้าบังเอิญเจอผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนขัดเกลาสักคน พลังอำนาจมันก็มากพอจะบดขยี้ข้าได้…เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือข้าจำเป็นต้องยกระดับพลังฝึกปรือให้เร็วที่สุด อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมแล้ว!’

 

ระหว่างเดินทางกลับไปยังที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจอย่างวาดหวัง

 

แน่นอนว่านอกจากใช้ตราผนึกมารแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังฆ่าขอบเขตเซียนดั้งเดิมได้ ด้วยการใช้กระบี่นิลสวรรค์

 

ในตอนที่เขายังอยู่ที่สำนักจันทร์จรัสแสง เฉินคงอาวุโสสูงสุดของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ก็เป็นเซียนดั้งเดิมขั้นต้น หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็สามารถสังหารมันได้ในกระบี่เดียว!

 

ในตอนนั้นต้วนหลิงเทียนพึ่งทะลวงถึงสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ เขาจึงต้องใช้ปราณแท้กว่า 9 ส่วนในการใช้พลังอำนาจของกระบี่นิลสวรรค์เพื่อสังหารเฉินคง

 

ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหลินตงที่พึ่งทะลวงถึงเซียนดั้งเดิมขั้นต้น เขาอาศัยพลังเพียงแค่ 5 ส่วนก็ฆ่ามันได้ง่ายดาย กล่าวอีกอย่างได้ว่า ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนสามารถใช้กระบี่นิลสวรรค์จัดการเซียนขั้นต้นได้ถึง 2 คนติดๆกัน

 

แน่นอนว่าจำกัดไว้แค่ 2 คนเท่านั้น

 

เพราะหลังจากใช้กระบี่นิลสวรรค์สังหารเซียนขั้นต้นทั้ง 2 คนที่ว่าไปแล้ว ปราณแท้ของเขาแทบจะเหือดแห้งไปจากร่าง ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะอ่อนแออย่างหนัก

 

ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็คงฆ่าเขาได้ง่ายๆ

 

‘หากตอนนี้ข้าจ่ายพลังปราณออกไปสัก 9 ส่วนเพื่อใช้งานกระบี่นิลสวรรค์ กระทั่งเซียนดั้งเดิมขั้นกลางก็คงไม่มีปัญหาอะไรหากข้าจะฆ่า…แต่สำหรับขอบเขตเซียนขัดเกลานั้นข้าทำอะไรมันไม่ได้เลย!’

 

ต้วนหลิงเทียนเข้าใจพลังความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นอย่างดี

 

ถึงแม้กระบี่นิลสวรรค์จะเป็นยอดสมบัติสวรรค์ แต่มันก็ต้องใช้พลังอำนาจในการเปิดใช้เปล่งอานุภาพ ยิ่งพลังที่จ่ายไปมากเท่าไหร่ กระบี่นิลสวรรค์ก็จะยิ่งเปล่งอานุภาพออกมามากเท่านั้น

 

ตอนนี้ต่อให้เขาทุ่มพลังทั้งหมดลงสู่กระบี่นิลสวรรค์ แต่อย่างดีที่สุดเท่าที่กระบี่นิลสวรรค์จะทำได้ก็คือระเบิดพลังสังหาร ขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นกลางเท่านั้น

 

‘อย่างไรก็ตามทันทีที่ข้าทะลวงถึงขอบเขตเซียนเรื่องราวจะต่างออกไปทันที…ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากหากข้าคิดจะฆ่าเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญด้วยซ้ำหากใช้กระบี่นิลสวรรค์…กระทั่งสูงสุดเซียนขัดเกลาก็อาจต้องตาย!!’

 

ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็มีความมั่นใจนัก

 

เพราะทันทีที่เขาทะลวงถึงขอบเขตเซียนล่ะก็ นอกจากความแข็งแกร่งทุกด้านแล้ว ปราณแท้ของเขาจะยังกลายเป็นปราณแรกกำเนิด และมันยังจะพัฒนาสู่ปราณสุริยันแรกกำเนิดทันที!

 

ถึงตอนนั้นประโยชน์จากการถ่ายทอดปัญญารู้แจ้งที่ผู้เฒ่าหั่วกระทำวันนั้นก็จะเปิดเผยออกมาให้เขาเข้าใจแจ่มชัด

 

ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังในการทะลวงถึงขอบเขตเซียนนัก!

 

อย่างไรก็ตามแม้เขาจะคาดหวังมันมากเท่าใด แต่ตอนนี้เขาก็ติดอยู่ในขั้นสุดท้ายของครึ่งก้าวเซียน เรียกว่าขาดอีกแค่เล็กน้อยก็จะข้ามผ่านประตูเบื้องหน้า บรรลุด่านเซียน!

 

อนิจจามันเป็นก้าวสุดท้ายที่ต้วนหลิงเทียนเองก็ยังคลำทางไม่พบ

 

เช่นเดียวกันกับ เคล็ดบำเพ็ญจิต ยอดใจกระบี่ ขั้นที่ 2 ที่เขายังคลำหนทางไม่พบเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างเรื่องทั้ง 2 นี้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ว่าการจะทะลวงด่านพลังสมควรง่ายดายยิ่งกว่าบรรลุขั้นที่ 2 ของยอดใจกระบี่มากนัก เพราะอย่างหลังนั้นลึกล้ำเกินไป จนถึงตอนนี้เขายังไม่พบเบาะแสหรือเค้าลางใดๆในการทะลวงมันเลย

 

ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อลอยครุ่นคิดไปเรื่อย ก็เดินกลับมาถึงที่พักโดยไม่ทันรู้ตัว

 

หลังจากกลับมาถึงที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจพักผ่อนหนึ่งวันก่อนที่จะออกเดินทาง ‘เช้าพรุ่งนี้ข้าจะไปคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยในเมืองคลื่นขจีนี่ดู ถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกมันไปแจ้งให้เฉวี่ยไน่รู้ว่าข้ามาหานางในฐานะสหาย และทันทีที่นางรู้ว่าข้ามาถึงเมืองคลื่นขจี นางต้องรีบมาหาข้าแน่’

 

เมื่อวางแผนได้แล้ว ใจต้วนหลิงเทียนก็สงบลง

 

แต่แน่นอนว่าใจเขายังไม่อาจสงบลงได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์ที่หานเฉวี่ยนไน่เผชิญอยู่ตอนนี้เป็นอะไรที่มืดแปดด้านนัก

 

‘ด้วยลักษณะนิสัยของเฉวี่ยไน่ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะยินดีอยู่ร่วมกับนายน้อยฟ้าคฤหาสน์ลิ่วล่องอะไรนั่น…ข้ามั่นใจว่านางต้องปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้แน่นอน อย่างไรก็ตามข้าไม่รู้ว่านางจะมีปัญหาอะไรกับคฤหาสน์คลื่นขจีหรือไม่ หากนางมีปัญหาข้าคงต้องไปหานางที่นั่นเองแล้วจริงๆ’

 

คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วด้วยความกังวล

 

เขารู้จักหานเฉวี่ยไน่มานาน นิสัยนางเป็นเช่นไรเขาย่อมทราบดี

 

เฉวี่ยไน่เคยกล่าวบอกเขาเอาไว้แล้ว ว่าในภายภาคหน้าบุรุษที่จะได้ใจของนางนั้นต้องเป็นบุรุษที่รักเดียวใจเดียว รักถนอมนางเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และนี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนาง

 

เรียกว่าหานเฉวี่ยไน่เคารพวิถี คู่ครองคนเดียว

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อะไรสำหรับชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียน ดังนั้นเขาไม่ถือว่าความคิดของหานเฉวี่ยไน่จะผิดแปลกอะไรแม้แต่น้อย

 

อย่างไรก็ตามสำหรับในโลกใบนี้ ความคิดของหานเฉวี่ยไน่ค่อนข้างผิดแปลกนัก

 

เพราะในโลกนี้ยึดถือพลังฝีมือเป็นที่สุด ผู้เข้มแข็งเป็นจ้าวปกครองทุกสิ่ง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอดฝีมือทั้งหลายจะมีสตรีมากมาย กระทั่งจะมีมากกว่าสิบคนก็ไม่แปลกอะไร ตราบใดที่พวกนางสามารถทนได้ก็พอ

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดว่าหานเฉวี่ยไน่จะยินดีตบแต่งกับนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องนั่นแน่

 

‘หวังว่าเสี่ยวเฟยเอ๋อจะอยู่ที่คฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหาน…หากเป็นเช่นนั้น ลูกของข้าก็น่าจะคลอดออกมาแล้ว’

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มุมปากของต้วนหลิงเทียนพลันเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ถามทางไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยจากเจ้าของที่พัก ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทันที

 

เมื่อได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของหานเฉวี่ยไน่ เจ้าเมืองคลื่นขจีหรือผู้ที่รับผิดชอบทั้งเมืองและคฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อยที่เมืองคลื่นขจีแห่งนี้ ก็เร่งส่งผู้พิทักษ์ออกไปต้อนรับขับสู้ต้วนหลิงเทียนทันที

 

คฤหาสน์คลื่นขจีสาขาย่อย ยังเป็นเขตที่ดินของจวนผู้ว่าแห่งเมืองคลื่นขจีนี้อีกด้วย มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง พื้นที่นั้นกว้างขวางใหญ่โต ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลซือถูในเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงแม้แต่น้อย

 

ภายใต้การนำทางโดยผู้พิทักษ์ของเมือง ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าไปในจวนหลักของเจ้าเมือง และไม่นานเขาก็ได้พบกับตัวเจ้าเมืองที่รับผิดชอบดูแลสาขาย่อยของคฤหาสน์คลื่นขจีรวมถึงเมืองแห่งนี้

 

อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมยาวสีเงิน ยืนสงบมองมาทางต้วนหลิงเทียนเขม็ง ยังแผ่พลังไร้สภาพขุมหนึ่งออกมากดดันเขาไม่น้อย

 

“ท่านบอกว่าท่านเป็นสหายของคุณหนูใหญ่งั้นหรือ?”

 

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนยังคงนิ่งเฉยแม้จะถูกแรงกดดันพลังของมันแผ่พุ่งเข้าใส่ ชายวัยกลางคนชุดคลุมยาวสีเงินก็เผยความตกใจให้เห็นในสายตาไม่น้อย

 

เพราะทันทีที่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้เหยียบเข้าห้องโถงหลักมาก้าวแรก มันก็รู้ได้ทันทีจากกลิ่นอายพลังว่ายังไม่ทะลวงด่านเซียน อีกทั้งจากกลิ่นอายพลังชีวิต มันยังรู้อีกด้วยว่าชายหนุ่มผู้นี้อายุสมควรไม่ถึง 40 ปี…

 

ทว่าอายุไม่ถึง 40 ปีกลับทนรับแรงกดดันพลังจากมันได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี กระทั่งออกอาการสักนิดยังไม่มี นี่ไม่ใช่อะไรที่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลหานจะกระทำได้!

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“แล้วท่านเรียกว่าอะไรหรือ?”

 

ชายวัยกลางคนกล่าวถามอีกครั้ง

 

“หลิงเทียน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกนามออกไป เป็นนามเก่าที่ไม่ได้รวมแซ่ในโลกนี้เข้าไป

 

แต่เขารู้ดีว่าตราบใดที่นามนี้ถึงหูเฉวี่ยไน่ นางต้องรู้ได้ทันทีแน่ว่าเป็นเขา

 

นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอันง่ายดายนักที่ไฉนเขาถึงปกปิดชื่อที่แท้จริง

 

เพราะหลังจากที่เดินทางออกจากประเทศฝูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี ว่าทันทีที่อ๋องเฉียนรู้ว่าตราผนึกมารไม่ได้อยู่ในแหวนพื้นที่ของมัน มันไม่พ้นหัวเสียอย่างหนัก และเรื่องนี้จะอย่างไรก็ต้องแดงขึ้นมาแน่นอน เขาจะตกเป็นจำเลยสังคมทันที!

 

เพราะเกรงว่าพอถึงตอนนั้น ทุกคนจะสรุปเอาว่า…ตราผนึกมารยังอยู่ในมือเขา!

 

นอกจากนี้ผู้ที่เคยพบเจอเขามาก่อน ก็สามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้ไม่ยากและออกค้นหาเขาไปทุกที่!

 

ถึงแม้ว่าข่าวลือเรื่องตราผนึกมารยังแพร่มาไม่ถึงคฤหาสน์คลื่นขจี

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนกลับมองการณ์ไกลว่าจะอย่างไรก็ต้องแพร่มาถึงแน่ๆ และน่ากลัวว่าในเวลาอันสั้นข่าวลือเรื่องตราผนึกมารจะแพร่ไปทั่วเขตอิทธิพลคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานดั่งไฟลามทุ่ง!

 

ถึงตอนนั้นมิแคล้วคนของคฤหาสน์คลื่นขจีสมควรรู้จักหน้าค่าตาต้วนหลิงเทียน และพวกมันคงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้ถือครองตราผนึกมารอยู่กับตัว!

 

ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงคิดหลีกหนีปัญหาที่ไม่จำเป็นด้วยการเปลี่ยนรูปโฉม

 

หากข่าวของตราผนึกมารล่วงรู้ไปถึงสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าล่ะก็ แม้แต่ยอดฝีมือที่ร้ายกาจระดับแนวหน้าคงนั่งไม่ติด…ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่กล้าเปิดเผยตัวตน จนกว่าเขาจะมีพลังอำนาจมากพอถือครองตราผนึกมาร!

 

นั่นเป็นเหตุผลให้เขาเปลี่ยนใบหน้ารูปโฉมและไม่ได้กล่าวบอกชื่อแซ่ที่แท้จริงออกไป

 

“หลิงเทียนหรือ…นามอันประเสริฐนัก”

 

ชายวัยกลางคนกล่าวยกย่องชมเชยต้วนหลิงเทียน ค่อยกล่าวออกมา “แม้ท่านจะบอกว่าท่านเป็นสหายของคุณหนูใหญ่ หากแต่ข้าต้องขออภัยด้วยที่ข้ายังมิอาจไว้ใจท่านได้สมบูรณ์…เช่นนั้นข้าจักให้ท่านพักอยู่ในเรือนรับแขกของจวนข้าก่อน หลังจากที่ข้าส่งผู้คนไปยืนยันกับคุณหนูได้แล้วว่าท่านมิแปลกปลอม ข้าจักพาท่านไปพบกับคุณหนูด้วยตัวเอง”