กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 875

เลือดและหยาดเหงื่อของกู้ชูหน่วนไหลรินออกมาภายใต้การปิดล้อม

เมื่อได้ยินเสียงของท่านพ่อตัวเอง ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

พวกเขาต้องการได้ครอบครองดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องจริง

ต้องการกำจัดนางก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

หากนางมอบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ออกมา ก็เพียงแค่ตายลงอย่างน่าอนาถเท่านั้น

“ตึ่ง……”

จากเสียงที่ดังกึกก้องและรวมไปถึงเสียงล้มลงพื้นอย่างรุนแรง กู้ชูหน่วนหันไปมอง กลับเห็นผู้นำสำนักไฮ่เทียนโจมตีจากภายหลัง

และท่านพ่อของนาง เขาลุกขึ้นยืนทันที ไม่รู้ว่าขาของเขาหายจากอาการอัมพาตได้อย่างไร จากนั้นออกรับพลังฝ่ามืออันหนักหน่วงนั้นแทนนาง

พลังฝ่ามือนี้มีกำลังมหึมา ทำให้มู่หน่วนกระอักเลือดออกมา

“ท่านพ่อ……”

กู้ชูหน่วนตื่นตระหนก ร่างกายที่เดิมไร้เรี่ยวแรงแทบยืนไม่ไหวจู่ๆ ก็กลับมาเรี่ยวแรงกำลัง จากนั้นใช้ทวนพุ่งกลับออกไป ทำให้ผู้คนที่ปิดล้อมนางพากันล้มระเนระนาดลง

นางคิดอยากเข้าไปประคองมู่ซิน แต่กลับถูกกลุ่มคนกลุ่มใหม่เข้ามาปิดล้อมและทำได้เพียงมองดูท่านพ่อของนางฝืนร่างกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จากนั้นร่วมต่อสู้ไปกับนาง

พ่อลูกต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และมีบาดแผลสาหัสจำนวนมาก

โดยเฉพาะมู่ซิน ขาของเขาเพิ่งจะหายและยังไม่สามารถยืนได้ตรงนัก แต่เพียงชั่วขณะเดียวกลับถูกแทงไปหลายแผล

“ตาเฒ่า ท่านยังไม่รีบลากท่านพ่อของข้าออกไปอีก ท่านอยากเห็นลูกชายของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ?”

ผู้นำตระกูลมู่ยกกำปั้นขึ้นและกล่าวกับผู้นำตระกูลคนอื่นๆ “ทุกท่าน ขอโทษด้วยๆ มู่หน่วนได้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลมู่ของเราไปแล้ว นางจะเป็นหรือตายไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลมู่ มู่ซินเพียงแค่เห็นผิดไปชั่วขณะจึงได้ช่วยเหลือนาง”

เมื่อพูดจบ เขากระทืบเท้าและลากมู่ซินที่บาดเจ็บสาหัสกลับมาและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าอยากให้ตระกูลมู่ทุกคนต้องสังเวยชีวิตเพื่อเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“ท่านขับไล่ข้าออกจากตระกูลมู่ไปพร้อมกันเถอะ ข้าไม่สามารถทนเห็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองต้องตายลงต่อหน้าของข้าได้”

“อั่ก……”

ผู้นำตระกูลมู่เลียนแบบท่านผู้เฒ่าหนิงทำให้มู่ซินหมดสติไป จากนั้นสั่งให้ผู้นำรองพามู่ซินกลับไป

ถึงแม้ว่าสงสาร แต่ผู้นำตระกูลมู่ทำได้เพียงฝืนอดทนไว้

ที่นั่งของผู้นำตระกูลเหวิน

ผู้อาวุโสหลิวถอนหายใจ “ท่านดูสิเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ มอบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ออกมาไม่แน่อาจยังพอมีทางรอดอยู่บ้าง วิธีการทรมานคนอื่นของตระกูลไป๋หลี่นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาจะอดทนได้”

เหวินเส่าอี๋จ้องมองการต่อสู้และกำลังความสามารถของนางตลอด กระบวนท่าของนางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ใช่กระบวนท่าเฉพาะของผู้หญิงคนนั้น

มีหลายครั้งที่เกือบตาย มหาเวทมนตร์ดูดพลังของนางก็ไม่เปิดใช้งานอีกครั้ง

เหตุใดนางถึงไม่ใช้มหาเวทมนตร์ดูดพลังนะ?

หรือเพราะจงใจปิดบัง?

ทุกคนต่างรู้ว่านางมีมหาเวทมนตร์ดูดพลัง นางไม่จำเป็นต้องปิดบัง

ยอมตายโดยไม่ใช้?

เกรงว่า นางไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไรมากกว่ากระมัง?

เช่นนั้นก่อนหน้านี้นางใช้มหาเวทมนตร์ดูดพลังได้อย่างไร?

ตุ่บ……

ในที่สุดกู้ชูหน่วนก็ล้มลงและหอบหายใจติดขัด ไป๋หลี่ป้าวางมือบนศีรษะของนาง

“บอกมาว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใด?”

กู้ชูหน่วนมองออกไปอย่างดื้อรั้น

“หากเจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าจะใช้มหาเวทย์ค้นหาวิญญาณ หากใช้มหาเวทค้นหาวิญญาณ ต่อให้เจ้าไม่ตาย เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนบ้าสติเลอะเลือน”

“ที่แท้ตระกูลไป๋หลี่ที่เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ก็ใช้เวทมนตร์คาถาสกปรกในการเป็นใหญ่ในทวีปแห่งนี้ คาถาฟื้นกลับคืนสู่สภาพ มหาเวทค้นวิญญาณ อ้อ……นับว่าข้าได้รับความรู้เพิ่มขึ้น”

“เจ้าไม่พูด เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิตแล้วกัน”

ฝ่ามือของไป๋หลี่ป้าขยับและเริ่มการใช้งานมหาเวทค้นหาวิญญาณ

มือของเหวินเส่าอี๋ที่จับถ้วยน้ำชาอยู่ได้สั่นสะท้าน

เยี่ยจิ่งหานยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก

เขายังอดทนต่อไปได้

หากมหาเวทค้นหาวิญญาณได้ถูกใช้งานจริง ผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกทำลายลง

ในขณะที่เหวินเส่าอี๋ลังเลว่าจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือหรือไม่ กลับเห็นพายุลมโหมกระหน่ำ จากนั้นความกดดันมหาศาลแทบทำให้ผู้คนอยากจะล้มลงไปคลาน

ผู้นำของตระกูลไป๋หลี่ก็ถดถอยออกมาไปด้วยพลังมหาศาลของลมกระโชกแรงนี้ เหงื่อที่ไหลออกจากหน้าผากของเขาไหลไม่หยุด ราวกับกำลังต่อต้านกับพลังการสังหารที่แข็งแกร่ง

พลังที่……แข็งแกร่งอย่างมาก

ความสามารถเช่นนี้……อย่างน้อยคงต้องมีความสามารถระดับหกแน่ๆ?

“ใครกล้าแตะต้องนาง”

ด้วยเสียงตะโกนที่ดังสนั่น ทำให้ทุกคนเพียงแค่ได้ยินก็เกิดความหนาวเหน็บขึ้นในใจ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอย่างสั่นสะท้าน กลับเห็นชายสองคนเข็นรถเข็นที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่เข้ามา

บนรถเข็นมีชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงและใส่หน้ากากผีนั่งอยู่

หนุ่มชุดม่วงมีหน้าตาหล่อเหลา คิ้วเข้มและใบหน้าคมกริบ ช่างงดงามต่างจากคนธรรมดา

เขาเล่นขลุ่ยหยกขาวในมืออย่างเกียจคร้าน นัยน์ตาลึกราวกับมองไม่เห็นก้นสระลึก แม้ว่าเขาจะนั่งเงียบๆ บนรถเข็น แต่ร่างกายของเขากลับส่งรัศมีอันสูงส่งของผู้บังคับบัญชาออกมาโดยไร้เหตุผล รัศมีเช่นนี้ออกมาจากไขกระดูก ราวกับไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรือดูถูกได้เลยตั้งแต่เกิดมา

และลมกระโชกแรงและความกดดันมหาศาลที่เกิดขึ้นนั้น ก็ออกมาจากร่างกายของเขา

อายุของชายหนุ่มผู้นี้ไล่เลี่ยกับผู้นำตระกูลเหวิน เหตุใดพลังอำนาจของเขาถึงยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้?

“เยี่ยจิ่งหาน”

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเยี่ยจิ่งหานจะช่วยกู้ชูหน่วน

ทุกคนต่างพากันตกตะลึง

ไม่รู้ว่าเยี่ยจิ่งหานคือใครมาจากที่ใด

แต่จากสีหน้าของผู้นำตระกูลไป๋หลี่แล้ว ดูเหมือนว่าจะหวาดกลัวเขามาก

“นางเป็นของข้า นอกจากข้า ห้ามใครแตะต้องนางทั้งนั้น”

เยี่ยจิ่งหานไม่ได้กำลังปรึกษาพูดคุย แต่เป็นการออกคำสั่ง

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่แม้แต่จะเหลือบไปมองผู้นำตระกูลไป๋หลี่เลยสักนิด ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องไปที่เหวินเส่าอี๋

ราวกับสนามต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ มีเพียงเหวินเส่าอี๋เท่านั้นที่เป็นศัตรูของเขา

ช่างหยิ่งผยองอย่างมาก

ท่าทางเช่นนี้ หยิ่งผยองเสียยิ่งกว่ามู่หน่วนเสียอีก

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ที่เห็นตัวเองเป็นคนยิ่งใหญ่มาโดยตลอด เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยจิ่งหาน กลับไม่พูดจาด่าทอเขาและไม่คิดหาเรื่องเขา ทำให้คนจำนวนมากต่างพากันหัวเสีย

ผู้นำสำนักไฮ่เทียนกล่าว “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร วันนี้หากเจ้ากล้าช่วยนาง เช่นนั้นก็ถือเป็นศัตรูของรัฐปิงและแม้แต่ทวีปแห่งนี้……ตุ่บ……”

ยังไม่ทันพูดจบและเห็นเพียงแค่เยี่ยจิ่งหานยกแขนเสื้อขึ้น จากนั้นผู้นำสำนักไฮ่เทียนก็กระเด็นลอยออกไปและกระดูกหลายส่วนหักเป็นท่อนๆ เจ็บปวดจนเขาร้องโอดครวญไม่หยุด แม้แต่เลือดก็กระอักออกมาจำนวนมาก

ซี๊ด……

ทุกคนต่างพากันสูดลมหายใจ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสามก้าว

แข็งแกร่งอย่างมาก……

ผู้นำสำนักไฮ่เทียนก็ถือเป็นผู้นำคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาจะไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ต้อยต่ำ

แต่เขา……

แม้แต่กระบวนท่าของชายหนุ่มคนนี้ก็ยังรับมือไม่ได้

ไม่ เขาเพียงแค่ขยับยกมือขึ้นก็สามารถจัดการเขาให้กระเด็นลอยออกไป

และนี่……ถือเป็นการออมมือของเขาแล้ว

หากเขาไม่ออมมือ เกรงว่าผู้นำสำนักไฮ่เทียนคงตายไปนานแล้ว

ทุกคนต่างพากันตกตะลึง

เช่นเดียวกับผู้นำตระกูลซั่งกวน ผู้นำตระกูลไป๋หลี่และคนอื่นๆ ต่างก็พากันตกตะลึงไม่น้อย

พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งเช่นนี้

มีเพียงเหวินเส่าอี๋ที่ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

ราวกับเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว

“เจ้า……เจ้าเป็นใครกันแน่?” ไม่รู้ว่าใครตะโกนถามออกมาจากกลุ่มฝูงชน

เยี่ยจิ่งหานยังคงจ้องมองเหวินเส่าอี๋และในมือยังคงเล่นกับขลุ่ยหยกขาวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นริมฝีปากอันเยือกเย็นก็กล่าวขึ้น “ท่านอ๋องอย่างข้าไม่เคยพูดเป็นครั้งที่สอง”

ท่านอ๋อง?

เขาเป็นคนของตระกูลของราชวงศ์จักรพรรดิ?

ทุกคนต่างพากันจับจ้องไปยังเสด็จอาเสวี่ยและหยางโม่

สีหน้าของเสด็จอาเสวี่ยมึนงง

หยางโม่ก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน

ดูเหมือนว่าตระกูลราชวงศ์จักรพรรดิจะไม่มีบุคคลคนนี้?

หากมี เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้?

เสด็จอาเสวี่ยกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “คุณชาย……ท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านเป็นเลือดเนื้อทายาทฝ่ายใดของจักรพรรดิ?”

“ไม่มีสายเลือด”

“ไม่มีสายเลือด เช่นนั้นท่านคือ……”

เยี่ยจิ่งหานกล่าวอย่างเรียบเฉย “นำตัวนางไป”

เสด็จอาเสวี่ยถือเป็นเสด็จอาเพียงคนเดียวของตระกูลราชวงศ์จักรพรรดิ ที่มีตำแหน่งสูงส่งและมีอำนาจกว้างขวาง

แต่เขา……กลับ……ไม่เห็นเสด็จอาเสวี่ยในสายตา

ไม่เพียงไม่เห็นเขาในสายตา เขาไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาด้วยเช่นกัน

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ไม่ได้หยิ่งผยองเช่นก่อนหน้านี้ ท่าทางของเขาอ่อนลง “คุณชายเยี่ย ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์คาถาชั่วร้าย เพื่อไม่ให้นางทำร้ายคนอื่น พวกเราจำเป็นต้องกำจัดนางเสีย”

“ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ คำพูดของข้าเข้าใจยากมากเลยหรือ?”