ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง ตอนที่ 14

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 14 น้ำเต้าสีดำ โดย Ink Stone_Fantasy นกสีดำบนบ่าของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตขยายขนาดใหญ่ขึ้น ปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้าในทันใด  มีขนาดใหญ่กว่าดวงดาวเป็นพันเท่าหมื่นเท่า เงาร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปลี่ยนแปรแล้วแยกออกให้เห็นเป็นสองร่าง จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งสองคนสำแดงค่ายกลไปพร้อมกัน…ค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งปรากฏขึ้นเหนือปีกทั้งสองของอาจารย์ห้ากาฬปักษา เหนือปีกข้างหนึ่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิง ส่วนอีกข้างกลับเต็มไปด้วยน้ำแข็ง

“ปัง…” อาจารย์ห้ากาฬปักษากระพือปีก เพลิงและน้ำแข็งพลันบรรจบกัน ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นแผ่กวาดออกมาด้านหน้า ทำลายล้างทุกหนแห่งที่มันผ่านไป

ร่างแยกและค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งสองร่วมแรงกับนกสีดำ ก่อให้เกิดเป็นพลังที่ทำให้คนตะลึงงันจนมิอาจเอ่ยวาจา

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างเองก็ยังรู้สึกตื่นตระหนก นี่คือครั้งแรกที่เขาเห็นท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสำแดงพลังอย่างสุดกำลัง เหมือนตนเองที่ถึงแม้จะมีร่างจริงร่างแยกรวมทั้งสิ้นสามร่าง แต่ก็เป็นการต่างคนต่างสู้ ทว่าสำหรับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนั้น ร่างแยกทั้้งสองกลับควบคุมค่ายกลสองแห่งร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้พลังได้รับการยกระดับขึ้น

“ช่างเป็นผู้ปกครองที่แข็งแกร่งเสียจริง” ภายในเรือบินอลวน รูปสลักขนาดมหึมา ‘กู่กานหลัว’ ที่มองดูฉากนี้อยู่ห่างๆ มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ถ้าหากไม่มีเรือบินอลวน ถึงแม้ว่าจะอาศัยสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ก็ตาม เกรงว่ายามที่ข้าแตะจุดสูงสุดก็จะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว! ในจักรวาลแห่งนี้ถึงกับสามารถให้กำเนิดผู้ปกครองที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ออกมาได้ พลังยุทธ์เช่นนี้ก็เพียงพอให้รับมือกับเทพอากาศได้หลายกระบวนท่าแล้ว”

ในใจของกู่กานหลัวเกิดความริษยาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สายตาของเขาก็มองออกว่า ‘นกสีดำ’ ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างพิเศษ และเป็นเพียงระดับผู้ปกครองเท่านั้นเช่นเดียวกัน

ตัวเองร่วมมือกับผู้ติดตามคนหนึ่งก็แสดงพลังยุทธ์เช่นนี้ออกมาได้… ถ้าหากอยู่ต่อหน้าบรรพชนกู่ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้นี้คงมีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นบุตรทิพย์มากกว่าเขา กู่กานหลัวผู้นี้เสียอีก! สถานะของเขาต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักตั้ง

“เฮอะ” ถึงแม้ว่าจะอิจฉา แต่กู่กานหลัวก็ยังคงไม่แยแสเช่นเดิม “สุดท้ายก็ยังมิได้เดินออกจากจักรวาล รอให้ได้สมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามาก่อนเถิด จะกำจัดเขาทิ้งเสียเลย!”

……

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเพียงคนเดียวก็ระเบิดการโจมตีอันแข็งแกร่งออกมาได้ ส่วนประมุขหยวนชู เจ้าแม่กานเหอ ผู้ครองชิง ประมุขตำหนักหมื่นเทพ และผางอี พวกเขาห้าคนก็ควบคุมค่ายกลขนาดใหญ่ค่ายหนึ่งในเวลาเดียวกัน โดยมีประมุขหยวนชูเป็นหลัก การโจมตีของค่ายกลทุกครั้งต่างก็มีรอยแยกสีดำขลับปรากฏขึ้น ทั้งยังมีพลังโจมตีที่ชวนให้คนตื่นตะลึง

นอกเหนือจากนี้แล้ว ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนหุบเหวลึก และประมุขเกาะกาลมิตินั้น พวกเขาทั้งสี่คนล้วนต่างคนต่างสู้

เพราะสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกล้าที่เหมาะสมกับทางฝั่งผู้บำเพ็ญนั้นมีน้อยเกินไป

“ปัง…” ทุกครั้งที่อาจารย์ห้ากาฬปักษากระพือปีก ล้วนมีพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายออกมา

“พรึ่บ!” ประมุขหยวนชูและผู้ปกครองห้าท่านควบคุมค่ายกลโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างก็เชี่ยวชาญค่ายกล มีรอยแยกปรากฏขึ้นทันทีในทุกการโจมตี หมายจะฉีกทึ้งลัทธิจอมมารดา

ถึงแม้ว่าพวกตงป๋อเสวี่ยอิง และผู้ปกครองนรกโลกันตร์แต่ละคนจะกำลังลงมือ แต่พลังการโจมตีของพวกเขาก็ค่อนข้างอ่อนแอ เพราะสุดท้ายก็ยังอยู่ในขอบเขตของขั้นผู้ปกครอง ย่อมมิอาจคุกคามลัทธิจอมมารดาได้อยู่แล้ว!

ทางฝั่งลัทธิจอมมารดานั้นมีการป้องกันถึงสามชั้นเต็มๆ

ชั้นหนึ่งคือเรือรบซวีมู่ที่เบื้องล่างของเจดีย์สังเวย ซึ่งมีรากอากาศจำนวนมากคอยบินวนรายล้อมรอบเจดีย์สังเวยเพื่ออารักขาเจดีย์สังเวย

ชั้นที่สองคือเรือบินอลวนที่อยู่ด้านบนเหนือเจดีย์สังเวย ก็คอยป้องกันอยู่เช่นกัน

ชั้นที่สามคือค่ายกลที่กู่กานหลัวมอบให้กับลัทธิจอมมารดาเอาไว้ก่อนหน้านี้

“ปัง ปัง ปัง” “ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”

การโจมตีของฝั่งผู้บำเพ็ญดุร้ายบ้าคลั่ง แต่ก็ทำลายการขัดขวางของรยางค์จำนวนมากมายอย่างทุลักทุเลยิ่ง ลำพังแค่การป้องกันอันไร้รูปร่างของเรือบินอลวนที่มีต่อมิติเบื้องล่างก็สามารถสกัดกั้นพลานุภาพที่หลงเหลืออยู่เอาไว้ได้แล้ว

“ข้าประเมินพวกเขาสูงเกินไปเสียแล้ว ทั้งยังให้ลัทธิจอมมารดายืมค่ายกลหกแห่งอีกด้วย” เมื่อกู่กานหลัวที่อยู่ภายในเรือบินอลวนได้เห็นก็อดส่ายหน้ายิ้มเยาะมิได้ ใช่แล้ว แค่สองด่านแรกก็ป้องกันเอาไว้ได้แล้ว ค่ายกลย่อมไม่ได้รับการโจมตีแต่อย่างใด

“เร็วเข้า”

“กระตุ้นเร็วเข้าสิ”

เหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาต่างก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าชายชราผอมแห้งผู้นั้นกลับสวดพึมพำอยู่หน้าเจดีย์สังเวย มิได้เร่งร้อนเลยแม้แต่น้อย

กระบวนการกระตุ้นนี้จำเป็นต้องทำทีละขั้นละตอน

ตามการกระตุ้นอย่างค่อยๆ ของชายชราผอมแห้ง พลังของเจดีย์สังเวยก็ทวีความปั่นป่วนยิ่งขึ้น มีการรับสัมผัสกับบุคคลผู้สูงส่งอย่างที่สุดที่อยู่ห่างออกไปไกลเป็นที่สุดคนหนึ่ง

“จอมมารดา”

ชายชราผอมแห้งเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนมารดา เขารู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดนั้นแล้ว อยู่ต่อหน้าพลังเช่นนี้ ถึงแม้ตัวเขาจะเป็นขั้นเจ้าลัทธิ แต่ก็ราวกับมดปลวกตัวหนึ่งที่อยู่กลางอากาศ

“ปัง…”

ทันใดนั้นเจดีย์สังเวยก็ระเบิดพลังอันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมา แล้วเริ่มต้นสั่นพ้องไปกับเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาอื่นๆ แห่งแล้วแห่งเล่าที่ปรากฏขึ้นในจักรวาล การสั่นพ้องชนิดนี้ค่อยๆ ทำให้เกิดแบบแผนที่เริ่มมีความเสถียร แต่ความแปรปรวนของพลังฟ้าดินทั่วทั้งจักรวาลผู้บำเพ็ญกลับยิ่งทวีความรุนแรง เหล่าชีวิตเหนือธรรมดาในโลกเทพ โลกวัตถุ และหุบเหวลึกดำมืดจำนวนหนึ่งต่างก็ค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าไม่มีทางดูดซับพลังฟ้าดินได้แล้ว เพราะว่าบ้าคลั่งเกินไป

“ใกล้เสร็จแล้ว” เมื่อบรรดาเจ้าลัทธิคนอื่นๆ ในเรือรบซวีมู่ได้เห็นฉากนี้ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

“ทำอย่างไรดี ตีไม่แตกเสียที ทำอย่างไรดีเล่า” ผู้ครองชิงเผยสีหน้าร้อนรนออกมา

“เจดีย์สังเวยนั้นมีเรือรบลำนั้นอยู่ ทั้งยังมีการป้องกันของเรือบินอลวนอีกด้วย ยังมีแม้กระทั่งการป้องกันจากค่ายกลอันน่าอัศจรรย์แห่งหนึ่ง ตอนนี้พวกเรายังตีไม่แตกแม้กระทั่งการป้องกันของเรือบินอลวนเลย” ประมุขหยวนชูก็มีสีหน้าไม่น่าดูเช่นเดียวกัน

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ร้อนรนไม่ต่างกัน

ทำอย่างไรดีเล่า

ลัทธิจอมมารดาจำเป็นต้องติดตั้งเจดีย์สังเวยหกแห่ง จึงจะสามารถติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาให้สำเร็จได้ แล้วเริ่มเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งจักรวาลโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเจดีย์สังเวยทุกแห่งจึงจำเป็นต้องมีการรักษาการณ์ ทว่าเรือรบซวีมู่มีอยู่เพียงลำเดียว เรือบินอลวนก็มีเพียงแค่ลำเดียว นี่คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ลัทธิจอมมารดามิได้ติดตั้งเจดีย์สังเวยมาโดยตลอด เพราะว่าติดตั้งไปก็มิอาจป้องกันได้!

แต่ทว่าค่ายกลอันน่าอัศจรรย์แห่งนั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ในด้านค่ายกล จึงย่อมดูออกอย่างสมบูรณ์ “ค่ายกลที่คอยปกป้องเจดีย์สังเวยแห่งนี้มีความพิเศษและเร้นลับอย่างที่สุด เกรงว่าพลังในการป้องกันจะยังอยู่บนเรือรบซวีมู่ และเรือบินอลวน”

แน่นอนว่าการป้องกันอันแท้จริงของเรือบินอลวนเลิศล้ำเป็นที่สุด แต่ถึงอย่างไรกู่กานหลัวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาเพียงแค่หยุดเรือบินอลวนเอาไว้เหนือเจดีย์สังเวย แล้วควบคุมอากาศเบื้องล่าง เป็นการรักษาการณ์อย่างง่ายๆ เท่านั้น การป้องกันที่ง่ายดายพรรค์นี้… มิอาจสู้ค่ายกลของผู้รักษากฎแห่งนั้นได้เลย

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเห็นค่ายกลเช่นนี้มาก่อนเลย”

“นอกจากนี้ความพิเศษและเร้นลับเช่นนี้ ไม่เหมือนกับระบบลัทธิจอมมารดาเอาเสียเลย เกรงว่าจะเป็นกู่กานหลัวหยิบออกมาใช้น่ะสิ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกระวนกระวาย “ในที่สุดเขาก็ลงมือ เกรงว่าจะเป็นการทำให้มั่นใจว่าเจดีย์สังเวยทั้งหกแห่งได้รับการอารักขาอย่างเพียงพอ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีเล่า”

……

ทางฝั่งผู้บำเพ็ญไร้หนทางโดยสิ้นเชิง พูดถึงภูมิหลัง พวกเขาก็ย่ำแย่กว่าลัทธิจอมมารดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเปรียบเทียบกับกู่กานหลัวเลย

“จอมมารดาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเจดีย์สังเวยแห่งแรกนั้นอยู่ห่างๆ พลานุภาพของเจดีย์สังเวยแห่งแรกก็แผ่กวาดไปทั่วทั้งจักรวาลแล้ว หลากหลายพื้นที่ต่างก็มีเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาแห่งแล้วแห่งเล่าปรากฏขึ้น ด้วยการรับสัมผัสต่ออากาศของเขา ย่อมสามารถรับสัมผัสได้ถึงเจดีย์สังเวยสีเทาเหล่านั้น “จอมมารดาช่างเหิมเกริมเสียจริง”

เมื่อบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องไปถึงขั้นที่สิบเอ็ด ซึ่งก็คือยามที่อยู่ในแดนผู้ปกครองแล้ว ก็สามารถเข้าไปท่องในอากาศอันสับสนอลหม่านได้แล้ว! และการถ่ายทอดที่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีทิ้งเอาไว้ก็มีการถ่ายทอดข้อมูลภายในอากาศอันสับสนอลหม่านเอาไว้จำนวนมากมาย รวมถึงข้อมูลของโลกทิพย์ด้วย

ด้วยสถานะของท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศ ‘กู่ฉี’ ข้อมูลที่ให้เอาไว้ก็ย่อมมหาศาลยิ่งนัก

อากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลและโลกทิพย์ทั้งห้า! เช่นเดียวกับบุคคลผู้น่าเกรงขามแต่ละท่าน… อย่างเช่น บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ และท่านบรรพชนคีรีมาร เป็นต้น ท่านเหล่านี้ต่างก็เป็นบุคคลที่ไปถึงจุดสูงสุดของการบำเพ็ญ! เหมือนกับวิชาลับผู้ท่องของระบบผู้ท่องอากาศ เพียงแค่ไปถึงขั้นที่ห้าสิบเอ็ดเป็นต้นไป ก็นับได้ว่าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นสุดยอดสุดท้ายของการบำเพ็ญแล้ว

นั่นคือระดับขั้นที่น่าเหลือเชื่อ แน่นอนว่าระดับขั้นนั้นก็มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ผู้บุกเบิกเฉกเช่นผู้ท่องอากาศนั้น นั่นคือผู้ที่สำเร็จทั้งวิชาลับผู้ท่อง ทั้งยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม

ในบรรดาบุคคลขั้นสุดยอด ‘จอมมารดา’ ก็คือบุคคลที่โอหังเป็นที่สุดผู้หนึ่ง ระบบการบำเพ็ญนี้ศรัทธาในตัวจอมมารดา และปฏิเสธระบบอื่นๆ ทั้งหมด! ทั้งหมดล้วนให้จอมมารดาเป็นที่เคารพเทิดทูนสูงสุด! แม้กระทั่งแท่นบูชาจอมมารดาก็สามารถหยิบยืมเอาพลังที่ ‘จอมมารดา’ มอบให้มาใช้เปลี่ยนแปลงจักรวาลแห่งหนึ่ง ทำให้จักรวาลอื่นๆ กลายเป็นจักรวาลของจอมมารดาได้

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว บุคคลเช่นนี้ย่อมต้องเผชิญกับการแบ่งแยกจากบรรดาบุคคลขั้นสุดยอดคนอื่นๆ แต่จอมมารดาก็มีสถานะอันมั่นคงเช่นเดิม ก็คือแกร่งกล้าเหลือเกิน!

“ยังคงใช้น้ำเต้าสีดำดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือหยิบเอาน้ำเต้าสีดำออกมา

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าจะใช้จริงๆ หรือ” วิญญาณอาวุธส่งเสียงมา “ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ปกครอง เคลื่อนพลังขั้นที่สองของน้ำเต้าสีดำ… นั่นอาจจะทำร้ายทั่วทั้งจักรวาลได้! ถ้าหากบ้าคลั่งเกินไป  ถึงขั้นทำลายทั้งจักรวาลจนสูญสลาย ก็มีความเป็นไปได้นะ”

“ข้าเข้าใจ ข้าจะควบคุมขอบเขตอย่างระมัดระวังที่สุดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

ยามที่อยู่ในแดนผู้เคารพ พลังที่น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ปกครองทุกคนต้องล่าถอย!

ทว่ายามที่อยู่ในแดนผู้ปกครองนั้น สิ่งที่น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยออกมา มิใช่ระลอกคลื่นอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า เพียงพอที่จะทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นเทพอากาศ ‘แดนกำเนิด’ ต้องล่าถอย เหล่าเทพอากาศธรรมดาล้วนต้านทานไม่อยู่ จะเห็นได้ว่าพลานุภาพนี้น่าหวั่นเกรงเพียงใด พึงปรารถนาเพียงใด และมีเพียงพลานุภาพที่แข็งแกร่งเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องผู้ท่องอากาศในแดนผู้ปกครองเอาไว้ได้!

“น้ำเต้าสีดำหรือ”

กู่กานหลัว รวมถึงเหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาที่อยู่ภายในเรือบินอลวน ที่คอยจับตามองฝั่งผู้บำเพ็ญอยู่ตลอดเวลาต่างก็ดูแคลนอยู่บ้าง

พลานุภาพของน้ำเต้าสีดำนั้น พวกเขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว ระลอกคลื่นสีดำนั้นระห่ำบ้าคลั่ง มาถึงขั้นเทพอากาศอย่างทุลักทุเล แม้กระทั่งการโจมตีของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็มิอาจสู้ได้ ยังจะมาผสมผสานกันอีกหรือ

“ปั้ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงดึงจุกปิดน้ำเต้าสีดำออก

……………………………………………….