ตอนที่ 15 เพลิงทอง โดย Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสค่ายกลอันว่างเปล่าที่พิสดารยากเกินคาดเดาภายในน้ำเต้าสีดำแล้วก็เริ่มกระตุ้นและควบคุมมัน หลังบรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว วิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของลูกไฟซึ่งเทียบได้กับ ‘ดวงอาทิตย์’ ภายในน้ำเต้าสีดำได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระมัดระวังเป็นอันมาก เพราะเขารู้ดีว่าหากพละกำลังเช่นนี้ทำลายล้างอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว ก็จะสามารถทำให้ทั้งยุคจักรวาลนี้สิ้นสุดลงไปได้เลยทีเดียว!
เหมือนโลกมนุษย์ธรรมดาแห่งแล้วแห่งเล่าภายในโลกวัตถุ ที่เมื่อเผชิญกับการทำลายล้างแล้ว ก็จะแตกสลายไปรวดเร็วยิ่งขึ้นจากนั้นก็ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ละยุคจักรวาลนั้น ระยะเวลาไม่ได้เท่ากันเสมอไป จำนวนของสิ่งมีชีวิตที่เวียนว่าย ผู้ปกครองที่ถือกำเนิดขึ้นมา จำนวนเทพอากาศ การดูดกลืนพลังฟ้าดิน การทำลายล้างจักรวาลโดยตรง…สาเหตุต่างๆ ล้วนส่งผลต่อการตัดสินระยะเวลาสั้นยาวของจักรวาลหนึ่งๆ ทั้งสิ้น
น้ำเต้าสีดำระดับขั้นที่สอง มีพละกำลังซึ่งทำให้เทพอากาศทั่วไปต้องถอยหลบ ก็ย่อมสามารถทำร้ายจักรวาลได้เป็นธรรมดา
หากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพอากาศ ควบคุมน้ำเต้าสีดำระดับขั้นที่สาม…เกรงว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ทั้งจักรวาลสิ้นสุดลงได้แล้ว!
อันที่จริง
พละกำลังของเทพอากาศก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อจักรวาลได้แล้ว ดังนั้นอย่างจักรพรรดิทั้งสามแห่งจักรวาลคีรีมาร…ก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ใน ‘บรรพคีรีมาร’ เท่านั้น ในบริเวณอื่นๆ พวกเขาล้วนไม่ลงมือ
“ระวังหน่อย ควบคุมขอบเขตให้ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ “จัดการเจดีย์สังเวยนี้ทิ้งเสีย แล้วหยุดมือทันที”
ในขณะนี้
พวกลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวสนใจพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมากกว่า พวกเขามิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เท่าที่พวกเขามองนั้น น้ำเต้าสีดำนั่น…เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ปกครองสองสามคนก็อาจจะมีประโยชน์มากทีเดียว แต่บัดนี้เป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ลัทธิจอมมารดาทุ่มเททรัพยากรที่สั่งสมมาของทั้งเผ่า กู่กานหลัวก็คอยช่วยเหลือ ในสงครามระดับขั้นเช่นนี้ น้ำเต้าสีดำก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็ลอบส่ายหน้า “แม้สำหรับพวกเราพละกำลังของน้ำเต้าสีดำจะมีส่วนช่วยเพียงน้อยนิด ช่วยอะไรสถานการณ์มิได้”
แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับระมัดระวังเป็นอันมาก วิญญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังกดดันหาใดเปรียบ พละกำลังนี้เหนือกว่าระดับขั้นนี้ของเขาไปแล้ว เคราะห์ดีที่น้ำเต้าสีดำยอมรับเป็นนาย มิเช่นนั้นแล้วพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ก็เพียงพอให้วิญญาณของตนถูกโจมตีจนสาหัสได้แล้ว
“ทำลายเสียเถิด ลัทธิจอมมารดา” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยประกายคมกริบสายหนึ่ง
“ฟิ้ววว…”
แสบตา
แสบตาหาใดเทียม
รัศมีอันเจิดจ้าแสบตานี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันต้องมองออกไปอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กู่กานหลัวและเหล่าเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาที่อยู่ภายในเรือบินอลวนรวมทั้งผู้บำเพ็ญของฝ่ายผู้ปกครองทั้งหลายต่างก็มองน้ำเต้าสีดำนั้นด้วยความตกตะลึง
ทันใดนั้นปากน้ำเต้าสีดำก็มีรัศมีสีทองอันโดดเด่นสะดุดตาหาใดเปรียบสายหนึ่งลอยออกมา มันลอยออกมาอย่างรวดเร็วแล้วทะยานตรงไปยังเจดีย์สังเวยแห่งแรกแห่งนั้น รัศมีสีทองที่ลอยออกมาด้วยความเร็วสูงนี้เป็นของเหลวชนิดหนึ่ง รัศมีของเหลวสีทองนั้นโดดเด่นสะดุดตาที่สุดกลางท้องฟ้า โดดเด่นสะดุดตากว่าดวงอาทิตย์มากมายนัก ชั่วขณะเดียวกับที่มันปรากฏขึ้นมานั่นเอง อุณหภูมิรอบด้านก็ปะทุสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศบิดแปรและแหลกสลายไป ลำพังแค่อุณหภูมิอันน่าหวาดหวั่นเหล่านี้ หากบรรดาผู้ปกครองอาจหาญแตะต้องรัศมีสีทองนี้ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา
“ฟึ่บ…” ภายใต้รัศมีของเหลวสีทองที่โหมซัด รากจำนวนมากของเรือรบซวีมู่ซึ่งปกป้องเจดีย์สังเวยเอาไว้ก็ถูกโจมตีจนแตกสลายหายไปในพริบตาเดียว เมื่ออ่อนยวบลงอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ไม่มีอานุภาพอีกต่อไป การควบคุมและปกป้องของเรือบินอลวนที่มีต่อมิติเบื้องล่างเจดีย์สังเวยนั้นก็ถูกโจมตีจนแตกไปภายในพริบตา ทำมิได้แม้แต่ขัดขวางสักนิด
“สกัดไว้!” ค่ายกลที่ปกป้องเจดีย์สังเวยเอาไว้ มีเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาสองคนคอยควบคุม พวกเขาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา ค่ายกลป้องกันนี้เป็นการป้องกันท้ายที่สุดแล้ว
“ฟึ่บๆๆ…” ประกายของเหลวสีทองที่โหมซัดนั้นประหนึ่งคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามา แต่ความเร็วของมันก็รวดเร็วอย่างยิ่ง อานุภาพก็แข็งแกร่งนัก ค่ายกลป้องกันนั้นเปล่งประกายอันโดดเด่นสะดุดตาออกมา รอยอักขระอันบิดเบี้ยวเหนือค่ายกลสีม่วงสายแล้วสายเล่ากำลังสั่นสะเทือน รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เพียงแค่ครึ่งชั่วลมหายใจ ค่ายกลป้องกันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปจนสิ้น ประกายสีทองก็ปกคลุมเจ้าลัทธิทั้งสามของลัทธิจอมมารดาจนมิด…สองคนที่ควบคุมค่ายกลและอีกคนที่กระตุ้นเจดีย์สังเวย และยังปกคลุมเจดีย์สังเวยแห่งแรกจนมิดด้วย
เจ้าลัทธิทั้งสามกลายเป็นเถ้าธุลีในทันใด
เรือรบซวีมู่และเรือบินอลวนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
รัศมีสีทองอันเจิดจ้าที่โหมซัดเข้ามาโอบล้อมเจดีย์สังเวยเอาไว้ แต่กลับมิได้แผ่รังสีต่อไป ดูมีการยับยั้งนัก
“เพลิงทองสุริยันรึ”
“นี่คือเพลิงทองสุริยันหรือ”
พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูต่างก็ตกตะลึงเหลือแสน พวกเขาคุ้นเคยดียิ่งนัก ดวงอาทิตย์แบ่งเป็นหกชั้น ในจำนวนนั้น ‘บึงสุริยะ’ ซึ่งเป็นชั้นที่ห้าก็คือเปลวเพลิงของของเหลวจำพวกนี้…เพลิงทองสุริยันนั่นเอง และว่ากันว่า ณ ส่วนลึกของบึงสุริยะมี ‘แก่นดวงอาทิตย์’ อยู่ ซึ่งนั่นก็คือใจกลางที่แท้จริงของดวงอาทิตย์
อานุภาพของเพลิงทองสุริยันในของเหลวภายในบึงสุริยะเหล่านี้ยิ่งใหญ่นัก บรรดาผู้ปกครองล้วนมิกล้าเข้าใกล้ เพราะเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ก็ล้วนสัมผัสได้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามา! ผู้อาวุโสในยุคต่างๆ เช่นจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบและจอมมารล้วนแต่ทิ้งบันทึกเอาไว้ หากผู้ปกครองอาจหาญปะทะกับเพลิงทองสุริยันแล้ว ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในพริบตา ต่อให้เป็นเทพอากาศ เมื่ออยู่ภายใต้เพลิงทองสุริยันก็ต้านทานได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงถือน้ำเต้าสีดำเอาไว้ในมือ เปลวเพลิงสีทองที่ปากน้ำเต้ามีความหนาแน่นมากที่สุด มันกดดันเสียจนบิดเบี้ยวไปหมด หลังจากพุ่งออกไปแล้ว ก็โหมซัดไปปกคลุมเจดีย์สังเวยที่อยู่ไกลออกไปตามอำเภอใจ
“แยก”
เพียงตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
เพลิงทองอันสะดุดตานี้ก็แยกออกเป็นทางเชื่อมสายหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าไปในอากาศ ทุกบริเวณที่ผ่านไปเปลวเพลิงสีทองก็ล้วนแยกตัวออก แล้วรายล้อมรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงแต่โดยดี
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปตามทางเชื่อมที่เกิดจากเพลิงทองที่แยกตัวออก จนไปถึงทิศที่เจดีย์สังเวยแห่งแรกตั้งอยู่ เขายื่นมือขวาออกไป ฝ่ามือขยายออกแล้วคว้าเจดีย์สังเวยเอาไว้ ก่อนจะกระชากอย่างรุนแรงโดยพลัน! ในฐานะที่เป็นพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นของผู้ท่องอากาศจึงกระชากเจดีย์สังเวยและเงารางของเจดีย์สังเวยสีเทาอื่นๆ จำนวนมากในจักรวาลมาอย่างต่อเนื่องกัน และเก็บเข้าไปภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าของตน
ลัทธิจอมมารดาและกู่กานหลัวซึ่งอยู่ในเรือบินอลวนทำได้เพียงมองดูเท่านั้น มิอาจสกัดกั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้
“หมดกัน”
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาซึ่งอยู่ภายในเรือรบซวีมู่ต่างก็มึนงงไปหมด
“หมดกัน”
“เจดีย์สังเวยแห่งแรกถูกชิงไปแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ พวกเราจะหลอมเจดีย์สังเวยแห่งแรกขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”
“ทั้งยังมีเจดีย์สังเวยถึงหกแห่ง พวกเราจะทำให้การป้องกันของเจดีย์สังเวยทั้งหกต้านทานเปลวเพลิงสีทองอันน่าหวาดหวั่นนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าลัทธิเหล่านี้มึนงงไปหมด พลานุภาพของน้ำเต้าสีดำทำให้พวกเขาสิ้นหวังเสียแล้ว
……
ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญกลับสะท้านสะเทือนหาใดเปรียบ ผู้ปกครองสามารถควบคุมพละกำลังของเพลิงทองสุริยันได้ ทั้งยังควบคุมเป็นวงกว้างเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ แล้วผู้ใดจะสามารถต้านทานได้เล่า
เรื่องนี้ทำให้ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและคนอื่นๆ รู้สึกยินดีระคนอิจฉา ถึงตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า ‘น้ำเต้าสีดำ’ นั้นห่างไกลจากคำว่าเรียบง่ายที่พวกเขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ลิบลับ หากแต่เป็นสมบัติล้ำค่าอันน่าเหลือเชื่อโดยแท้ อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าสมบัติล้ำค่าที่ผู้ปกครองอย่างพวกเขามีมากนัก
“มิน่าเล่าจึงรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ โชคดีเกินไปแล้ว” ประมุขเกาะกาลมิติพึมพำ แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ก็ยังยากที่จะข้มความริษยาเอาไว้ได้
เจ้าหนุ่มที่คิดจะเข้าร่วมตำหนักเทพกาลมิติก็ยังไม่สำเร็จในตอนแรก ตอนนี้กลับทำให้ประมุขเกาะกาลมิติอย่างเขาต้องริษยา ทว่าหากมิใช่ตงป๋อเสวี่ยอิงโผทะยานไปบนเส้นทางการบำเพ็ญจนโดดเด่นสะดุดตาพอ ก็คงจะไม่ผ่านการทดสอบของผู้ท่องอากาศ! อย่างประมุขเกาะกาลมิติ สำหรับทางผู้ท่องอากาศนั้น ข้อแรกก็คือติดที่การรับรู้ด้อยเกินไป ข้อสองก็คือคงไม่ผ่านทางด้านจิตใจ
ยามนี้อารมณ์ของ ‘กู่กานหลัว’ รูปสลักขนาดมหึมาซึ่งอยู่ภายในเรือบินอลวนกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ผู้ปกครองที่มิได้ออกไปจากจักรวาลเลยคนหนึ่งกลับมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้หรือ”
“ขณะที่เขาเป็นผู้เคารพ น้ำเต้าสีดำนี้สามารถปลดปล่อยระลอกคลื่นออกมาโจมตีและสามารถต้านทานผู้ปกครองได้ บัดนี้สามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นนี้ออกมาได้ ก็เพียงพอจะสกัดกั้นเทพอากาศทั่วไปได้แล้ว”
“ระดับขั้นที่แตกต่างกัน…มีอานุภาพที่ไม่เหมือนกัน! ทั้งยังคล้ายจะไม่มีการแว้งกัดด้วยหรือ”
“สมบัติล้ำค่าพรรค์นี้ จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าพิทักษ์วิถีซึ่งสิ่งมีชีวิตผู้แข็งแกร่งสักท่านตั้งใจทิ้งเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังอย่างแน่นอน” กู่กานหลัวมีโลกทัศน์กว้างไกลมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงบุตรทิพย์คนที่เจ็ด ภายใต้องค์บรรพชนกู่มีบุตรทิพย์เพียงสามคนเท่านั้นที่ได้สมบัติล้ำค่าพิทักษ์วิถีไป เขายังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้มาเลย!
“ต้องได้มาให้ได้!”
“สมบัติพิทักษ์วิถีชิ้นนี้ล้ำค่ากว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดามากนัก เกรงว่ายังเหนือกว่าเรือบินอลวนลำนี้เสียอีก”
“แม้สมบัติพิทักษ์วิถีพรรค์นี้จะมีการกำหนดผู้สืบทอดเอาไว้ คนอื่นมิอาจใช้งานได้ แต่ว่า…แค่นำกลับไปขอร้องท่านอาจารย์ หากแค่ช่วยหลอมแปรอย่างง่ายๆ ท่านอาจารย์ก็น่าจะยินดี” กู่กานหลัวใจสั่นไปหมด หากให้ท่านอาจารย์ของตนหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีขึ้นมาเองสักชิ้นหนึ่งตั้งแต่ต้นจน เขาย่อมไม่ยอมแน่ แต่สมบัติพิทักษ์วิถีที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง เพียงแค่หลอมแปรอย่างง่ายๆ ให้ศิษย์ของตนสามารถใช้งานได้ก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก
“ชิงมา!”
“ต้องชิงมาให้ได้!”
ยามนี้กู่กานหลัวเข้าใจดีมากว่าเจดีย์สังเวยแห่งแรกของลัทธิจอมมารดานั้นไม่มีแล้ว อีกทั้งเจดีย์สังเวยหกแห่งก็ไม่สามารถต้านทานน้ำเต้าสีดำนั้นเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงทิ้งเรื่องของลัทธิจอมมารดาออกไปจากสมองจนสิ้น
เขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ก็คือคิดหาวิธีแย่งชิงน้ำเต้าสีดำมาให้ได้! เมื่อหลอมได้สำเร็จ ตอนนั้นก็สามารถแบ่งกำลังเล็กน้อยไปช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาได้
“ต้องชิงเอามาไว้ในมือให้ได้! เมื่อได้มันมา ข้าก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว” กู่กานหลัวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในจักรวาลแห่งหนึ่ง ตนจะบังเอิญพบสมบัติพิทักษ์วิถีชุดหนึ่งเข้าได้ หากปล่อยเปลวเพลิงสีทองออกมาเพียงอย่างเดียว เขาก็ยังไม่ตระหนัก ถึงอย่างไรพละกำลังของเปลวเพลิงสีทองก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว แต่ก็ยังมิอาจล้ำค่าเหมือนเรือบินอลวนได้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในขั้นผู้เคารพก็เคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง ระดับขั้นแตกต่างกัน อานุภาพก็ต่างกัน แม้แต่ลูกไม้การโจมตีก็ยังไม่เหมือนกัน เกรงว่าสมบัติล้ำค่าพรรค์นี้ เมื่อสำเร็จเป็นเทพอากาศก็ยังสามารถสำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ต่อไปอีก ถึงตอนนั้นอานุภาพก็จะวิวัฒน์ไปอีก!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงหักหาญเอาเจดีย์สังเวยแห่งแรกมา เงารางสีเทาของเจดีย์สังเวยภายในจักรวาล และเงารางสีเทาอื่นๆ ล้วนสลายไปจนสิ้นแล้ว พลังฟ้าดินของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความสงบสันติอีกครา
“ฉับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดขาดการปลดปล่อยเพลิงทองสุริยันทันทีในชั่วความคิดเดียว ขณะเดียวกันก็อุดจุกกลับลงไปทันที ถึงอย่างไรอานุภาพของเพลิงทองสุริยันก็แข็งแกร่งยิ่งนัก สร้างความเสียหายให้จักรวาลได้
“นายท่าน ระวัง ระวังกู่กานหลัวด้วย!” วิญญาณอาวุธถ่ายเสียงทันที
วิ้ง…
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันลอบโจมตีจากเรือบินอลวนที่ร่อนลงมาด้วยความรวดเร็วและอันตรายยิ่งนัก เป็นกู่กานหลัวที่เต็มไปด้วยแววอาฆาตนั่นเอง นัยน์ตาของกู่กานหลัวฉายแววบ้าคลั่ง สมบัติพิทักษ์วิถี ต้องชิงมาให้จงได้!
…………………………..