มู่หรงฉีและซูจิ่นซีพาอู๋จุนกลับมาที่จวนฉีอ๋อง
ซูจิ่นซีต้องการตรวจร่างกายอู๋จุนอย่างละเอียดอีกครั้ง นางพบว่าก่อนหน้านี้ อู๋จุนทานยาสมุนไพรล้ำค่าบางอย่าง แม้ร่างกายยังอ่อนแออยู่บ้าง ทว่าระยะนี้ยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต
ทว่าจุดตันเถียนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง คิดจะฟื้นฟูวรยุทธ์…
ซูจิ่นซีก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรทำอย่างไร
นางเชี่ยวชาญวิชาพิษเป็นหลัก ทั้งยุคก่อนหน้านั้นที่นางมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าวิชาแพทย์หรือวิชาพิษล้วนสร้างขึ้นจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เดียวกัน การอธิบายถึงการฝึกวรยุทธ์และจุดตันเถียนนั้นมีน้อยมาก
ความรู้ในด้านนี้ ซูจิ่นซีได้ศึกษาหลังจากข้ามมิติมาแล้วทั้งสิ้น
ทว่านั่นก็เป็นเพียงการอ้างอิงและความเข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น ยามนี้เรื่องของอู๋จุนสำคัญมาก ไม่ว่าอย่างไร นางไม่กล้าด่วนสรุปหรือใช้ยาโดยไม่ระวัง
ซูจิ่นซีหวนนึกถึงตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิง เมื่อใดที่นางพบปัญหาด้านการแพทย์ มักจะมีอวิ๋นจิ่นเป็นกำลังสำคัญ ทั้งยังมีหมอเทวดาหวาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ
ทว่าที่แห่งนี้คือแคว้นหนานหลี หมอเทวดาหวาและอวิ๋นจิ่นไม่อาจปรากฏตัวได้
ซูจิ่นซีใช้ความพยายามอยู่หลายชั่วยาม สุดท้ายจึงเดินออกไปหามู่หรงฉี
“ฉีอ๋อง พระองค์สามารถเรียกหมอผู้หนึ่งที่มีวิชาแพทย์สูงส่งมาตรวจอู๋จุนอีกครั้งได้หรือไม่? ”
มู่หรงฉีมีท่าทีเคร่งเครียดเล็กน้อย “กระทั่งเจ้ายังไม่มีวิธีหรือ? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “วิชาแพทย์ไม่ใช่จุดแข็งของหม่อมฉัน สถานการณ์ของอู๋จุนค่อนข้างซับซ้อน หม่อมฉันต้องการแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพื่อช่วยหม่อมฉันอ้างอิงในการเขียนเทียบยา”
มู่หรงฉีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังว่า “ไปตามจงรุ่ยอันพ่อลูกมา”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างลังเล ในที่สุดก็พูดสิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ในใจออกมา
“วิชาแพทย์ของจงรุ่ยอันพ่อลูกเป็นอย่างไร? สำหรับแคว้นหนานหลี สำนักโอสถสกุลจงมีชื่อเสียงเลื่องลือมากกว่าไม่ใช่หรือ? อีกทั้ง… ข้าเคยได้ยินหลิงเซียวจวิ้นจู่พูดว่า สำนักแพทย์สกุลจงตกต่ำ เหลือเพียงลูกศิษย์ที่มีวิชาแพทย์สู้หมอชาวบ้านธรรมดายังไม่ได้”
มู่หรงฉีคิ้วกระตุก “โอ้? หลิงเซียว เด็กน้อยผู้นี้พูดเช่นนั้นกับเจ้าจริงๆ หรือ? ”
หลิงเซียวเด็กผู้นี้?
มู่หรงฉีเรียกหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างสนิทสนมถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจซูจิ่นซี ทว่านางไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า
“เรื่องนี้พูดกันเมื่อครั้งไปเยือนหอโอสถสกุลจงเพื่อจัดหาสมุนไพรให้พระองค์ นางพูดขึ้นโดยบังเอิญ”
มู่หรงฉียกยิ้มมุมปาก “เด็กคนนั้น ซ้ายขวาล้วนเป็นคนของสำนักโอสถสกุลจง แน่นอนว่าย่อมพูดเข้าข้างสำนักโอสถ อย่างไรก็ตาม กล่าวอย่างจริงจัง ทางด้านทักษะวิชาแพทย์ของสำนักแพทย์สกุลจง ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัย การจ่ายยา หรือด้านอื่นๆ ล้วนสูงส่งกว่าสำนักโอสถสกุลจงมาก ทว่าหลายปีมานี้ ผู้คนหลายชั่วอายุได้อุทิศตนเพื่อการวิจัย ต่อให้ตอนนี้สำนักแพทย์จะได้ฉายาว่าเป็นสำนักที่อับเฉา แต่อูฐที่ผอมแห้ง อย่างไรก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า [1] ”
แท้จริงก็เป็นเหตุผลนี้เอง!
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าสิ่งที่มู่หรงฉีพูดนั้นมีเหตุผล
“ดี เช่นนั้นก็เชิญจงรุ่ยอันพ่อลูกมาตรวจดูก่อนเถิด! ครั้งก่อน เทียบยาที่จงรุ่ยอันเขียนให้หม่อมฉัน หม่อมฉันได้เห็นแล้ว มีมาตรฐานในระดับดีทีเดียว”
มู่หรงฉีพยักหน้า
ผ่านไปไม่นาน องครักษ์ก็เชิญจงรุ่ยอันพ่อลูกเข้ามา
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีประหลาดใจก็คือ คนผู้หนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไร นางก็นึกไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวในเวลานี้ได้
อวิ๋นจิ่น!!
ทันทีที่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าประตูมา ร่างสีขาวหิมะดุจก้อนเมฆบนท้องฟ้าก็ติดตรึงอยู่ในดวงตาของซูจิ่นซี
รอยยิ้มที่มุมปากของเขายังคงงดงามราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่มีไว้เพื่อซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ซูจิ่นซีก็อดแย้มยิ้มที่มุมปากไม่ได้
“ข้าน้อยอวิ๋นจิ่น คำนับพระชายา! ”
ซูจิ่นซีไม่ได้ตอบรับ ทว่านางกำลังยืนยันซ้ำๆ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคืออวิ๋นจิ่น หมอหลวงแห่งสำนักหมอหลวงในแคว้นจงหนิง ผู้ที่มีความสามารถถึงขั้นยอดเยี่ยม มีความละเอียดถี่ถ้วน และสุภาพอ่อนโยน
“หมอหลวงอวิ๋น ที่นี่เป็นแคว้นหนานหลี เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
อวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองซูจิ่นซี พลางยกยิ้มมุมปากอย่างอบอุ่นเช่นเดิม “ทูลพระชายา สำนักอาจารย์ของกระหม่อมอยู่ที่แคว้นหนานหลี วันนี้สำนักอาจารย์เกิดเรื่อง กระหม่อมจึงขอทูลลาจากวังหลวงเป็นกรณีพิเศษเพื่อกลับมาที่สำนักอาจารย์”
สำนักอาจารย์ของอวิ๋นจิ่นอยู่ที่แคว้นหนานหลี ตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิงก่อนหน้านี้ นางเหมือนเคยได้ยินคนที่จวนของเขาเอ่ยถึงเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้ข้ายังครุ่นคิดว่า หากเวลานี้มีเจ้าอยู่ด้วย คงรักษาอาการป่วยของอู๋จุนได้ไม่ยากเย็นนัก นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้า หมอหลวงอวิ๋น เจ้าเป็นฝนที่ตกได้ทันเวลาจริงๆ ! ”
อวิ๋นจิ่นแย้มยิ้ม “พระชายา อาการของเจ้าหุบเขาอู๋เป็นอย่างไร? ”
ท่าทีของซูจิ่นซีค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “แม้เขาจะปลอดภัยแล้ว ทว่าจุดตันเถียนถูกทำลาย สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์นั้น นับว่ามีผลกระทบที่รุนแรง หมอหลวงอวิ๋น สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ามีวิธีใดที่สามารถฟื้นฟูจุดตันเถียนหรือไม่? ”
“หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดแล้วจึงจะทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ตกลง เช่นนั้นเจ้าก็ตรวจดูก่อนเถิด! ”
ซูจิ่นซีพาอวิ๋นจิ่นกับจงรุ่ยอันพ่อลูกเข้าไปในห้อง
อวิ๋นจิ่นตรวจชีพจรให้อู๋จุนอย่างละเอียด
แม้อวิ๋นจิ่นจะกระทำอย่างรอบคอบ ทว่าเขาไม่เคยตรวจชีพจรนานเหมือนเช่นวันนี้
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งเลือนหายไปเท่านั้น สุดท้ายก็ปรากฏเพียงท่าทางเคร่งขรึม
นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจิ่นจะมีท่าทางเช่นนี้ ยามนี้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างแสดงออกด้วยท่าทีไม่สู้ดีนัก
ทว่าคนที่ทำลายสถานการณ์และหยุดการกระทำทั้งหมดยังคงเป็นอู๋จุนดังเดิม
อู๋จุนเลิกคิ้ว “บัดซบ อวิ๋นจิ่น เจ้าทำท่าทางราวกับบิดามารดาเสียชีวิต หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ข้ายังไม่ตาย! เหตุใดจึงทำหน้าเหมือนกำลังไว้ทุกข์ให้ข้า? ต้องการยาสมุนไพรใดก็รีบพูด หุบเขาเทพโอสถของข้า มียาสมุนไพรใดที่คนต้องการแล้วไม่มีบ้าง? ”
ถึงเวลานี้แล้ว อู๋จุนยังสามารถพูดจาเช่นนี้ได้ ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
“เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อยเถิด อย่ารบกวนการตรวจของหมอหลวงอวิ๋น”
“แหะ แหะ หากแม่นางพิษน้อยต้องการให้พี่จุนพูดน้อยลง พี่จุนก็จะปิดปาก ปิดปากเดี๋ยวนี้! ”
อู๋จุนพูดพลางยกมือปิดปาก ทำท่าทางว่าหยุดพูด
ซูจิ่นซีกับมู่หรงฉีส่ายศีรษะพร้อมกัน
ผ่านไปสักพัก อวิ๋นจิ่นปล่อยมืออู๋จุนและลุกขึ้นยืน
“หมอหลวงอวิ๋น เป็นอย่างไรบ้าง? ” ซูจิ่นซีรีบถาม
อวิ๋นจิ่นมองไปทางอู๋จุน
อู๋จุนรีบพูดทันที “บัดซบ เห็นข้าเป็นสิ่งใด? ข้าไม่ใช่หญิงสาวร่างเล็กบอบบาง มีเรื่องใดที่ทนรับไม่ได้อีก? อย่าลังเลอยู่เลย รีบพูดมาเถิด! ”
คนที่บอกว่าจะไม่พูด เริ่มพูดมากอีกแล้ว
ซูจิ่นซีเหลือบตามอง อู๋จุนรีบปิดปากทันที
“พระชายา กระหม่อมขอกราบทูลอย่างตรงไปตรงมา เป็นดั่งที่พระชายากล่าว เจ้าหุบเขาอู๋ได้รับประทานยาสมุนไพรล้ำค่าจริงๆ จึงมีชีวิตรอดปลอดภัย ทว่าจุดตันเถียนนั้น… หากครั้งแรกที่ได้รับบาดเจ็บ มีผู้ที่มีพลังภายในสูงส่งช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาภายในสี่ถึงห้าชั่วยาม บางทีอาจมีความหวังอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่าตอนนี้ เวลาล่วงเลยมานานแล้ว เกรงว่า… ”
“ความหวังริบหรี่หรือ? ”
อวิ๋นจิ่นครุ่นคิด ทว่ายังคงพูดตามความจริง “ไม่เพียงมีความหวังริบหรี่กระมัง? จุดตันเถียนถูกทำลาย ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้”
จุดตันเถียนเป็นรากฐานในการฝึกวรยุทธ์ หากไม่มีจุดตันเถียน ก็ไม่สามารถรวบรวมพลังภายในได้ ต่อให้รู้จักกระบวนท่าวรยุทธ์ ทว่าเมื่อปล่อยพลังออกไปก็เป็นเพียงอากาศธาตุว่างเปล่า
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ท่าทางเคร่งขรึมยิ่งนัก
ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “หมอหลวงอวิ๋น ไม่มีสักวิธีจริงๆ หรือ? ”
อวิ๋นจิ่นไม่ต้องการโกหกซูจิ่นซี จึงส่ายศีรษะ
ใบหน้าของซูจิ่นซีปรากฏชัดถึงความเคร่งเครียด
มู่หรงฉีก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน
โดยเฉพาะถังเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง นางมีท่าทางเคร่งเครียดตั้งแต่เดินเข้าประตูมา บัดนี้ความเคร่งเครียดนั้นยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นจิ่นก็แทบร้องไห้
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าอู๋จุนยังคงแย้มยิ้มมุมปาก
“แหะ แหะ แม่นางพิษน้อย อย่าได้ทำหน้าทุกข์ใจเลย อวิ๋นจิ่นผู้นี้พูดจาไร้สาระ พี่จุนไม่เชื่อหรอก มันต้องมีวิธีสิ เจ้าอย่าเชื่อเขา”
คำพูดของเจ้าสิที่ไร้สาระ
ซูจิ่นซีมองอู๋จุนด้วยแววตาขุ่นมัว ทว่าไม่พูดอันใด
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของซูจิ่นซี รอยยิ้มของอู๋จุนพลันแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็หัวเราะ แหะ แหะ และพูดว่า “แท้จริงแล้ว ไม่สามารถฟื้นฟูจุดตันเถียนและวรยุทธ์ก็ไม่เป็นไร! ตอนนี้แม่นางพิษน้อยมีวรยุทธ์แล้ว ทั้งยังมีพลังภายในที่แข็งแกร่ง รอหลังจากเจ้าฝึกพลังเทพจนสำเร็จแล้ว พี่จุนก็จะมีเจ้าคอยปกป้อง เจ้าคอยปกป้องพี่จุนตลอดไปดีหรือไม่? ”
……
เชิงอรรถ
[1] อูฐที่ผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า หมายถึง คนที่มีฐานะหรือบารมี หากประสบกับความยากลำบากก็ยังดีกว่าคนที่ยากจนเป็นทุนเดิม