ถังเสวี่ยยกมือเท้าสะเอว พลางชักสีหน้าใส่อู๋จุน
แสงไฟจากกองเพลิงสาดส่องไปบนร่างกายของนาง ทำให้เงาของนางทอดยาว
มันบดบังแสงที่สาดมายังใบหน้าของอู๋จุน และบดบังแนวสายตาของเขาจากบริเวณปากถ้ำ
ดังนั้น เขาจึงไม่เห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาภายในถ้ำ และเดินตรงมาทางเขา
อู๋จุนพลิกตัวมองหมูน้อยกลไก เสียงที่บันทึกด้านในดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้ตาบอด และไม่มีฟ้าผ่ากลางศีรษะอันใดนั่น ทว่าข้าชอบแม่นางพิษน้อย ข้าคิดว่านางมีใบหน้างดงาม ต่อให้ผู้อื่นจะงดงามเพียงใด ในสายตาของข้าก็เป็นเพียงก้อนอึ”
ถังเสวี่ยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด ท่าทางของนางโศกเศร้าจนแทบจะร้องไห้ออกมา
มุมปากของนางสั่นเทา นางพยายามอดกลั้นความน้อยใจไว้และบังคับให้ตนเองดูเข้มแข็ง ก่อนจะพูดว่า “ถังเป่าอวี้ เจ้าพูดว่าใครเป็นก้อนอึ? ”
อู๋จุนเงยหน้ามองถังเสวี่ยด้วยใบหน้าครุ่นคิด เขารู้ว่าตนเองใช้คำพูดทำร้ายจิตใจถังเสวี่ย ทว่าเขาไม่กล้ายอมรับ และไม่ปรารถนาที่จะก้มศีรษะให้นาง
“ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้า! ”
ถังเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น “เจ้าลืมแล้วหรือ ผู้ใดที่ทำร้ายเจ้าจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้? ผู้ใดเป็นคนลากเจ้าออกมาจากจวนฉีอ๋องในสภาพที่เป็นตายเท่ากัน? หากไม่ใช่ถังเสวี่ย ถังเป่าอวี้ เจ้าตายไปนานแล้ว”
“ข้าไม่ลืม ทว่านั่นมันคนละเรื่องกัน”
“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนพาตัวอู๋จุนออกมาจากจวนฉีอ๋อง” ทันใดนั้น เสียงของซูจิ่นซีก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
อู๋จุนตกใจและมองไปทางด้านหลังถังเสวี่ยด้วยความตื่นเต้น “แม่นางพิษน้อย… เจ้า… เจ้ามาได้อย่างไร? ”
“เหตุใดข้าจะมาไม่ได้? ” ซูจิ่นซีค่อยๆ เดินออกมาจากทางด้านหลังของถังเสวี่ย และปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าอู๋จุน
อู๋จุนยิ้ม ‘แหะ แหะ’
“มาได้ มาได้! มาได้แน่นอน เจ้าคิดถึงพี่จุนใช่หรือไม่? เจ้าดูสิ พี่จุนไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? เจ้ากังวลไปเพื่ออันใด? อีกสักพักพี่จุนดีขึ้นก็จะไปหาเจ้าแล้ว! ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้เอ่ยปาก หลังจากถังเสวี่ยมองหน้าซูจิ่นซี นางก็ขมวดคิ้วและพูดกับอู๋จุนว่า “ดีบ้าบออันใด? เจ้าแข็งแรงที่ใดกัน? เจ้าดูเอาเถิด ร่างกายของเจ้ามีที่ใดสบายดีบ้าง? ”
“แหะ แหะ! แม่นางพิษน้อย เจ้าอย่าได้ฟังคำพูดเหลวไหลของสตรีผู้นี้ เมื่อครู่นางออกไปข้างนอกเพื่อหาอาหารให้ข้า แล้วถูกฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ”
ถังเสวี่ยยกมือเท้าสะเอว พลางใช้เท้าเตะไปที่สีข้างของอู๋จุนอย่างแรง “ศีรษะของเจ้าสิที่โดนฟ้าผ่า! ”
อู๋จุนรู้สึกเจ็บจนต้องขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ทว่าความเจ็บไม่ลดลงแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีคุกเข่าลงและดึงแขนของอู๋จุนขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วมือจับที่ชีพจรบนข้อมือของอู๋จุน
อู๋จุนคิดจะชักมือกลับ “แม่นางพิษน้อย พี่จุนไม่เป็นอันใดจริงๆ ! ”
“อยู่นิ่งๆ ! ”
ซูจิ่นซีแสดงท่าทีดุดัน อู๋จุนจึงรีบปิดปากให้สนิท กระทั่งถังเสวี่ยกับมู่หรงฉีที่ยืนด้านข้างก็ไม่กล้าส่งเสียงเช่นกัน
ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากตนเองแน่น ทว่าไม่ได้ลุกขึ้นและไม่พูดอันใด ทำเพียงแสดงท่าทางเคร่งขรึม
“แหะ แหะ! ตรวจชีพจรเสียนาน ทักษะทางการแพทย์ของแม่นางพิษน้อยถดถอยลงมาก! หรือระยะหลังมานี้ เจ้าเฝ้าแต่คิดถึงพี่จุนจนไม่มีเวลาฝึกฝน? ทำเช่นนี้ไม่ดีนัก ต้องรีบเปลี่ยนแปลง! ”
เสียงของอู๋จุนดังก้องทำลายความเงียบสงัดภายในถ้ำ แม้เขาจะพยายามทำให้ลมหายใจมั่นคง ทว่ายิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดและน่าอึดอัด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง มีเพียงอู๋จุนที่ยังคงแย้มยิ้มไม่หุบ
เขาคิดจะดึงมือกลับ ทว่าเพิ่งขยับ ข้อมือของเขาก็ถูกมือของซูจิ่นซีบีบไว้แน่น
หลังจากนั้น ซูจิ่นซีก็เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า นางมองอู๋จุนด้วยสายตาหม่นหมอง น้ำตาคลอเบ้า ทั้งร่างกายยังสั่นเทาเล็กน้อย
นางกัดริมฝีปากตนเองจนมีเลือดไหลซึมออกมา
“เส้นลมปราณบางจุดขาดสะบั้น โลหิตติดขัดไหลเวียนไม่สะดวก รวมถึงจุดตันเถียนแตกสลาย อู๋จุน นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดว่าสบายดีใช่หรือไม่? คำว่าสบายดีของเจ้ามีขอบเขตและแนวคิดอย่างไรกันแน่? เพียงกินอิ่มนอนหลับ มีสาวงามคอยดูแลใช่หรือไม่? ”
อู๋จุนมองซูจิ่นซีที่น้ำตารื้น ทันใดนั้น เขาก็มีท่าทีตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าควรรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร
“แม่นางพิษน้อย เจ้าอย่าร้องไห้! พี่จุนไม่ดีเอง พี่จุนโง่เอง จะพูดโกหกก็พูดไม่เป็น”
จากนั้นอู๋จุนก็มองไปรอบๆ ก่อนจะดึงถังเสวี่ยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“เจ้าดูสิ พี่จุนไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ แม้ที่นี่จะชื้นและทรุดโทรมไปสักหน่อย ทว่าพี่จุนมีหญิงงามคอยดูแลจริงๆ ! ”
ถังเสวี่ยผลักถังเป่าอวี้ออกและลุกขึ้นยืนพูดแกมตำหนิ “ผู้ใดคือหญิงงาม เมื่อครู่เจ้าพูดว่าข้าอัปลักษณ์ไม่ใช่หรือ? เจ้าพูดว่านอกจากซูจิ่นซีแล้ว ในสายตาเจ้า ผู้อื่นก็เป็นเหมือนก้อนอึ”
“แหะ แหะ เด็กโง่ คำพูดนั่นพี่จุนโกหกเจ้า เจ้าเชื่อหรือ? ”
ถังเสวี่ยพลิกตัวชี้นิ้วไปทางซูจิ่นซี และพูดว่า “ถังเป่าอวี้ คำพูดทั้งหมดเจ้าก็พูดอยู่ผู้เดียว คำพูดทั้งดีและร้าย เจ้าล้วนพูดออกมาจนหมดสิ้น เจ้าลองถามซูจิ่นซีดูสิ นางเชื่อหรือไม่? ”
อู๋จุนมองไปยังซูจิ่นซีด้วยท่าทีเอาใจ
“แม่นางพิษน้อย ข้าสบายดีจริงๆ ! ”
ซูจิ่นซีชักสีหน้าใส่ นางวางข้อมืออู๋จุนลงและลุกขึ้นยืน “อู๋จุน ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง ทางแรก เจ้ากลับไปกับข้าและฉีอ๋องในตอนนี้ และคิดหาวิธีฟื้นฟูพลังภายในของเจ้า อีกทาง… ” ซูจิ่นซีมองไปรอบถ้ำที่เปียกชื้นและทรุดโทรม “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป เสวยสุขกับคำว่าสบายดีที่เจ้าเอ่ยถึง กินอิ่มนอนหลับ มีหญิงงามคอยดูแล รอจนเจ้าตายแล้วก็ให้คนไปบอกข่าวข้ากับฉีอ๋อง พวกเราจะได้เข้ามารับศพ! ”
ซูจิ่นซีพูดจบก็ไม่รอให้อู๋จุนตอบกลับ นางหันหลังเดินออกไปจากถ้ำทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่หรงฉีไม่เอ่ยปากเลยสักคำ ทำเพียงเดินตามซูจิ่นซีออกไปด้านนอก
อู๋จุนตกตะลึง ยากที่จะเข้าใจคำพูดเมื่อครู่ของซูจิ่นซี เมื่อเห็นซูจิ่นซีกับมู่หรงฉีเดินออกไปถึงปากถ้ำแล้ว จึงรีบตะโกนเรียกพวกเขาทั้งสอง
“แม่นางพิษน้อย พี่จุนเลือกข้อแรก พี่จุนจะกลับไปกับพวกเจ้า กลับไปกับพวกเจ้า! ”
“เฮ้ย! เจ้าฉี พยุงข้าหน่อย! สั่งให้คนของเจ้าเข้ามาพยุงข้าสิ! ”
“เฮ้ย พวกเจ้าจะทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ? ”
…
เสียงของอู๋จุนดังตามมาด้านหลังอย่างต่อเนื่อง ยังมีถังเสวี่ยผู้ไร้เดียงสาที่เอาแต่กร่นด่าอู๋จุนไม่หยุด
ซูจิ่นซีเดินออกมาถึงปากถ้ำ หลังจากแน่ใจแล้วว่าอู๋จุนที่อยู่ในถ้ำคงมองไม่เห็น นางจึงหยุดเดินเพื่อรอมู่หรงฉี
มู่หรงฉีเดินตามมาด้านหลังซูจิ่นซี พลางยกนิ้วหัวแม่มือให้นาง และพูดว่า “วิธีของเจ้าได้ผลดีจริงๆ คนอย่างเขา กระทั่งข้าที่เป็นพี่น้องกันมายี่สิบกว่าปียังอับจนหนทาง ไม่คิดว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผล”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางหันกลับไปมองถ้ำที่อู๋จุนอาศัยอยู่ รอยยิ้มพลันจางหายไป
“ครั้งนี้ข้าติดค้างน้ำใจเขายิ่งนัก บุญคุณนี้ เกรงว่าชั่วชีวิตคงตอบแทนไม่หมด”
“ทำไม? การฟื้นฟูพลังภายในของเขายุ่งยากมากหรือ? ”
ไม่ใช่เพียงยุ่งยากกระมัง?
ซูจิ่นซีไม่แสดงท่าทางอันใด ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าจุดตันเถียนนั้น สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์แล้วมีความสำคัญเพียงไร? ทว่าจุดตันเถียนของอู๋จุนแตกสลายไปแล้ว
เมื่อจุดตันเถียนแตกสลาย จะฟื้นฟูวรยุทธ์อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่อาจอธิบายให้มู่หรงฉีฟังได้ในยามนี้ จึงทำได้เพียงระงับอารมณ์สับสนไว้ภายในใจ และพยักหน้าตอบคำถาม
มู่หรงฉีขมวดคิ้วมุ่น เขายกมือขึ้น องครักษ์ที่ติดตามมาด้วยจึงเดินเข้ามา
“เข้าไปในถ้ำ หามเจ้าหุบเขาอู๋กลับจวน! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
“ระวังด้วย เขาได้รับบาดเจ็บ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”