บทที่ 239
ลอบสังหาร
ไม่ว่าจะถูกข่มขู่สักเท่าไหร่ สีหน้าที่แข็งกร้าวของเย่เย่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“ให้ข้าเป็นผู้ติดตามของเจ้างั้นรึ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียจริง!” ถึงแม้สถานการณ์จะตกเป็นรอง แต่เย่เย่ก็พูดขึ้นอย่างไร้ความยำเกรง
“โอหัง! ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักประมาณตน อีกเดี๋ยวจะได้รู้กัน” เจียงเหยียนหยิบยื่นโอกาสให้เย่เย่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เย่เย่กลับไม่เห็นคุณค่าของมัน นางจึงกวักมือเป็นสัญญาณให้ตงหมิงหยูลงมือ
ทว่าในขณะที่ทัณฑ์สวรรค์ซัดฝ่ามือลงมาที่เย่เย่นั้น ก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นที่ด้านนอกห้องรับรอง
ตู้มมมมมมมมมมมมมม!
แรงระเบิดนั้นทำให้ประตูห้องกระเด็นมาทับร่างของ เจียงเหยียนโดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว และทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปทั่วห้องรับรอง แม้แต่ตงหมิงหยูก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้เขาถอยออกมาตามสัญชาตญาณ เมื่อเขาพยายามสอดส่องไปข้างนอกห้องเพื่อขอความช่วยเหลือจากสององครักษ์ ก็พบว่าทั้งสองถูกเผาจนกลายเป็นตอตะโกไปแล้ว
ทันใดนั้นเอง กองกำลังปีกแห่งแสงที่เฝ้ารอโอกาสนี้มานาน ก็บุกเข้ามาในห้องรับรอง และโอบล้อมตงหมิงหยูเอาไว้
เมื่อตงหมิงหยูกวาดสายตาไปรอบๆ และพบว่าเย่เย่หายตัวไปแล้ว เขาก็ฉุนขาดในทันที
“เย่เย่ ไอ้สุนัขลอบกัด!” เมื่อตงหมิงหยูกวาดสายตาไปรอบๆ และพบว่าเย่เย่ได้หายตัวไปแล้ว เขาก็สบถออกมาด้วยความเจ็บแค้น ก่อนจะตะบันความแค้นทั้งหมดไปลงที่กองกำลังปีกแห่งแสงที่รายล้อมเขาไว้อย่างไม่เลือกหน้า
ในขณะเดียวกันเจียงเหยียนที่ได้สติ ก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นจากซากปรักหักพังอย่างเงียบๆ และพยายามหลบหนีออกไปทางประตูหลัง แต่ทว่านางก็ถูกสมาชิกกองกำลังคนหนึ่งกะซวกฝ่ามือจากด้านหลังทะลุอกซ้ายจนสิ้นใจในที่สุด
“อย่าปล่อยให้ตงหมิงหยูหนีไปได้!”
“ฆ่ามัน!”
เมื่อมเหสีเจียงสิ้นลม สมาชิกกองกำลังปีกแห่งแสงก็ กู่ร้องขึ้นด้วยพลังใจที่เปี่ยมล้น
“ไม่รักชีวิตแล้วงั้นรึ!?” เมื่อตงหมิงหยูพูดจบ พลังปราณธาตุหยางก็แผ่ซ่านออกมารอบตัวเขาราวกับรัศมีของดวงอาทิตย์ แม้ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่กองกำลังปีกแห่งแสงก็รับรู้ได้ถึงภัยคุกคามที่ย่างกรายเข้ามา
ในขณะที่พวกเขากำลังถอยร่นกลับไปเพื่อตั้งรับ ม่านพลังความร้อนที่ตงหมิงหยูสร้างขึ้นก็ได้ปิดกั้นทางหนีของพวกเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ตั้งค่ายกล ตั้งรับเต็มกำลัง” แม้สถานการณ์จะไม่เป็นใจให้พวกเขา แต่ตงซานยังคงตั้งสติเอาไว้ได้ ก่อนออกคำสั่งให้กองกำลังของเขาตั้งค่ายกลเพื่อตั้งรับการโจมตีของตงหมิงหยูอย่างสุดความสามารถ
ตงหมิงหยูสบโอกาสเหมาะ สะกิดเท้าพุ่งเข้าโจมตีแนวหน้าของกองกำลังจากด้านบน ด้วยวรยุทธ์ที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน ทำให้แนวรับของกองกำลังปีกแห่งแสงแตกออกเป็นสองฝั่งอย่างง่ายดาย ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตงหมิงหยูคาดหวัง ที่ใจกลางของค่ายกลนั้นกลับมีชายผู้หนึ่งยืนแสยะยิ้มอยู่ราวกับรอคอยเวลานี้มานาน
“คุกน้ำแข็งพันปี!” เหยียนลี่หยางซัดฝ่ามือปล่อยคลื่นความเย็นออกมา ทำให้ปราณธาตุร้อนของตงหมิงหยูค่อยๆถูกแช่แข็ง จนเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน
“เหยียนลี่หยาง!? นี่เจ้าก็มีเอี่ยวกับพวกโจรถ่อยด้วยงั้นรึ!?” แม้ทั้งสองไม่เคยพบหน้ากัน แต่ด้วยพลังธาตุหยินที่กล้าแข็งทำให้ตงหมิงหยูรับรู้ถึงตัวตนของชายผู้ที่อยู่ตรงหน้า
“โจรถ่อยงั้นรึ? นี่ทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้อบรมเรื่องมารยาทให้ศิษย์ในสำนักบ้างเลยหรือไงกัน?” แม้ว่าเหยียนลี่หยางจะเคยถูกทัณฑ์สวรรค์กงเจิ้นไล่ล่าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แต่หลังจากที่เขาบรรลุขั้นก้าวสวรรค์ได้แล้ว เขาก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป ต่อให้ตงหมิงหยูจะแข็งแกร่งกว่ากงเจิ้นสักแค่ไหนเขาก็ไม่หวั่น
“พี่น้องข้า อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!”
หลังได้ยินคำสั่งของเหยียนลี่หยาง แนวรบที่แตกพ่ายไม่เป็นท่า ก็สมานตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาตั้งกระบวนกดดันตงหมิงหยูรอบทิศ แม้มันจะไม่ได้สร้างบาดแผลให้ตงหมิงหยู แต่มันก็ทำให้เขาสำแดงพลังออกมาได้ไม่เต็มที่
“ชิ! ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เมื่อตงหมิงหยูเห็นว่าสู้ต่อไปก็มีแต่เสียเปรียบ เขาจึงทะยานขึ้นฟ้าหลบหนีไปในทันที
ถึงแม้การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นตราบาปของเขาไปชั่วชีวิต แต่ตงหมิงหยูก็ไม่ใช่พวกบ้าพลังและศักดิ์ศรีเหมือนกับกงเจิ้น ทำให้เขาเลือกที่จะถอนตัวออกจากสมรภูมิและจะกลับมาเอาคืนพวกเขาในภายหลัง
“ท่านเหยียน ให้พวกเราตามไปไหมขอรับ?” ตงซานเงยหน้ามองทิศทางที่ตงหมิงหยูหลบหนีไปด้วยความรู้สึกเสียดาย
“ไม่จำเป็น มันหนีไปได้ไม่ไกลนักหรอก” เหยียนลี่หยางผุดยิ้มมุมปากขึ้นราวกับมีแผนบางอย่างในใจ พลางยกมือรั้งตงซานและพรรคพวกเอาไว้
ระหว่างการหลบหนี ตงหมิงหยูก็ถูกแสงปริศนาสีม่วงพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรง
เปรี้ยงงงงงงง!
“อั่กกกกก!?” ตงหมิงหยูกระอักเลือดกลางอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงหล่นลงบนพื้น ทันใดนั้นชายในชุดเกราะสีดำก็ปรากฏตัวขึ้น และย่างกรายเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ
“ประมุขแห่งอาราม!? หรือว่าทั้งหมดนี่คือแผนของเจ้า!” ความทรงจำในหัวของตงหมิงหยูค่อยๆปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปร่าง
“นึกไม่ถึงว่าผู้อยู่เบื้องหลังของเย่เย่ จะเป็นเจ้า!” ตงหมิงหยูพยายามพูดซื้อเวลาเพื่อหาโอกาสหลบหนี
“หืม? เจ้าไปได้ยินเรื่องนั้นมาจากไหน?” เย่เย่แสร้งทำเป็นสนอกสนใจข้อมูลที่หลุดจากปากของทัณฑ์สวรรค์ พลางผ่อนพลังปราณลงชั่วขณะ
เมื่อกระแสปราณอ่อนลง ตงหมิงหยูจึงฉวยโอกาสนี้เหยียบอากาศหนีไปอย่างสุดกำลัง ทว่าสายฟ้าสีม่วงก็ไล่กวดเขามาได้ทัน ก่อนสะบั้นร่างของเขาขาดออกเป็นสองส่วน
“นะ…นี่เจ้า! หลอกข้างั้นรึ!?” ตงหมิงหยูพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะสิ้นใจตายในที่สุด…