บทที่ 240
ประกาศกร้าว
หลังจากสังหารตงหมิงหยูได้แล้ว เย่เย่ก็ชายตามองร่างไร้ชีวิตอย่างเลือดเย็น ก่อนทะยานขึ้นฟ้าจากไป เขาไม่ได้ทำลายศพทิ้งเพื่ออำพรางและปล่อยให้กองกำลังปีกแห่งแสงประกาศชัยชนะเหนือทัณฑ์สวรรค์ดังสนั่นไปทั่วหล้า
ข่าวการตายของตงหมิงหยูแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดชายฝั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนทั่วทั้งยุทธภพต่างมีลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ราชสำนักและหกนิกายได้ส่งคนเก็บร่างไร้วิญญาณของตงหมิงหยูและมเหสีเจียงเหยียน พร้อมกับตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเพื่อแกะรอยกองกำลังปีกแห่งแสง และหาหลักฐานของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์
ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่าความโกรธแค้นของทัณฑ์สวรรค์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาจึงได้แต่ช่วยกันตามหาประมุขแห่งอารามให้ได้เร็วที่สุด เพื่อยับยั้งโทสะของเบื้องบน
ทว่าพวกเขาไม่ได้อะไรกลับมาจากการสืบสวนเลยแม้แต่อย่างเดียว แม้กระทั่งร่องรอยจากการต่อสู้ยังถูกลบไปอย่างหมดจด
สามวันต่อมา ทัณฑ์สวรรค์การเริ่มมีการเคลื่อนไหว แสงสีทองปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าของพระราชวัง ทั้งจักรพรรดิเหิงและจี๋เฉียนเยว่ผู้นำนิกายสายลมแห่งราชันต่างได้รับโองการจากทัณฑ์สวรรค์ให้กวาดล้างกองกำลังปีกแห่งแสง และประมุขแห่งอารามให้ได้โดยเร็วที่สุด
“น้อมรับบัญชาทัณฑ์สวรรค์!” เมื่อทั้งสองได้รับคำสั่งจากทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาก็เปล่งเสียงตอบรับคำสั่งนั้นอย่างพร้อมเพรียง ทันใดนั้นแสงสีทองก็พลันหายวับไป
ราชสำนักและหกนิกายไม่รอช้าเริ่มลงมือตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างจริงจังอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขายังใช้โองการสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งให้ทุกพรรค ทุกนิกายและทุกสำนักทั่วทั้งยุทธภพคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้พวกเขาอีกด้วย
ใต้หล้าตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย ทุกฝ่ายต่างจับตามองกองกำลังปีกแห่งแสง ภัยครั้งนี้นับว่าเป็นภัยครั้งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาต้องเผชิญตั้งแต่ก่อตั้งกองกำลังมา
ในขณะที่กองกำลังต่างๆพากันหวาดหวั่นอำนาจของทัณฑ์สวรรค์ ยังมีกองกำลังหนึ่งคอยจับตาดูท่าทีของราชสำนักอย่างใกล้ชิด และรอคอยโอกาสที่จะได้ขึ้นเป็นใหญ่
ณ ตีนเขาอี้เหลียน ซึ่งไม่ห่างไกลจากตัวเมืองหวางตู้มากนัก มีกองกำลังที่แข็งแกร่งกองหนึ่งนามว่า กองกำลังมังกรทะยานฟ้าซึ่งขึ้นตรงกับราชสำนักมาอย่างช้านาน โดยหัวหน้าของพวกเขาเป็นถึงจ้าวตระกูลฉินหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแผ่นดินฉางหลาง
“น้องฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ” ชายชราเดินเข้ามาในค่ายของกองกำลังพร้อมชายหนุ่มก่อนกล่าวทักทายขึ้น
“เป็นท่านนี่เอง ท่านพี่หวง ไม่ใช่ว่าท่านกลับไปตงเฉิงแล้วงั้นรึ? ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่!?” จ้าวตระกูลฉินที่เห็นใบหน้าที่ไม่คาดคิดก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอเขาเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังของหวงจิ้งเฟิง เขาก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“องค์ชายเจ็ด!?”
“นึกไม่ถึงท่านฉินจะจำข้าได้ด้วย! นับว่าเป็นเกียรติของข้าจ้าวซิ่นยิ่ง” ชายหนุ่มเดินเยื้องจากด้านหลังของหวงจิ้งเฟิง และกล่าวขึ้น
หลังจากที่จักรพรรดิเหิงขึ้นครองบัลลังก์ องค์ชายคู่แข่งของเขาก็ถูกกวาดล้างจนเกือบหมด มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ทำให้จ้าวตระกูลฉินถึงกับทำตัวไม่ถูก
“ท่านหวง ท่านกลับไปตงเฉิงก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดท่านจึงหาเรื่องใส่ตัวอีก?” จ้าวตระกูลฉินไม่ตอบกลับจ้าวซิ่น และพูดขึ้นกับหวงจิ้งเฟิงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ข้าว่าถ้าเป็นเจ้าต้องคาดเดาความตั้งใจของข้าได้แน่ ทางเดียวที่เราจะหยุดยั้งความโกลาหลครั้งนี้ได้คือให้องค์ชายเจ็ดขึ้นครองราชย์! หากปล่อยให้ทัณฑ์สวรรค์และจักรพรรดิเหิงทำตามใจชอบต่อไปแผ่นดินฉางหลางต้องพินาศแน่!” หวงจิ้งเฟิงก้มหัวขอร้องจ้าวตระกูลฉินด้วยความจริงใจ
“ท่านจ้าวตระกูลฉิน ข้าจ้าวซิ่นได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานาน วรยุทธ์ของท่านสูงส่งยากหาใครเทียบ แต่ท่านกลับเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของราษฎร ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
“เฮ้อออ ข้าน่ะพอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้าอยู่หรอกนะ แต่ข้าเป็นผู้บัญชาการกองกำลังที่ขึ้นตรงกับราชสำนัก ดังนั้นข้าไม่มีพื้นที่ให้อุดมการณ์ลมๆแล้งๆของพวกเจ้าหรอกนะ กลับไปซะ !ข้าจะทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
“ช้าก่อน น้องฉิน ข้ารู้ดีว่าเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้ราชสำนักกำลังอ่อนแอ ถ้าไม่ลงมือตอนนี้จะให้ลงมือตอนไหน ได้โปรดไตร่ตรองด้วย!”
จ้าวตระกูลฉินนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ามีกำลังพลเท่าไหร่?”
“ไม่มาก แต่ก็พอที่จะลากมันลงมาจากบัลลังก์ได้” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคล้อยตาม หวงจิ้งเฟิงก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ดี! กองกำลังมังกรทะยานฟ้า ขอร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกท่าน ตราบชีวิตจะหาไม่!”
—————-