บทที่ 411 ทดสอบ

บัลลังก์พญาหงส์

​สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนพูดอะไรกับหลิวซื่อก็ไม่มีคนรู้ ถาวจวินหลันมากเพียงใดก็ทำได้แค่เพียงปล่อยไป

วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันไปที่จวนเพ่ยหยางโหว

ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าคังอ๋องจะกลายเป็นรัชทายาท จวนเพ่ยหยางโหวที่ได้แตกความสัมพันธ์กับจวนเหิงกั๋วกงย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีเป็นแน่ ถ้าหากว่าจวนเพ่ยหยางโหวเอนเอียงไปทางฮองเฮาอีกครั้งก็ไม่ดีต่อหลี่เย่

แม้จะบอกว่าตอนนี้จวนเพ่ยหยางโหวยังไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอะไร แต่ก็เป็นเพียงเรื่องไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน

ตอนที่ถาวจวินหลันเข้าไปในจวนเพ่ยหยางโหว กลับเป็นกังวลจนแทบจะผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ หรือว่าเข้าไปได้แล้วก็ไม่ได้พบ ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องจะต้องไม่ดีเป็นแน่

ยังดีที่ความกังวลนี้ไม่ได้กลายเป็นความจริง นางยังคงเข้าไปพบกับเพ่ยหยางโหวฮูหยินในจวนได้อย่างสะดวกสบายไม่ถูกขัดขวาง

แต่ระยะเวลาหนึ่งที่ไม่ได้พบกัน เพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับซูบผอมลงไปมาก เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันมองนางอย่างพิจารณา เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็คลี่ยิ้มออกมา “ช่วงนี้สบายดีหรือไม่?”

คำพูดนี้ของเพ่ยหยางโหวเหมือนดาบสองคม

ถาวจวินหลันยิ้มอย่างเปิดเผย “สบายดีเจ้าค่ะ ทำไมหรือ ฮูหยินไม่สบายหรืออย่างไรเจ้าคะ?”

เพ่ยหยางโหวฮูหยินนิ่งไป จากนั้นก็หัวเราะเฝื่อนๆ “ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี ตอนนี้จวนเหิงกั๋วกงได้เสนอมาแล้ว ว่าให้ลูกที่เกิดจากอนุภรรยาแต่งงานกับเฝินหยางโหว”

นี่เป็นกิ่งไม้ที่จวนเหิงกั๋วกงโยนมาให้ ถ้าหากว่าจวนเพ่ยหยางโหวกล้าตอบรับเรื่องนี้ เช่นนั้นต่อไปทั้งสองตระกูลก็จะกลายเป็นญาติเกี่ยวดองกันและพันธมิตร แต่ถ้าไม่ยอมรับ คาดว่าคำตอบก็คงจะรู้ได้โดยไม่ต้องพูดออกมาด้วยซ้ำไป

ถาวจวินหันเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจนัก จวนเพ่ยหยางโหวมีความสามารถในการดึงทุกฝ่ายเข้ามาร่วมเป็นพวกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจของจวนเพ่ยหยางโหวเองไม่ได้เป็นกระดูกที่เคี้ยวง่ายถึงเพียงนั้นก็เกรงว่าในตอนนี้คงล่มสลายไปนานแล้ว

ด้วยวิธีการของฮองเฮาและเหิงกั๋วกงย่อมไม่อนุญาตให้จวนเพ่ยหยางโหวหักหลังตนเอง

“ถ้าเช่นนั้นความคิดของฮูหยินเล่าเจ้าคะ?” ถาวจวินหลันจิบชา ถามออกมาช้าๆ

เพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับถามถาวจวินหลันแทน “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มมองไปที่เพ่ยหยาวโหวฮูหยินอย่างบริสุทธิ์ใจ “ถ้าข้าเป็นฮูหยินก็คงไม่กล้าตอบรับเรื่องนี้ ลูกที่เกิดจากอนุภรรยาแม้ว่าจะไม่มีค่าอะไรแต่ก็ไม่ควรผลักนางเข้ากองไฟ วันนี้พวกเขากล้าบีบบังคับคนเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นรอจนวันหนึ่งมีอำนาจแข็งแกร่งมากขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะ? ตอนนี้จวนเพ่ยหยางโหวยังรักษาตนเองเอาไว้ได้ แต่วันข้างหน้าเล่า?”

เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่พูดไม่จา แต่ท่าทีคล้ายจะคล้อยตามเล็กน้อย

ถาวจวินหลันเหลือบมอง รู้ว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินยังคงลังเลไม่ได้ตัดสินใจเป็นแน่ จึงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “ฮูหยินเป็นคนฉลาด ย่อมต้องรู้ว่าอะไรคือฝูงนกหมด ธนูก็ถูกเก็บ* เลี่ยงตายในดงสุนัข” คังอ๋องเชื่อฟังฮองเฮามากเกินไป แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้นำที่ดี

“แต่ศักดิ์ศรีของรัชทายาท…” ใบหน้าของเพ่ยหยางฮูหยินแฝงแววสงสัย

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดว่าตอนนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงแค่พูดถึงว่าต่อให้เป็นองค์รัชทายาท อนาคตก็ไม่มีใครรับรองได้ อีกทั้งปัดเรื่องพวกนี้ออกไปไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่พูดว่าฮูหยินรู้สึกว่าควรจะสวามิภักดิ์หรือไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ”

คำพูดที่ควรพูดก็ได้เอ่ยออกไปหมดแล้ว จุดประสงค์ที่นางมาก็เพื่อเอาท่าทีของจวนตวนชินอ๋องมาบอกจวนเพ่ยหยางโหว บอกจวนเพ่ยหยางโหวว่าพวกเขาไม่ได้ยอมแพ้เพราะว่าตกจากอันดับรัชทายาท ทำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับจวนเพ่ยหยางโหว อย่างไรแล้วถ้าจวนเพ่ยหยางโหวคิดว่าพวกเขายอมแพ้แล้วจวนเพ่ยหยางโหวจะยึดมั่นต่อไปได้อย่างไร?

มองดูท่าทียังไม่ค่อยเชื่อของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่อัดหมัดหนักเข้าไปอีก “จวนเหิงกั๋วกงบีบบังคับเช่นนี้ ในใจของฮ่องเต้คงจะไม่สบายใจแน่นอน แม้ว่าตำแหน่งรัชทายาทจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จวนเหิงกั๋วกงก็ไม่มีทางได้ผลประโยชน์อะไรเป็นแน่”

ขอแค่ไม่มีการข่มขู่จากจวนเหิงกั๋วกง จวนเพ่ยหยางโหวย่อมไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว

เพ่ยหยางโหวฮูหยินเหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “นี่ก็ถูก นอนขวางเตียงแล้วจะให้คนอื่นนอนด้วยได้อย่างไร?” แม้ว่าวันข้างหน้าคังอ๋องจะได้ครอบครองสมบัติมหาศาลจริง แต่คนที่ต้องลงมือด้วยคนแรกก็คือจวนเหิงกั๋วกงเช่นกัน ไม่มีอย่างอื่น เหตุผลมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อำนาจบาตรใหญ่

ถ้าอยากเอาอำนาจมาไว้ในมือของตนเอง เช่นนั้นย่อมไม่สามารถปล่อยให้จวนเหิงกั๋วกงทำตัวใหญ่โตได้อีกต่อไป

ถาวจวินหลันพยักหน้า หัวเราะและพูดว่า “เหตุผลเช่นนี้ ในใจของฮูหยินรู้ดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เมื่อได้พูดคุยกันแล้ว นางกลับไม่ค่อยกังวลว่าจวนเพ่ยหยางโหวจะทำเรื่องที่มีผลเสียต่อหลี่เย่

จวนเพ่ยหยางโหวยังมองแผนออกอย่างที่คาดเอาไว้

ถาวจวินหลันไม่ได้พูดเรื่องกู่ลิ่งจือขึ้นมา เรื่องเช่นนี้ถ้าหากว่าจวนเพ่ยหยางโหวเอนเอียงก็ย่อมต้องเปิดเผยออกมาบ้าง ไม่มีก็ปล่อยไปเช่นนั้น หรือหากนางเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็จะดูมีท่าทีบีบบังคับเร่งรัดเกินไปเสียหน่อย อาจจะทำให้คนรู้สึกไม่พอใจได้

พูดคุยสนทนากันอีกครู่หนึ่ง รอจนร่วมรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นขอตัวลา เวลานี้ก็ใกล้ถึงเวลานอนกลางวันแล้ว ร่างกายไม่มีค่อยมีเรี่ยวแรงนัก รั้งตัวอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย

เพ่ยหยางโหวฮูหยินลุกขึ้นไปส่งถึงประตูรอง ยิ้มและพูดว่า “เจ้าดูว่าเจ้าพอมีเวลาว่างเมื่อไร พาข้าไปดูกู่ลิ่งจือหน่อยเถิด”

ถาวจวินหลันมองเพ่ยหยางโหวฮูหยินอย่างประหลาดใจ ใจรู้ว่าเกิดผลแล้ว จึงรีบรับคำว่า “เพียงแค่ดูว่าฮูหยินจะมีเวลาว่างเมื่อไรเจ้าค่ะ”

“กู่ลิ่งจือนั้นยังมีหน้าที่ราชการต้องทำ ย่อมต้องดูเขา” เพ่ยหยางโหวฮูหยินยิ้มแล้วแล้วพูดออกมาถาวจวินหลันก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน “ก็ถูกเจ้าค่ะ ผู้ชายอย่างพวกเขาเทียบกับผู้หญิงอย่างเราก็ไม่ได้ว่างนัก”

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นถาวจวินหลันก็เล่าเรื่องนี้ให้หลี่เย่ฟัง “แม้ว่าจะเป็นลูกของอนุภรรยา แต่การศึกษาเลี้ยงดูก็ยังพอไปได้ อีกทั้งดูจากฐานอำนาจของจวนเพ่ยหยางโหวต่อจากนี้ไปจะต้องพุ่งขึ้นข้างหน้าอีกอย่างแน่นอน ก็ถือว่าเกาะคนมีคุณสมบัติสูงกว่าแล้ว”

หลี่เย่กลับมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สา “ก็ไม่ได้ถือว่าเกาะคนมีคุณสมบัติสูงกว่า รอจนเจ้าได้พบกู่ลิ่งจือเจ้าก็จะรู้เอง ถึงตอนนั้นเกรงว่าทางด้านคุณหนูเพ่ยหยางโหวคงจะตอบตกลงเป็นแน่”

ได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที เกรงว่าตัวของกู่ลิ่งจือเองก็คงมีจุดที่เด่นกว่าคนอื่นทั่วไป อีกทั้งแววตาการมองคนของหลี่เย่ก็แม่นยำมาโดยตลอด อีกทั้งยังสูงมากอีกด้วย กู่ลิ่งจือเข้าตาเขาได้ แน่นอนว่าไม่ต้องธรรมดา

ถ้าหากว่าการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จก็จะถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาหลายตระกูลก็ยิ่งสนิทสนมมากขึ้นอีกเล็กน้อย ต่อไปเมื่อต้องการถ่ายทอดคำพูดก็จะง่ายมากขึ้น อย่างไรสมาชิกผู้หญิงในหลายตระกูลนี้ล้วนมีความสัมพันธ์เครือญาติ จะมารวมตัวกันบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้

ด้วยต้องให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้พบหน้า ดังนั้นหลี่เย่จึงจัดงานประลองกลอนขึ้นมา เชิญถาวจิ้งผิง เฉินฟู่ กู่ลิ่งจือและยังมีคนที่พอมีความสามารถจำนวนหนึ่งมาร่วมงาน ท่ามกลางคนพวกนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่อายุพอๆ กับเฉินฟู่และถาวจิ้งผิง

วันที่จัดงานเลี้ยง เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็พาลูกสาวของอนุภรรยาสองคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาร่วมงานด้วย ไปนั่งรวมกับสมาชิกผู้หญิงคนอื่นบริเวณหลังผ้าม่าน เพื่อดูนักปราชญ์นักกลอนปะทะบทกลอนกัน

รอจนถึงตอนที่กู่ลิ่งจือออกมา ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าทำไมหลี่เย่ถึงมั่นใจมากถึงขนาดนั้น จึงอดเอ่ยชื่นชมในใจไม่ได้ ช่างเป็นชายหนุ่มที่หน้าตางดงามเสียเหลือเกิน!

พอเทียบหน้าตาของกู่ลิ่งจือกับหลี่เย่แล้วก็แทบจะไม่แพ้กันเลยแม้แต่น้อย หลี่เย่มีเสน่ห์ที่ทั้งอบอุ่นโดดเด่นและยังเย็นชา ส่วนกู่ลิ่งจือกลับมีเสน่ห์ที่ความสดใสเยี่ยงดวงอาทิตย์ มีทั้งความคมเข้มเช่นชายชาตรี แต่ไม่ได้ดูแข็งกระด้างแม้แต่น้อย อีกทั้งบรรยากาศอบอุ่นที่สะท้อนออกมารางๆ ก็ให้คนแทบจะดึงสายตาออกมาไม่ได้

ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมองเพ่ยหยางโหวฮูหยินและน้องสาวบุญธรรมของนางทั้งสองคน

เพ่ยหยางโหวฮูหยินย่อมต้องมองด้วยสายตาคัดกรองลูกเขย แต่น้องสาวบุญธรรมทั้งสองคนกลับหน้าแดง ทั้งสองคนอายุเท่ากัน หน้าตาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครเลือกกู่ลิ่งจือก็ล้วนเหมาะสมทั้งนั้น

ถาวจวินหลันมองท่าทางของทั้งสามคนก็รู้ว่าต้องสำเร็จ จึงแค่เยินยอชื่นชมแนะนำมากขึ้นเท่านั้น ตั้งใจมองบรรดาผู้ชายที่กำลังพูดคุยปรึกษากัน เอ่ยปากเล่ากลอน

ท้ายสุดแล้วก็ล้วนเป็นคนมีความสามารถที่ออกมาจากการสอบจอหงวนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงจากตำรับตำรา หรือว่าเป็นบทกลอนที่เอ่ยออกมาเอง ล้วนแต่เลิศเลออย่างไม่ต้องพูดถึง

แต่ถาวจวินหลันกลับสนใจไปที่ร่างของหลี่เย่มากกว่า ก่อนหน้านี้เพราะหลี่เย่พูดไม่ได้จึงไม่เคยมาร่วมงานประเภทนี้ ตอนนี้พูดได้แล้วย่อมต้องแสดงออกมาบ้าง อีกทั้งถ้าอยากให้คนอื่นเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดใจ หลี่เย่ก็ยิ่งต้องแสดงความสามารถมากมายออกมา

หลายปีมานี้ที่ถาวจวินหลันรู้จักหลี่เย่ ตอนที่อยู่ในวังหลวงก็รู้ว่าความสามารถของหลี่เย่มีไม่น้อย แม้จะบอกว่าตอนนี้ไม่คุ้นตาแต่ก็โดดเด่นอย่างมาก ไม่ได้ดูมีท่าทีเขินอายหวาดกลัวแม้แต่น้อย จิตใจเบิกบานเต็มอิ่มจนคนแทบจะย้ายสายตาไปไหนไม่ได้

รอจนถึงเวลาสมควรแล้ว ถาวจวินหลันถึงพาสมาชิกผู้หญิงถอยออกไปจากทางประตูเล็ก รอจนภายในสวนจัดแต่งชั้นกระถางต้นฝ้าย และทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้หันไปมองเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ยักคิ้วหลิ่วตา

เพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับไม่พูดไม่จา เพียงแค่อมยิ้มมองหญิงสาวทั้งสองคน เห็นเพียงทั้งสองคนก้มหน้าลง เขินอายจนใบหน้าแดงเถือก

ถาวจวินหลันกลับเริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย ถ้าหากว่าทั้งสองคนนี้ต่างก็ถูกใจกู่ลิ่งจือ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?

อยู่ต่อหน้าหญิงสาวย่อมไม่มีใครพูดเรื่องนี้ ถาวจวินหลันหัวเราะหาหัวข้อสนทนาเพื่อดึงความสนใจของทุกคนให้มาร่วมพูดคุย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงเรื่องงานปักเท่านั้น เนื้อผ้า เครื่องประดับต่างๆนานา หรือจะพูดคุยเรื่องซุบซิบที่ไม่ได้รุนแรงอะไร

พอทานอาหารกลางวันไปแล้ว ทางด้านนั้นก็ประพันธ์กลอนกันขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ขาดไม่ได้ที่จะคัดลอกมาให้สมาชิกผู้หญิงได้ชื่นชม

เฉินฟู่เป็นคนที่มีพรสวรรค์แท้จริง ทุกคนต่างเสนอให้เขาเป็นคนเริ่มหัวกลอน กู่ลิ่งจือตามมาเป็นอันดับที่สอง ต่อไปก็คือถาวจิ้งผิง ทั้งสามคนนี้เป็นผู้นำทั้งสามอันดับ

ส่วนหลี่เย่นั้น แม้จะบอกว่าไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็ถือว่าพอถูๆ ไถๆ ไปได้

แต่ถาวจวินหลันรู้สึกว่าหลี่เย่ตั้งใจทำ อย่างไรเขาเองก็ไม่ใช้ความสามารถทางศิลป์ทำมาหากิน และวันนี้ตัวละครหลักก็ไม่ใช่เขา จึงไม่จำเป็นต้องทำตัวโดดเด่น

แน่นอนว่านอกจากสามอันดับแรกแล้วก็มีไม่น้อยที่โดดเด่น พออ่านแล้วก็ชวนให้รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่ว

ทุกคนผลัดกันดูคนละรอบแล้วเอามาประเมินพูดคุยกัน หยอกล้อสนุกสนานกันอยู่ครู่หนึ่งจนถึงเวลาบ่ายถึงแยกย้ายกันไป

อย่างไรสมาชิกผู้หญิงก็ไม่เหมือนผู้ชาย ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ร่วมทานข้าวเย็น แต่ทางด้านแขกผู้ชายนั้นได้ยินว่าเรียกคณะละคนมาคณะหนึ่งเพื่อสร้างความสนุกสนาน อีกทั้งในจวนก็มีนางรำอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปกันใหญ่

หลังจากถาวจวินหลันทานข้าวเย็นแล้วก็เอ่ยถาม พอได้ยินว่ายังไม่แยกกันก็ให้ห้องครัวไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมาเอาไว้ก่อน รอจนหลี่เย่กลับมาแล้วจะได้ดื่มได้ แต่บรรดาแขกเหรื่อรอจนงานเลิกนั้นก็สามารถดื่มถ้วยหนึ่งแล้วค่อยกลับไปได้

งานเลี้ยงครั้งนี้มีจนถึงตกดึกถึงได้จบลง ถาวจวินหลันไม่ได้ให้คนไปเร่งรัด นักวิชาการชอบดื่มเหล้าไปพูดคุยไป ย่อมต้องกินเวลาอยู่แล้ว

รอจนหลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันสูดดมกลิ่นก็ไม่ได้กลิ่นเหล้ามากนัก แต่กลับได้กลิ่นหอมกระแสหนึ่งแทน จึงหัวเราะและพูดว่า “หรือว่านักวิชาการเหล่านี้จะดื่มน้ำหมึกกันแน่เพคะ?”

หลี่เย่หัวเราะเสียงดัง เอื้อมมือมาจับมือของนางเอาไว้ พูดว่า “มาเถิด เจ้ามาดมก็จะรู้ว่าข้าดื่มน้ำหมึกหรือไม่”

*ฝูงนกหมด ธนูก็ถูกเก็บ (鸟尽弓藏) หมายความว่าเมื่อเรื่องเสร็จแล้วก็ถีบหัวคนที่เคยช่วยทิ้ง