บทที่ 412 กลุ่มจลาจล

บัลลังก์พญาหงส์

​ฝนที่ตกลงมานี้ติดต่อกันกว่าครึ่งเดือน ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงล้วนมีน้ำขัง เวลามีแสงอาทิตย์ส่งมาก็ให้รู้สึกสบายใจไปได้เฮือกหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นต่อไปจะต้องเกิดน้ำหลากเป็นแน่

ประชาชนที่อยู่ในเมืองหลวงสบายใจ แต่หลังจากฮ่องเต้อ่านฎีกาด่วนฉบับหนึ่งแล้ว ฉับพลันคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น

เหอเป่ยผ่านเหตุการณ์แห้งแล้งมาครั้งหนึ่ง และยังผ่านเหตุการณ์ฝนตกหนักติดต่อกัน พืชพรรณทั้งหลายไม่ต้องพูดว่าเก็บเกี่ยวได้สำเร็จ มาพูดแค่ว่าจะเลี้ยงให้รอดได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา

ไม่เพียงแค่พืชพรรณไม่มีแล้ว สิ่งที่ทำให้คนเป็นกังวลมากขึ้นก็คือเหอเป่ยเกิดพิบัติภัยทางอุปโภคบริโภค ตอนนี้เรื่องการบริโภคไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะเอาคนไปไว้ที่ใด? น้ำท่วมบ้านเรือน มีบ้านจำนวนมากที่ต้องพังเสียหาย สัตว์เลี้ยงก็ไม่รู้ว่าตายไปมากเพียงใด ยามนี้เป็นฤดูร้อน เดิมอุณหภูมิก็ไม่ได้ต่ำนัก และยังถูกแช่น้ำเอาไว้จึงเน่าเปื่อยเร็วมากขึ้น

ดังนั้นโรคร้ายจึงแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้คนสิบกว่าคนในชุมชนหนึ่งไม่มีใครรอดชีวิตเลย

ตอนนี้เกิดอุทกภัยขึ้นทุกที่อยากที่จะหาฟืนแห้งมาเผาศพนั้นก็ไม่สามารถทำได้ ทำได้แค่เพียงขุดหลุมฝังดินเท่านั้น และเอาขี้เถ้าจำนวนมากไปโปรยเอาไว้ ขี้เถ้าแช่น้ำแล้วทำให้เกิดฟองขึ้นมา แม้แต่ศพที่อยู่ข้างล่างก็แทบจะสุกไปกว่าครึ่ง กลิ่นนั้นไม่จำเป็นต้องดมก็แทบจะทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้

คนในพื้นที่เหอเป่ยส่วนมากเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ไม่ได้ เริ่มหลบหนีออกมา

ทิศทางที่ลี้ภัยออกมาก็คือเมืองหลวง ขุนนางประจำเมืองนั้นได้พยายามขวางกั้น แต่ไฉนเลยจะขวางประชาชนที่เกิดจลาจลได้? ต่อให้ประชาชนเหลือเพียงแค่จอบและเสียม แต่พอเริ่มจราจลใครก็หยุดไม่ได้ นายทหารที่รักษาพื้นที่นั้นจะขัดขวางไว้ได้อย่างไรกัน?

ถ้าหากว่ากลุ่มจลาจลเหล่านี้พากันเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกัน นั่นจะกลายเป็นสถานการณ์เช่นใด? ฮ่องเต้ทำได้แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวอย่างมาก หากว่ากลุ่มจลาจลนี้เข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกันทีเดียวหมด เช่นนั้นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองก็คงกลายเป็นถ้ำของคนจน

ข่าวนี้แทบจะปิดบังเอาไว้ไม่ได้ ฮ่องเต้เองก็ไม่คิดปิดบังใคร หลังจากนั้นก็มีข่าวหนึ่งประกาศออกมา

หลี่เย่และเฉินฟู่เป็นกลุ่มแรกที่รู้และปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป ฮ่องเต้เคยถามความคิดเห็นของพวกเขามาก่อน ความคิดเห็นของหลี่เย่เหมือนกับฮ่องเต้ ในเมื่อปิดไม่อยู่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องรู้ ไม่สู้ปล่อยออกไปให้เร็ว ให้คนในเมืองหลวงรู้ถึงความอันตราย แน่นอนว่าที่สำคัญคือพวกตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจและทรัพย์สิน

จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อรวบรวมทรัพย์สิน อาศัยเพียงแค่เงินในท้องพระคลังมาบรรเทาภัยพิบัตินั้นย่อมไม่พอใช้ เงินในท้องพระคลังที่สำคัญที่สุดคือเอาไว้ใช้สนับสนุนการทหาร ในความเป็นจริงแล้วเพียงแค่ค่าใช้จ่ายในกรมทหารเงินท้องพระคลังก็ไม่พอใช้แล้ว

แน่นอนว่าดูจากการที่ตั้งแต่ฮ่องเต้นำเรื่องนี้มาบอกหลี่เย่เป็นคนแรก ก็รู้ได้ว่าคนที่ได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้มากที่สุดเป็นใคร ที่จริงตอนนี้คังอ๋องก็เริ่มหายดีแล้ว นอกจากจะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้วแต่ถึงอย่างไรก็เป็นรัชทายาท ย่อมมีคุณสมบัติปรึกษาเรื่องนี้กับฮ่องเต้มากที่สุด

หลี่เย่ไม่ปิดบังถาวจวินหลัน นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง พูดว่า “ถ้าไม่ได้จริงๆ เจ้าก็พาลูกๆ ไปหลบที่บ้านสวนก่อน เกรงว่าในเมืองหลวงคงยุ่งวุ่นวายเป็นแน่”

จากเหอเป่ยมายังเมืองหลวง จะบอกว่าไกลก็ไม่ได้ไกล จะบอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ฎีกาด่วนตอนนี้อยู่ระหว่างทางมาสองสามวันแล้ว ถ้าอย่างนั้นกลุ่มจลาจลก็จะต้องตามมาติดๆ กัน หลังจากที่กลุ่มแรกมาแล้ว บางทีอาจจะยังไม่มีอะไร แต่กลุ่มที่สอง กลุ่มที่สามเล่า?

ถาวจวินหลันลองคิดถึงสถานการณ์นั้น ก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ยังคงส่ายหน้า “ชนบทอาจจะห่างไกล แค่สุดท้ายก็ไม่ปลอดภัยเท่าเมืองหลวง ในจวนมีทหารยามมาก ก็คงจะปลอดภัยอยู่หลายส่วน หากมีผู้ลี้ภัยมาบ้านสวนจริง คนแค่นั้นคงรับมือไม่ไหวเป็นแน่”

“เป็นบ้านหลังเล็กที่อยู่ในที่ลับ ข้าไปแอบสร้างไว้” หลี่เย่กลับส่ายหน้าเบาๆ พูดอย่างเคร่งเครียด “ถนนที่เข้าไปในเขาก็มีเพียงเส้นเดียว ข้าจะให้ทหารยามเฝ้าเอาไว้ บริเวณนั้นรักษาง่ายโจมตียาก ขอแค่มีคนเฝ้าระวัง คนเดียวเฝ้าด่าน คนนับหมื่นนับพันก็ไม่อาจตีด่านแตกพังได้”

ถาวจวินหลันเห็นเขามุ่งมั่นถึงเพียงนี้จึงเริ่มคิดได้ว่า “เรื่องนี้รุนแรงถึงเพียงนี้แล้วหรือเพคะ?”

หลี่เย่พยักหน้า

ใจของถาวจวินหลันดิ่งลง “ทำไมถึงได้รุนแรงเช่นนี้? ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ลี้ภัยที่อพยพมาเท่านั้นหรอกหรือ? ทำไมถึงได้น่ากลัวเช่นนี้เพคะ?”

“ไม่ใช่แค่เพียงผู้ลี้ภัย ไม่ใช่แค่อพยพหนีมหันตภัย กลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้สร้างความวุ่นวาย เจ้ารู้หรือไม่ ตามทางที่กลุ่มประชาชนที่ก่อจลาจลเดินผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานข้าราชการหรือว่าบ้านเรือนของประชาชนต่างก็พังพินาศย่อยยับ ไม่มีใครเหลือรอดสักราย” ตอนที่หลี่เย่พูด คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น แม้แต่กำปั้นก็กุมเข้าหากัน

ถาวจวินหลันส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ นี่ย่อมไม่ใช่แค่การอพยพง่ายๆ แล้ว ในตอนนี้เกิดจลาจล คนเช่นนี้แค่หาที่นอนหาข้าวให้กินแล้วใช่ว่าจะจัดการได้

“ประชาชนธรรมดาเล่า ทำไมถึงได้วุ่นวายเช่นนี้?” พอได้สติกลับมาแล้ว ในใจของถาวจวินหลันก็เต็มไปด้วยความสงสัย

หลี่เย่มีท่าทีเคร่งขรึม “อาจจะมีคนพัดโหมห่อไฟอยู่เบื้องหลังก็เป็นไปได้” อย่างไร รวบรวมประชาชนที่ประสบภัยได้เยอะขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ ก็ถือว่าผิดปกติไปเสียหน่อย

ถาวจวินหลันตะลึงงัน ครุ่นคิดอย่างหนักแต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกลับมา ใครกันแน่ที่ต้องการทำเรื่องเช่นนี้?

เพียงแต่นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ผ่านไปครู่หนึ่งก็ทำได้แค่ถอนหายใจ “ถึงตอนนั้นก็ดูตามสถานการณ์เถิดเพคะ ถ้าหากว่าไม่ไหวแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่ข้ายังยืนยันคำพูดนั้น การออกจากเมืองหลวงไปไม่ใช่ความคิดที่ดีเสียทีเดียว ไม่ว่าอย่างไร พวกเราครอบครัวเดียวกันก็ควรอยู่ที่เดียวกันดีกว่านะเพคะ”

แม้จะรู้ว่าหลี่เย่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน แต่ว่านางก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ และยิ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไม่มีเหตุผลต้องแยกจากกันง่ายดายเช่นนี้

หลี่เย่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ยืนหยัดต่อไป เพียงแค่ถอนหายใจออกมาหนัก เอื้อมมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ลูบผมของนางไปมาเบาๆ

ผมของถาวจวินหลันนิ่มและละเอียดเป็นอย่างมาก สีดำขลับสวยงาม มองดูแล้วเหมือนผ้าไหมผืนหนึ่ง แต่ผมอย่างนี้กลับไม่สามารถเกล้าเป็นมวยสูงได้ ในเวลาที่จำเป็นก็จะต้องใช้มวยผมปลอม แต่ทำเช่นนั้นก็จะทั้งหนักและวุ่นวาย ดังนั้นปกติจึงหวีผมและเกล้าเป็นมวยผมง่ายๆ

แต่หลี่เย่กลับชอบอย่างมาก มวยผมเช่นนี้ทำให้ถาวจวินหลันดูอบอุ่นน่าสัมผัส

วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันเริ่มเตรียมตัว เพราะผู้ลี้ภัยเริ่มมาแล้ว ก่อนอื่นต้องจัดการให้ภายในจวนปลอดภัย จะต้องไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่น้อย

อีกทั้งยังมีเรื่องมหันตภัยธรรมชาติ ปีที่เกิดมหันตภัยขึ้นนั้นการที่ให้ตระกูลเก่าแก่และตระกูลใหญ่บริจาคเงินและสิ่งของถือเป็นเรื่องที่ทำกันมานาน คราวนี้ก็ไม่ต่าง นางเตรียอาหารแห้งและเสื้อผ้าเก่ามาไว้พร้อมนานแล้ว ถึงเวลานั้นจะได้เอามาใช้ได้ทันที

อาศัยเพียงแค่เสื้อผ้าเก่าของเจ้านายย่อมไม่พอ ถาวจวินหลันเก็บเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วเหล่านั้นมอบให้บ่าวรับใช้ทั้งหมด และให้บรรดาบ่าวรับใช้เอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาเตรียมให้กับผู้ลี้ภัยเหล่านั้น อย่างไรเสื้อผ้าของนางก็ทำมาจากผ้าเนื้อดีทั้งนั้น แต่เพียงแค่สวยงามเท่านั้น ถ้าจะพูดถึงการใช้งาน ยังต้องใช้เสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าเนื้อหยาบธรรมดาหรือว่าผ้าฝ้ายของบรรดาบ่าวรับใช้ผู้หญิงทั้งหลาย

อีกทั้งถาวจวินหลันยังเตรียมผ้าห่มฝ้ายเอาไว้ ด้วยเป็นฤดูร้อน จึงต้องทำให้บางเสียหน่อย และด้วยเน้นปริมาณมาก จึงใช้ผ้าฝ้ายเก่าจำนวนมากมาทำ แต่อย่างไรก็ยังสามารถกันหนาวได้ เหมาะกับการใช้งานอย่างมาก

รอจนเตรียมพร้อมครบหมดแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงคนโห่ร้องก้องตะโกนเสียงดังตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลังจากสอบถามแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านนอกเมืองส่งเสียงประท้วงตะโกนร้องออกมาทั้งคืน

แต่ยิ่งไม่เปิดประตู เสียงเรียกตะโกนของผู้ลี้ภัยก็ยิ่งดังมากขึ้น

ถาวจวินหลันให้คนไปดูทิศทางของราชสำนัก ถึงได้รู้ว่าราชสำนักเตรียมข้าวต้ม ตั้งโรงทานเอาไว้แล้ว

ผู้ลี้ภัยมากขนาดนี้ไม่สามารถปล่อยเข้ามาภายในเมืองได้ ทำได้แค่ให้พักอยู่นอกเมือง จะบอกให้กระจายออกไปก็ทำไม่ได้ เพราะยามนี้บ้านเดิมของพวกเขาก็เป็นแม่น้ำไปแล้ว ยังจะกลับไปได้อย่างไร? ไม่มีให้กินไม่มีให้ดื่ม และไม่มีเงิน กระจายออกไปแล้วก็เท่ากับไล่ให้พวกเขาไปตายเท่านั้น

ตกดึกหลี่เย่กลับมาดึกมาก รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งตัว

ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่า จำนวนของผู้ลี้ภัยมีเยอะมาก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นวัยกลางคน คนแก่เด็กและผู้หญิงมีน้อยมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือในมือของคนพวกนั้นยังมีของจำพวกจอบและเสียม อีกทั้งไม้ก็เป็นสีแดงคล้ำ สีเช่นนี้ คนที่เคยป่านสนามรบมาถึงรู้ว่าเป็นสีของเลือดที่แห้งกรัง

ถาวจวินหลันเข้าใจในทันที คนพวกนี้เคยฆ่าคนมาก่อน ส่วนทำไมถึงฆ่าคน…อาจด้วยข้าวเพียงมื้อเดียว อาจด้วยเสื้อผ้าพัยงหนึ่งชุด หรืออาจด้วยทะเลาะเบาะแว้งกัน เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญ แต่เรื่องฆ่าคนก็เป็นเรื่องจริงไปแล้ว คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่จะสานสัมพันธ์ได้ง่ายๆ

“เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่ผู้ลี้ภัย” หลี่เย่มีท่าทีเคร่งขรึม แทบจะมืดสนิทเหมือนกับท้องฟ้าในหลายวันก่อนหน้านี้ “ผู้ลี้ภัยจริงๆ ไม่มีทางเดินเท้าได้เร็วถึงเพียงนี้”

“ถ้าเช่นนั้นจะจัดการอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันถามตามสันชาตญาณ

คนพวกนี้อุดประตูเมืองเอาไว้ ประตูเมืองไม่กล้าเปิดออก คนภายในเมืองก็ไม่กล้าออกไปไหน ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็พอเป็นไปได้ แต่ระยะเวลานานนั้นไม่ได้ ประชาชนในเมืองยังต้องการข้าวสาร ต้องการพืชผัก ของเหล่านี้ล้วนจำต้องผ่านประตูเมืองเข้ามา อีกมั้งพ่อค้ามากมายภายในเมืองก็ไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไป

เปิดประตูเมืองเป็นเพียงเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าเร็ว ก่อนหน้านั้นผู้ลี้ภัยเหล่านี้จำต้องถูกจัดการอย่างเหมาะสมเสียก่อน

ดวงตาของหลี่เย่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ “ความตั้งใจของเสด็จพ่อคือ หากยื้อเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ก็ต้องใช้วิธีหยาบกระด้างเสียหน่อย”

วิธีหยาบระด้าง ย่อมต้องหมายถึงการบีบบังคับให้สลายกลุ่ม อาจจะถึงขั้นสังหาร หากใช้วิธีนี้จริง ก็จะมีผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวคือความไม่พอใจของประชาชน

คนพวกนั้นแม้ว่าจะเป็นกลุ่มจลาจล แต่รากเหง้าเดิมก็เป็นประชาชนธรรมดา เป็นประชาชนที่หนีความลำบากมา พวกเขามาที่เมืองหลวงเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด ถ้าหากต้องไร้เยื่อใยกันถึงเพียงนี้ก็ถือว่าไม่สนใจหัวใจของประชาชน

ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา “พวกเขาทำเช่นนั้นก็อาจไม่ใช่การก่อกบฏ เกรงว่ามีจุดประสงค์อื่นอยู่ ถามให้แน่ชัดแล้วค่อยมาปรึกษากันไม่ได้หรือเพคะ?”

“วันนี้ทหารที่เฝ้าเมืองก็พูดเช่นนี้ พวกเขามีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเข้าเมือง” หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ใครๆ ก็รู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงไม่มีสถานที่มากพอรองรับคนพวกนี้ได้ และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในเมืองก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาตั้งใจเสนอปัญหาที่ยากมาให้”

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว หรือว่าจะต้องแข็งขืนเช่นนี้ต่อไปหรือ?