บทที่ 479 สถานที่ลงมือ
แสงจันทร์อ่อนโยนทอดไปบนริมฝั่งแม่น้ำ ทำให้ภาพทุกอย่างดูขมุกขมัวราวกับอยู่ในความฝัน

หลังได้ฟังคำพูดของฟรานซิส รามิโร่ก็ค่อนข้างประหลาดใจ เขาแกล้งทำเป็นอยากได้อยากมีขึ้นมาแล้วจึงถามออกไป “สมบัติของเทพเจ้าแห่งยมโลก? ขอข้าไปด้วยได้ไหม?”

ณ เมืองฮูซัม ตอนที่รามิโร่ได้ยินมาว่าเทพเจ้าแห่งยมโลกถูกสังหารในตอนแรก เขาตกตะลึงอย่างยิ่ง ‘เวทจองจำ’ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ระดับเก้า ไม่ใช่ ‘เวทสั่งตาย’ ไม่น่าจะสามารถสังหารพระเจ้าเทียมเท็จได้!

ครั้งหนึ่งเคยมีเคานต์ปีศาจที่ถูกจองจำไว้นานกว่าพันปีแต่ก็ยังสามารถรอดชีวิตมาได้ เขาได้รับการปลดปล่อยจากความพยายามอันแรงกล้าของเราผู้ศรัทธาจำนวนมาก ในช่วงเวลาที่พลังของ ‘เวทจองจำ’ เริ่มเสื่อมลง ฉะนั้น รามิโร่จึงตั้งข้อสังเกตว่าผู้วิเศษระดับเก้าคนนั้นคงเพียงจองจำเทพเจ้าแห่งยมโลกไว้ และปล่อยพระเจ้าเทียมเท็จตอนนี้ออกมา หลังจากเตรียมแผนสังหารเขาอย่างรวดเร็วไว้แล้ว

รามิโร่อยากจะสืบส่วนเรื่องนี้ต่อ แต่เขาก็ไม่รู้สถานที่จองจำเทพเจ้าแห่งยมโลกและตำแหน่งที่ตั้งอาณาจักรของเทพเจ้าแห่งยมโลก เขาจึงพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว และหันมาสืบสวนเรื่องพลังเทวภาพของเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์แทน

พอได้รู้ว่าเลเวียธานเป็นคนค้นพบอาณาจักรของเทพเจ้าแห่งยมโลก รามิโร่ก็กระสันจะไปที่นั่นและสืบดูให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทพเจ้าแห่งยมโลกกันแน่ จึงทำให้เทพตนนี้ตกเป็นเหยื่อของผู้วิเศษระดับเก้า

เนื่องด้วยความตายของเทพเจ้าแห่งยมโลก รามิโร่จึงตัดสินใจตัดเลเวียธานออกจากข้อสงสัยของเขาในที่สุด รามิโร่เห็นกับตาว่าเลเวียธานกระโดดลงในแม่น้ำ และคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ ‘เวทจองจำ’ จากในน้ำ

เห็นได้ชัดว่าคงไม่มีเวลาพอที่เลเวียธานจะเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างสถานที่ที่นัดหมายต่างๆ โดยไม่ทำให้ฟรานซิสสงสัย เนื่องจากสถานที่ทั้งสองแห่งค่อนข้างห่างไกลจากเมืองฮูซัมมาก หากเลเวียธานไม่ได้มีพลังระดับชั้นตำนาน

อย่างไรก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีความจำเป็นที่เลเวียธานจะต้องปิดบังอำพราง แต่กลับกัน เขาสามารถเข้ายึดครองเออร์โดได้โดยตรง

“สมบัติของพระเจ้าเทียมเท็จต้องมีมากมาย ข้าไม่ถือสาหรอกถ้าเจ้าจะเอาน้ำยาไปสักขวด แอนฮิวซ์” ฟรานซิสพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม จุดประสงค์หลักในการเดินทางไปที่นั่นของเขาก็คือสืบข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเทพเจ้าแห่งยมโลก “เจ้าน่าจะช่วยเราได้ เราจะได้สำรวจให้เสร็จก่อนที่เทพเจ้าแห่งสงครามจะรู้ตัว”

ด้วยรอยยิ้มเดิมที่ยังคงอยู่บนใบหน้า ฟรานซิสก็ถามเลเวียธานอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เลเวียธาน เจ้าไม่อยากไปหรือ? ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะอยากไปที่นั่นมาก”

“ถ้าต้องไปคนเดียว ข้าคงไม่ไปแน่ ใครจะไปรู้ว่าอาจมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่ภายในอาณาจักรของเทพเจ้าแห่งยมโลกก็ได้ แต่ถ้าท่านสองคนร่วมด้วย ข้าจะไม่พลาดแน่นอน!” ลูเซียนแสร้งแสดงท่าทางฮึกเหิมอย่างออกหน้าออกตา เขาเองก็มีเป้าหมายของตัวเองที่จะเข้าไปในอาณาเขตนั้น เขาตั้งใจจะสืบข้อมูลของภาพปริศนาที่เขาสัมผัสได้ขณะว่ายน้ำผ่าน และเหตุผลที่เทพเจ้าแห่งยมโลกเลือกย้ายอาณาจักรลงไปอยู่ในก้นแม่น้ำโซลนาอย่างกะทันหัน บางทีเขาอาจจะพบวัตถุดิบดีๆ เอามาใช้ซ่อมอุปกรณ์เวทมนตร์ของเขา

รามิโร่ขมวดคิ้ว “เราต้องรีบกันหน่อย อาณาจักรจะค่อยๆ พังละลายและสลายไปหลังจากการตายของเทพเจ้าแห่งยมโลก”

หลังจากเข้าไปในอาณาจักร รามิโร่จะคอยหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะสังหารเลเวียธานลับหลังฟรานซิสเพื่อขโมยตัวตนของเลเวียธาน แล้วเขาก็จะโยนความผิดให้กับอันตรายที่คาดไม่ถึงและแปลกประหลาดของอาณาจักรแห่งนี้

“นำทางเราไป เลเวียธาน” ฟรานซิสพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ เท่าที่เขารู้มา เทพเจ้าแห่งยมโลกเพียงแค่ถูกจองจำไว้ และร่างผู้จุติของเขายังคงอยู่ ดังนั้น อาณาเขตดังกล่าวจะยังไม่สลายไป

ลูเซียนก็คิดเช่นเดียวกับฟรานซิส แต่ทั้งสองคนก็ไม่แสดงความคิดเห็นออกมา ทั้งนี้ทั้งนั้น แอลและศรัทธาอันแรงกล้าของเขาต่างเชื่อสนิทใจว่า แอลคือผู้สังหารเทพเจ้าแห่งยมโลก

ลูเซียนสวมกำไลหินและนำทางกระโดดลงในแม่น้ำ ซึ่งติดตามมาด้วยฟรานซิส รามิโร่ใช้พลังโลหิตของตนร่ายอาคมเทพใส่ตัวเองเพื่อให้หายใจในน้ำได้แล้วตามหลังทั้งสองไปเงียบๆ

การว่ายน้ำทวนกระแสน้ำใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่ หลังจากผ่านประตูน้ำเก่าคร่ำครึ ทั้งสามก็มาถึงอาณาจักรของเทพเจ้าแห่งยมโลก ลูเซียนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดว่ากำลังถูกต้องมองอยู่แวบหนึ่งอีกครั้ง

“ที่นี่ล่ะ” ฟรานซิสพูดขึ้น เขาพยักหน้าเมื่อเห็นฝูงปลาที่พากันเน่าเปื่อยไปแล้วครึ่งตัว ด้วยสัญชาตญาณที่สามารถจับพลังแห่งความตายได้อย่างแม่นยำ เขาก็เริ่มนำลูเซียนและรามิโร่ดำลึกลงไปที่ก้นแม่น้ำ

ขณะดำน้ำผ่านกอต้นกกสีซีดรูปร่างประหลาด ฟรานซิสตั้งใจพุ่งชนกับหินรูปร่างธรรมดาก้อนหนึ่ง แล้วหินก้อนนั้นก็เห็นรูปและกลายเป็นประตูสีดำขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วซึ่งปล่อยกลิ่นความตายออกมารุนแรง

ประตูหินเก่าเจียนพัง ลวดลายสีดำก็หลุดออกเป็นชิ้นๆ ชิ้นส่วนภายในก็กำลังเน่าเฟะ

“เทพเจ้าแห่งยมโลก?!” รอยยิ้มอย่างสบายใจของฟรานซิสก็ปรากฏบนหน้าเขา นี่ไม่ใช่การจองจำ?!

ทั้งลูเซียนและรามิโร่ก็มองฟรานซิสด้วยท่าทีสับสน “หมายความว่าอย่างไร? เทพเจ้าแห่งยมโลกตายไปหลายวันแล้ว”

มีน้ำเสียงเยาะเย้ยซ่อนอยู่ในคำพูดของรามิโร่

แม้ว่าลูเซียนจะมีสีหน้าประหลาดใจเหมือนกับรามิโร่ ลูเซียนก็กำหมัดแน่นมากจริงๆ แน่นมากจนกระทั่งเล็บเกือบจะทะลุชั้นผิวหนัง อันที่จริง ลูเซียนเองก็ประหลาดใจมากไม่ต่างจากฟรานซิส

ลูเซียนเป็นคนที่ร่าย ‘เวทจองจำ’ ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ดีไปกว่าเขา อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าตอนนี้เทพเจ้าแห่งยมโลกตายไปจริงๆ และลูเซียนไม่มีเบาะแสเรื่องนี้เลย

“แต่ว่า… การได้เห็นกับตาตัวเองรู้สึกต่างไปเลย” ฟรานซิสดึงความสุขุมและความใจเย็นของเขากลับมาเป็นปกติ เขาไม่กลัวว่าจะถูกสงสัยจากแอนฮิวซ์หรือเลเวียธาน เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้รับเมล็ดพันธุ์แห่งวิญญาณแล้ว และเขาเป็นผู้ที่มีพลังมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคน

รามิโร่หันกลับไปมองประตูหินสีดำและเริ่มหาวิธีเปิดประตูออก ถ้ายังพอมีโอกาสเหลือ เขาก็จะฆ่าฟรานซิสเหมือนกัน ซึ่งก็จะยิ่งทำให้เขาสร้างผลงานเพิ่มขึ้น

“ตามหลักการและตำนานแล้ว ในอาณาจักรของเทพเจ้าแห่งยมโลก มีประตูหินอยู่ภายนอกประสาทของเขาเจ็ดบาน แต่ละบานจะเปิดออกได้ด้วยการเซ่นสังเวย มิฉะนั้น เราก็จะติดอยู่ระหว่างประตูจนกว่าวิญญาณจะสลาย” ฟรานซิสอธิบายสั้นๆ “แต่ตอนนี้อาณาเขตกำลังล่มสลาย ผู้พิทักษ์ยมโลกก็เข้าสู่นิทรา เราจะใช้อะไรเปิดประตูก็ได้”

ฟรานซิสหยิบก้อนกรวดขึ้นมาก้อนหนึ่งและใส่ลงในรูกุญแจขนาดใหญ่บนประตูหิน

เป็นไปตามที่ฟรานซิสคาดการณ์ มีแสงพุ่งออกมาจากประตูสีดำและประตูก็เปิดออกช้าๆ ด้านหลังประตู มีเสียงครวญครางร้องโหยหวนอย่างขมขื่นและทรมาน และกระแสลมเย็นยะเยือกก็พัดออกมา

ฟรานซิสไม่ลังเลที่จะเดินนำเข้าไป ลูเซียนเดินตามเข้าไปด้วยความระมัดระวังตัวอย่างสูง อย่างไรก็ตาม ใช้เวลาอีกเป็นนาทีก่อนที่รามิโร่จะเดินตามเข้าไป

ขณะยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด รามิโร่ก็อธิบายออกมาคร่าวๆ “ข้าร่ายเวทมนตร์ไปสองสามบท หรือว่าพลังแห่งความตายจะรุนแรงเกินไป”

รามิโร่ใช้ความระมัดระวังสูงสุดขณะสืบเท้าเดินเข้าไปในอาณาจักรเทพเจ้าแห่งยมโลก ไม่มีใครรู้ว่าผู้วิเศษระดับเก้าจะอยู่ที่นี่หรือไม่

ฟรานซิสก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเดินดุ่มๆ ไปที่ประตูถัดไปซึ่งมีแสงสลัวสลัวๆ จากมอสส์เรืองแสง

ทันใดนั้น ใบหน้าซีดเผือดที่บิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด ทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและคนชรา พวกเขาลอยตัวอยู่กลางอากาศและพุ่งตรงเข้ามาหาฟรานซิส ลูเซียน และรามิโร่ด้วยความเกลียดชังและความชั่วร้าย

หมอกสีดำลอยออกมาจากตัวของฟรานซิสและกระจายไปทั่วพื้นที่ ใบหน้าซีดเผือดเหล่านั้นก็สลายไปอย่างเงียบๆ ในทันทีที่สัมผัสเข้ากับหมอกดำ

“ที่นี่กำลังล่มสลาย พวกภูตผีหลุดจากการควบคุมแล้ว” ฟรานซิสเตือนทั้งสองคน

เขาหยิบเหรียญเงินออกมาเหรียญหนึ่งและเปิดประตูถัดไป

แล้วทั้งสามเผชิญหน้ากับภูตผีระดับล่างทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่มัมมี่ เมื่อมีอัศวินอาภาอย่างฟรานซิสเดินนำหน้า พวกภูตผีชั้นล่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา แม้ฟรานซิสจะพลาดปล่อยบางตนหลุดรอดมา แต่อัศวินระดับสี่อย่างเลเวียธาน และนักบวชระดับสี่เช่นแอนฮิวซ์ก็สามารถรับมือได้สบาย

เมื่อประตูหินบานที่หกเปิดออก สิ่งที่อยู่หลังประตูไม่ใช่ความมืดมิดอีกต่อไป แต่เป็นหมอกท่ามกลางแสงสลัว

ในหมอกนั้น มีหลายร่างกำลังร้องครวญครางและดีดดิ้นไปมาอยู่บนพื้น หลายร่างกำลังอดตาย ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะร้องออกมา หลายร่างกำลังคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ถูกกลุ่มคนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกลากไปยังแท่นบูชา บางส่วนถูกสัตว์ร้ายฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ บางส่วนก็ถูกสังหารในการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้าและนักบวช บางส่วนก็จมน้ำตายจากเหตุน้ำท่วมที่ถูกเทพเจ้าส่งมา บางส่วนกำลังตายในสนามรบระหว่างสงคราม บางส่วนต้องกลายเป็นทาส ถูกสัตว์ร้ายขย้ำเพื่อความบันเทิงของพวกขุนนาง…

ท่ามกลางหมอกนี้ ก็คือนรกของจริงที่แสดงถึงความเจ็บปวดของผู้คนสามัญชนที่ต้องทุกข์ทรมานในโลกใบนี้

“ไปกันเถอะ เราต้องสวดภาวนา เราจะได้ไม่มีสภาพเช่นนี้” รามิโร่มีความทรงจำของแอนฮิวซ์อยู่ภายในตัวและรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร

ขณะเดินผ่าหมอกหนา ลูเซียนก็ได้ยินเสียงร้องแสบแก้วหูด้วยความทรมาน แขนที่ซีดเผือดและเหี่ยวแห้งพยายามจะคว้าตัวเขาราวกับกิ่งก้านของต้นไม้ที่แผ่ขยายออก อย่างไรก็ตาม เสียงและภาพเหล่านั้นไม่ได้สร้างความวิตกกังวลต่อลูเซียน แขนพวกนั้นทะลุผ่านร่างของลูเซียนไป ราวกับว่ามันเป็นแค่เงา

เมื่อทั้งสามเดินออกจากหมอก ประตูหินสองบานก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งสองบานอยู่ห่างกันออกไป

“สอง?” ฟรานซิสถามรามิโร่

รามิโร่ส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้ แต่เราต้องรีบแล้ว เราควรแยกไปคนละทาง ท่านมีพลังสูงสุดในกลุ่มพวกเรา ฟรานซิส ท่านเลือกประตูหนึ่ง เลเวียธานกับข้า จะไปอีกประตูหนึ่ง”

ไม่ต่างจากหมาป่ากำลังรอขย้ำลูกแกะ รามิโร่รู้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว

“ก็ดี แยกกันและอย่ามัวชักช้า มิฉะนั้นเราคงไม่อาจสำรวจได้ครบทั้งหมด” ฟรานซิสเห็นด้วยแล้วเดินตรงไปที่ประตูทางขวามือ

รามิโร่หันไปมองเลเวียธานพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ไปกันเถอะ”

“ลุยเลย” ลูเซียนยิ้มตอบ

ด้านหลังประตูทางซ้ายมือเป็นโถงทางเดินที่ขนาบข้างด้วยเสาหิน โถงทางเดินคดเคี้ยวทอดยาวออกไปไกล สถานที่นี้ช่างว่างเปล่าและเงียบงัน เหมาะอย่างยิ่งกับการสังหาร

เมื่อเห็นว่าเลเวียธานลดระดับความระมัดระวังตัวลง รามิโร่ก็พร้อมจะลงมือ หลังจากผ่านโค้งข้างหน้า เมื่อทั้งคู่เดินไกลออกมาจากฟรานซิส

หลังจากเดินต่อมาหลายนาที ทั้งสองก็เลี้ยวขวาไปตามโถงทางเดิน และมีห้องมากมายอยู่ทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏออกมาให้เห็น

สถานที่นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับรามิโร่

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนหน้าของรามิโร่ ขณะเขากำลังประเมินลูเซียนจากด้านหลัง