บัญชามังกรเดือด บทที่ 659 การกระทำโดยพลการ
จูจูหยิบแฟลชไดรฟ์สีชมพูอันหนึ่งออกมา และพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “นี่คือฐานที่มั่นทั้งหมดของเจ็ดเมืองทางตอนใต้ของมังกรซ่อนรูป ”
“รวมทั้งข้อมูลของสมาชิกทั้งหมดโดยละเอียด”
“ในฐานะแส้มังกร เธอมีอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ ในการจู่โจมตรวจสอบในทุกที่และทุกเวลา”
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่และพูดเบาๆ ว่า “อย่าคิดว่าฉันเป็นผู้นำทางตอนใต้ แล้วเธอจะออมมือให้กับมังกรซ่อนรูปตอนใต้หล่ะ”
“ตอนนี้ฉันสามารถบอกเธอได้ว่า ในตอนใต้ของมังกรซ่อนรูปนั้น มีกลุ่มทุจริตมากมายที่ไม่สนต่อคำสั่งและกฎระเบียบอยู่เหมือนกัน ฉันจะยินดีมาก ถ้าได้เห็นพวกเขาได้รับการลงโทษจากเกล็ดมังกร”
“หนทางภารกิจอันหนักหน่วงยังอีกยาวไกล ขอให้เธอโชคดี ลาก่อนนะฉินเทียน”
หลังจากจูจูพูดจบ เขาก็พาเซียวยางกลับขึ้นเครื่องบินอีกครั้ง โบกมืออำลาและบินกลับออกไป
ฉินเทียนเองกลับไม่ได้แปลกใจกับคำพูดของเขา ที่เพราะสำนักงานใหญ่ยังมีท่านอาวุโสที่กล้าตวาดและตำหนิ เฒ่าหัวมังกรได้อย่างโจ่งแจ้ง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้นำของทางตอนใต้เลย
เขาเป็นหลานสาวของเฒ่าหัวมังกร ยังวัยรุ่นอยู่ แต่ตำแหน่งเป็นถึงผู้นำ เดาได้ไม่ยากว่าต้องมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจอย่างแน่นอน
สภาอาวุโสต้องอยู่ทางตอนใต้แน่นอน และคงมีไส้ศึกอยู่จำนวนไม่น้อยที่คอยสร้างปัญหาให้แบบต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
ความหมายของจูจูราวกับคิดจะยืมมือของเขาในการกำจัดไส้ศึกพวกนี้
จนถึงตอนนี้ ทั้งหมดของมังกรซ่อนรูปรวมถึงตอนใต้ของมังกรซ่อนรูป สำหรับฉินเทียนแล้ว ยังมีความลึกลับอยู่อีกมาก สิ่งที่เขาเห็น เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเล็กๆ เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น จนถึงตอนนี้ เขายังไม่รู้เลยว่าตอนใต้ของมังกรซ่อนรูปนั้นมีคนอยู่จำนวนเท่าไร และฐานที่มั่นของพวกเขาอยู่ที่ไหน
คนเหล่านี้ โดยปกติทำอะไรกันอยู่
แต่ตอนนี้คำถามนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว จูจูแสดงมั่นใจที่มีต่อตน เท่ากับว่าตอนใต้ของมังกรซ่อนรูปทั้งหมดนั้นถูกเปิดเผยออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว
คำตอบทั้งหมดอยู่ในแฟลชไดรฟ์เล็กๆ นี้นั่นเอง
และฉินเทียนเชื่อว่า คนที่ต้องการให้ถูกกำจัด จะต้องถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ในแฟลชไดรฟ์นี้แล้วอย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาไม่รีบร้อนที่จะไปจัดการเรื่องพวกนี้ กลับบ้านก่อนค่อยว่ากันแล้วกัน
เขากลับไม่ได้เข้าไปตามถนนสายหลักเส้นเข้าเมือง กลับหายใจเข้าลึกๆ และเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างๆ
จากจุดนี้เดินเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงสวนสัตว์ร้ายแล้ว ในเมื่อมาแล้ว เขาเลยอยากจะเข้าไปบ้านพักบนภูเขาดูสักหน่อย
สวนสัตว์ร้ายในวันนี้ เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ก่อนหน้านี้พื้นที่ทั้งหมดมีหนึ่งพันเอเคอร์ ตอนนี้ขยายไปถึงสามพันเอเคอร์แล้ว เกือบจะล้อมไปครึ่งหนึ่งของเมืองหลงเจียงแล้ว
เพราะจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ตอนนี้มีห้ากลุ่มย่อย ห้าพญายมแห่งนรก คนในสังกัดของพวกเขาเมื่อรวมกัน ก็เกินห้าพันคนเข้าไปแล้ว
แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ที่บ้านพักตลอดเวลา แต่ก็มักจะกลับมาเป็นกลุ่มๆ เพื่อเข้ามารับการฝึกฝนและการศึกษาเพิ่มเติม
ดังนั้น จึงมีการสร้างอาคารหอพัก โรงอาหารขึ้นมาอยู่หลายหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น ห้าพันคนนี้เป็นเพียงจำนวนนับ ณ ปัจจุบันเท่านั้น ต่อไปจะมีคนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ
ตามแผนของฉินเทียน ห้าพญายมแห่งนรก แต่ละคนต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างน้อยสามร้อยคน ถึงจะกดดันควบคุมเรือใหญ่ในเจ็ดเมืองทางตอนใต้ได้
รักษาความมั่นคงภายใน สร้างความหวาดกลัวให้กับภายนอก!
ตอนที่ฉินเทียนกลับมานั้น พอดีว่าห้าพญายมและคนของพวกเขาอยู่ข้างนอกทั้งหมด ไม่มีใครเข้ามาที่นี่เพื่อทำการฝึกฝน
อีกทั้งเป็นช่วงเวลาเย็นมากแล้ว บ้านพักอันกว้างใหญ่นี้ นอกจากเสียงคำรามของเสือและเสียงหมาป่าหอนเป็นครั้งคราวแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเงียบสงบ
ถึงกระนั้น ก็ยังมีกลุ่มคนรักษาการณ์การฝึกฝนทั้งหมด รวมทั้งทีมกองหนุนที่มีอยู่ราวๆ ร้อยกว่าคนได้
จำนวนคนในการฝึกมากขนาดนี้ อาศัยแค่สามทหารม้าอย่างฉานเจี้ยน หวูฉางและชุยหมิง คงจะสู้ไม่ไหว
รวมทั้งกองหนุนอย่างบูซาน เขาคนเดียวคงทำไม่สำเร็จแน่ๆ
ดังนั้น ทีมฝึกฝนและมีกองหนุนของพวกเขา เลยต้องทำการขยายออกไป
จะว่าไป สวนสัตว์ดุร้ายในวันนี้ ได้กลายเป็นสถานที่บ่มเพาะนักรบที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงแล้ว
“เจ้าสำนัก!”
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ฉานเจี้ยนก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาใช้ไม้ค้ำยันเดินเข้ามาต้อนรับด้วยความตื่นเต้น
ชุยหมิง หวูฉางและบูซาน ท่านอาวุโสสามท่านนี้ก็ล้วนต่างมุ่งตรงเข้ามาเหมือนกัน
เมื่อเห็นสหายร่วมรบเหล่านี้แล้ว ฉินเทียนก็รู้สึกดีใจมาก
เขาเล่าเรื่องราวที่ไปเยี่ยมเถ้าแก่ใหญ่ให้กับฉานเจี้ยนฟัง ฉานเจี้ยนได้ฟังแล้วถึงกับเช็ดน้ำตาและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ดีดีมากเลย!”
“แค่รู้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ปลอดภัยมีความสุขดี พวกฉันก็สบายใจแล้ว!”
จู่ๆ ฉินเทียนก็มีความคิดอันแน่วแน่จนอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ว่า “ฉานเจี้ยน เมื่อเสร็จสิ้นธุระภายนอกแล้ว ฉันอยากนะเชิญท่านอาจารย์กลับมา”
“ถึงเวลานั้น ฉันจะให้เขามาใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าที่บ้านพักแห่งนี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉานเจี้ยนและคนอื่นๆ ต่างพากันพูดผสมปนเปกันด้วยความตื่นเต้น
สำหรับท่านอาวุโสในวิหารพญายมอย่างพวกเขาแล้ว เถ้าแก่ใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นท่านอาวุโสของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นยังเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณและเป็นแสงสว่างในใจของพวกเขาอีกด้วย
หากสักวันหนึ่งสามารถอยู่เป็นเพื่อนและใช้ชีวิตด้วยกันกับเถ้าแก่ใหญ่ในบ้านพักอันมีทิวทัศน์สวยงามแบบนี้ได้ พวกเขาคงตายตาหลับได้แล้วจริงๆ
แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น
โลกภายนอก ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังจัดการไม่สำเร็จ
รวมถึงยังจับตัวปรมาจารย์พิษไม่ได้ด้วย
นอกจากนี้ องค์กรที่สนับสนุนปรมาจารย์พิษ ที่แท้ใช่วิหารเทพสังหารหรือไม่?
คนเบื้องหลังของ วิหารเทพสังหาร เป็นใครกันแน่?
พวกเขามีทั้งหมดกี่คน หลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันบ้าง? หลายปีมานี้ ที่พวกเขาไม่ยอมปรากฏตัว หรือว่าพวกเขากำลังวางแผนชั่วร้ายอย่างเงียบๆ กันอยู่หรือเปล่านะ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉินเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ
หาทางยังอีกยาวไกล กับภาระหน้าที่อันหนักหน่วง
การปฏิวัติยังไม่สำเร็จ เหล่าพี่น้องยังคงต้องพยายามกันต่อไป!
หลังจากคุยกันสักพัก ฉินเทียนก็ขับรถจากบ้านพักรีบร้อนเดินทางเข้าเมืองไปยังอุทยานมังกร
ในเวลาไม่นาน ก็มาถึงหน้าประตูของอุทยานมังกร ท่ามกลางความมืดและความเงียบสงบก็เห็นว่าประตูใหญ่ถูกปิดอย่างสนิท
แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมากแล้ว แต่ไฟจากห้องปฏิบัติการที่ต้องเปิดไว้ตลอดทั้งคืนนั้นกลับดับลง ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ปกติทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
เขาอดรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง เพราะความเป็นห่วงจนมากเกินไป ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือ มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?
พอคิดดูอีกที มันไม่ถูกสิ
เขาเองพึ่งจะกลับมาจากสวนสัตว์ร้าย ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉานเจี้ยนก็ไม่น่าจะไม่รู้นะ
เขาสงบสติลงสักครู่ และใช้แรงกดแตรรถ
ในที่สุดไฟที่อยู่ในห้องรักษาความปลอดภัยข้างๆ ก็สว่างขึ้น ชายผู้หนึ่งเดินออกมาด้วยท่าทีขี้เกียจ หาวหนึ่งรอบและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ดึกดื่นขนาดนี้ จะกดแตรทำไม ยังไม่มีใครตายสักหน่อย!”
“เธออยู่แผนกไหนหล่ะ?”
เขาเดินโซเซเข้ามา
ฉินเทียนจำได้ว่าเป็นเจ้าหกของทีมหมาป่าเดียวดาย
อยู่ในระหว่างปฏิบัติการ ไอ้หนุ่มคนนี้ยังกล้านอนหลับอีกหรือ?
แล้วคนอื่นๆ หล่ะ?
เขาเลื่อนกระจกรถลงด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เชี้ยแล้ว!” ทันทีที่เห็นหน้าเขา เจ้าหกก็ตกใจจนแทบจะล้มลง เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการทำความเคารพและพูดเสียงดังว่า “สวัสดีครับพี่เทียน!”
ฉินเทียนตะคอกกลับไปว่า “เหลิ่งเฟิงหล่ะ?”
“ทำไมถึงมีแค่เธอคนเดียว?”
“เช้าขนาดนี้ก็หลับซะแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นของสิ่งของวางตั้งประดับไว้อย่างงั้นหรือ!”
สีหน้าของเจ้าหกเริ่มแดงขึ้น ตอบด้วยความลำบากใจไปว่า “พี่เทียน พี่เหลิ่งพาทุกคนกับคุณหญิงไปจิ่นหูแล้ว”
“แม่เฒ่ากับหลินเซวี่ยก็ไปด้วย”
“ตอนนี้ทั้งอุทยานมังกร มีคนรับใช้อยู่ไม่กี่คน และก็เข้านอนกันตั้งนานแล้ว”
“ฉัน….รู้สึกเบื่อๆ เลยอดไม่ได้ที่จะเผลอหลับไป”
ห่ะ?
ฉินเทียนตกใจไปชั่วครู่ และรีบถามไปว่า “พวกเขาไปจิ่นหูทำอะไรกัน?”
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“แล้วไปจิ่นหู ทำไมถึงไม่เสนอหรือขอคำแนะนำจากฉันก่อน?”
“เหลิ่งเฟิงพาคุณหญิงไปด้วยแบบนี้ ไม่ทำโดยพลการไปหน่อยหรือ!”