ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง ตอนที่ 17

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 17 เทพอากาศถือกำเนิด โดย Ink Stone_Fantasy

 

 ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในฟ้าดินโลกเทียม ด้วยรัศมีเพลิงทองที่ปล่อยออกมาจากน้ำเต้าสีดำรายล้อมรอบกาย ต่อให้กู่กานหลัวผู้นั้นโจมตีอย่างไรก็มิอาจทำร้ายเขาได้เลย

“นายท่านจงวางใจให้เต็มที่เถิด กู่กานหลัวผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสนัก หลับใหลไปอีกสองสามยุคจักรวาลจึงจะพอทุเลาลงได้บ้างเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาช่วยเหลือลัทธิจอมมารดาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนี้เขาลงมือโจมตีท่านอย่างต่อเนื่องโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้นเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าถูกใจสมบัติพิทักษ์วิถีน้ำเต้าสีดำของท่านเข้าเสียแล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนที่นายท่านยังอยู่ในขั้นผู้เคารพก็เคยสำแดงออกมาครั้งหนึ่ง สองครั้งที่สำแดงออกมานั้น ลูกไม้การโจมตีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อานุภาพเหนือกว่าตนตั้งหนึ่งระดับขั้นใหญ่ ถึงอย่างไรกู่กานหลัวผู้นี้ก็เป็นบุตรทิพย์ของ ‘องค์บรรพชนกู่’ หูตากว้างไกลอย่างยิ่ง คงจะเดาได้ว่าน้ำเต้าสีดำเป็นสมบัติพิทักษ์วิถี จึงได้บ้าคลั่งเช่นนี้” วิญญาณอาวุธถ่ายเสียงพูด “ทว่าลงมืออย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ก็เป็นภาระใหญ่หลวงยิ่งสำหรับร่างกายเขาเช่นกัน อาการบาดเจ็บของเขาก็จะสาหัสยิ่งขึ้น เขาทนได้อีกไม่นานสักเท่าใดหรอก”

“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด

วิชาลับผู้ท่องบรรลุถึงชั้นที่สิบเอ็ด ข้อมูลจำนวนมากถูกส่งถ่ายเข้าสู่ห้วงสมอง สิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสุดทั้งหลายของขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ แห่งโลกทิพย์ทั้งห้า…ในจำนวนนั้นก็มี ‘องค์บรรพชนกู่’ รวมอยู่ด้วย

องค์บรรพชนกู่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! เขาบรรลุถึงระดับขั้นขีดจำกัดของการบำเพ็ญแล้ว

“ไม่ ไม่ ไม่ น้ำเต้าสีดำนี้เป็นของข้า ต้องได้มาให้ได้ ต้องได้มาให้ได้” กู่กานหลัวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดปานร่างจะแหลกสลายในวิญญาณของตน สีหน้าก็ซีดขาว นัยน์ตาสีแดงโลหิตทั้งคู่ของเขาจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง “เจ้าหนุ่มที่ไม่เคยออกจากจักรวาลคนหนึ่งอาศัยอะไรจึงได้สมบัติพิทักษ์วิถีมาได้ แต่ข้ากลับไม่มีอย่างนั้นหรือ”

ระหว่างที่เขากำลังคลุ้มคลั่งนั่นเอง เขาก็มองไปอีกทางหนึ่งเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา นั่นก็คือทิศที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอยู่นั่นเอง

กู่กานหลัวเพ่งความสนใจไปที่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิง อีกทั้งมิเคยสนใจผู้ปกครองคนอื่นมาก่อนเลย แต่ตัว ‘เรือบินอลวน’ เองก็แผ่รัศมีไปทั่วอากาศโดยรอบ จึงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวพิเศษจากทางฝั่งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต

“นั่นมัน…” กู่กานหลัวหน้าถอดสีเสียแล้ว

……

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอีกคนหนึ่งมาถึงกลางอากาศ นั่นคือร่างซึ่งเดิมทีอยู่ในเกาะใจกลางทะเลสาบ ฉากนี้ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึกและคนอื่นๆ พากันตกใจไปหมด เพราะตั้งแต่สงครามดำเนินมาจนถึงบัดนี้ ผู้ปกครองแต่ละคนก็ไม่เคยให้ร่างทั้งหมดเข้ามาอยู่ในสนามรบพร้อมกันมาก่อน! กฎนี้ยังเป็นสิ่งที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตั้งขึ้นมาเองด้วย

แต่ตอนนี้ร่างทั้งสามของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตล้วนปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว

“วิ้ง” ร่างทั้งสามของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มให้กัน ขณะเดียวกันร่างกายก็รวมเข้าด้วยกันเป็นจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตอาภรณ์สีแดงเพียงร่างเดียว

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมีเพียงร่างเดียวในทั้งจักรวาลแห่งนี้

ตู้มมม…

ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากกร่างของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต อากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลรอบด้านกลายเป็นความมืดมิดไปหมด เมฆสีดำพลิกหมุนอยู่ในนั้น รอยอักขระของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่ ค่ายกลอันใหญ่โตแห่งแล้วแห่งเล่าแผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้ารอบด้าน อานุภาพอันยิ่งใหญ่ชวนให้คนหวาดหวั่นทำให้คนทุกผู้ในที่นั้นตะลึงงันไปหมด

ทุกบริเวณที่สายตามองไปถึง อากาศทั่วบริเวณล้วนกลายเป็นความมืดมิด เกรงว่าความกว้างใหญ่ของบริเวณนี้คงจะเกินกว่าหมื่นล้านล้านลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจ จึงล่วงรู้ว่าบัดนี้ บริเวณอันดำมืดไร้ที่สิ้นสุดซึ่งท่านอาจารย์ของตนปลดปล่อยออกมานั้นกินพื้นที่มากจนน่าหวาดหวั่น ครอบคลุมถึงหนึ่งแดนดาราเลยทีเดียว

“เทพอากาศ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจจนสิ้นแล้ว

“เทพอากาศ” ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผางอี ผู้ครองชิง ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และคนอื่นๆ เข้าใจขึ้นมา เมื่อมองเห็นอานุภาพซึ่งเหนือกว่าผู้ปกครองลิบลับระลอกนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจทั้งสิ้น

“ในที่สุดคมมีดโลหิตก็ก้าวข้ามขั้นนี้จนได้ ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาบรรลุเอาในเวลานี้” ประมุขหยวนชูเผยรอยยิ้มออกมา

“เทพอากาศเชียวนะ ยุคจักรวาลของพวกเรานี้ก็มีเทพอากาศถือกำเนิดกับเขาแล้ว” บรรพชนหุบเหวลึกรำพึง

ประมุขเกาะกาลมิติกลับมองดูอย่างเงียบเชียบ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่หยิ่งผยองยิ่งนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ไม่ยอมศิโรราบ แต่ยามนี้เขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างกันแล้ว จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ก้าวไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งแล้ว ทวยเทพ เทพโลกา เทพแท้และเทพอากาศ ตั้งแต่เทพแท้ไปจนถึงเทพอากาศ นี่เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นอันยิ่งใหญ่ ความยากในการข้ามผ่านนั้นสูงยิ่งนัก

“ยุคจักรวาลของพวกเรานี้ยังมีเวลาอีกมากมายนัก” ผางอีเห็นเข้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “คมมีดโลหิตสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ตอนที่ยุคจักรวาลนี้สิ้นสุด เกรงว่าคมมีดโลหิตคงจะสามารถบรรลุถึงระดับสูงเหมือนกับจอมมารได้กระมัง!” ระดับสูงเท่ากับประมุขเกาะใจกลางทะเลสาบนั้นมิกล้าเพ้อฝัน แต่ระดับเดียวกับจอมมารยังพอมีหวัง

แม้บรรดาผู้บำเพ็ญและผู้ปกครองในที่นั้นจะตื่นตระหนกเป็นอันมาก และมีบางคนที่มีอารมณ์อื่นๆ แต่พวกเขาก็ล้วนยินดีนัก!

เพราะยุคนี้มีเทพอากาศถือกำเนิดขึ้นมา เช่นนั้นต่อให้ยุคนี้แตกสลายไป เทพอากาศก็สามารถพาพวกเขาท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านและมีชีวิตรอดต่อไปได้ ถึงขั้นไปยังฟ้าดินอันกว้างขวางกว่าได้

……

“อะไรกัน เทพอากาศรึ เขา เขาบรรลุเป็นเทพอากาศอย่างกะทันหันหรือนี่” กู่กานหลัวตกใจมากจนหน้าถอดสี ตอนที่เขาอยู่ในระดับยอดนั้น อาศัยเรือบินอลวนก็สามารถใช้กำลังต่อสู้กับเทพอากาศได้ แต่ตอนนี้เพื่อรับมือตงป๋อเสวี่ยอิง อาการบาดเจ็บก็สาหัสยิ่งนัก มิอาจห้ำหั่นได้อย่างยาวนานอีกต่อไป

“กู่กานหลัว!”

เสียงของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลับดังก้องไปทั่วอากาศอันไร้ที่สิ้นสุด นัยน์ตาของเขาแฝงแววเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขามองไปทางเรือบินอลวนอันไกลลิบ

ตู้มมมมม…

ด้านบนและด้านล่างของเรือบินอลวนต่างก็มีค่ายกลมหึมาปรากฏขึ้น ค่ายกลแห่งหนึ่งเป็นเปลวเพลิงดำมืด ส่วนอีกแห่งหนึ่งกลับเป็นความหนาวเย็นสีขาว ค่ายกลใหญ่ทั้งสองกำลังหมุนเวียนอยู่ พละกำลังที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงส่งผลต่อเรือบินอลวน หมายจะพันธนาการและผนึกเรือบินอลวน เอาไว้ให้มั่น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองก็รู้ว่ายากที่จะทำลายได้โดยตรง จึงคิดจะจองจำฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ก่อน

“เขาเพิ่งสำเร็จเป็นเทพอากาศก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” กู่กานหลัวสัมผัสได้ถึงอานุภาพที่เรือบินอลวนกำลังประสบ เขาอดหน้าถอดสีไม่ได้

เขายังไม่รู้ว่า

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบำเพ็ญสองระบบควบคู่กัน ระบบแรกคือความเร้นลับของกฎเกณฑ์ อีกระบบก็คือระบบ ‘ทิพย์’ ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกลและการหลอมอาวุธ

ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นมุ่งไปที่แก่นแท้ และการเข้าถึงกฎเกณฑ์

ส่วนระบบทิพย์กลับตรงกันข้าม เนื่องจากเป็นการค้นคว้าหมื่นสรรพสิ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เชื่อว่าระบบ ‘ทิพย์’ นั้นไม่แพ้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย มันซับซ้อนและแข็งแกร่ง อย่างยิ่งเช่นเดียวกัน! ครั้งนี้ที่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตบรรลุก็คือระบบทิพย์ หากพูดถึงพลังรบแล้ว อาจจะแข็งแกร่งกว่าระบบที่เรียบง่ายบางระบบเช่นระบบลัทธิจอมมารดาอยู่ไม่น้อย  หากในภายหน้าความเร้นลับของกฎเกณฑ์บรรลุอีก เมื่อทั้งสองระบบผสานกัน ก็จะน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปอีก

“รีบไปเร็วเข้า ข้ามิอาจห้ำหั่นได้นานนัก” กู่กานหลัวไม่กล้ารั้งรอเลยแม้แต่น้อย

“ฟิ้ว!”

เรือบินอลวนพลันกลายเป็นกึ่งโปร่งใส แล้วบินออกไปไกลเสียงดังสวบ อีกทั้งอากาศที่บริเวณหนึ่งไกลออกไปก็เริ่มฉีกขาดออกเป็นเยื่อบางๆ หลายชั้น ราวกับคลี่ม่านออกอย่างไรอย่างนั้น เผยให้เห็นอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างขวางและหนาวเหน็บยิ่งกว่าของโลกภายนอก! อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นดูเหมือนจะว่างเปล่า แต่กลับมีพละกำลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งยิ่ง

“เขาจะไปแล้วหรือ” พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตต่างก็เข้าใจ

“เรือบินอลวนลำนี้ร้ายกาจนัก ตอนที่ข้าเพิ่งจะบรรลุก็ต้านทานไม่ได้จริงๆ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็เข้าใจในข้อนี้ดี

ส่วนภายในเรือรบซวีมู่ของลัทธิจอมมารดา เจ้าลัทธิกลุ่มนั้นต่างพากันมองฉากนี้ด้วยความสิ้นหวัง ก่อนหน้านี้ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงน้ำเต้าสีดำออกมาแล้วชิงเจดีย์สังเวยแห่งแรกไปนั้น พวกเขาก็มึนงงไปหมดแล้ว เมื่อจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสำเร็จเป็นเทพอากาศก็ยิ่งทำให้พวกเขาสิ้นหวังเข้าไปใหญ่ ลำพังแค่เจดีย์สังเวยถูกชิงไปก็ยังสามารถหลอมขึ้นมาใหม่ได้ แต่การถือกำเนิดของเทพอากาศผู้หนึ่ง…เป็นการลิขิตว่าพวกเขาจบสิ้นแล้ว

แต่พวกเขาก็ยังโอบอุ้มความหวังสายหนึ่งเอาไว้ หวังว่ากู่กานหลัวจะช่วยพวกเขาให้หนีไปได้ แต่ยามนี้กู่กานหลัวกลับไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

……

“นายท่าน พาชาวเผ่าของข้าจากไปเถิด สมบัติล้ำค่าของพวกเขาจะมอบให้ท่านหมดเลย ให้หมดเลย” เจ้าลัทธิซางตานมองกู่กานหลัว รูปสลักขนาดมหึมาตรงหน้าพลางวิงวอน

“อาการบาดเจ็บของข้าสาหัสมาก จะรั้งรอต่อไปมิได้แล้ว”

กู่กานหลัวพูดด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง

ยามนี้อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสอย่างยิ่งโดยแท้ วิญญาณเจ็บปวดแสนสาหัสราวจะฉีกขาด เขาทนไม่ไหวจนจะต้องเข้าสู่ห้วงนิทรา เพียงแต่กัดฟันทนเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจให้เสียไปกับลัทธิจอมมารดาเลย สมบัติล้ำค่าพวกนั้นของลัทธิจอมมารดาน่ะหรือ เท่าที่เขารู้ยังเก็บเอาไว้ในป้อมปราการแห่งนั้นอยู่เลย! เขามิอาจเสียเวลาได้ อีกทั้งเขาก็กลัว  กลัวว่าจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะมีวิธีจัดการกับวิญญาณของเขา เรือบินอลวนมิอาจต้านทานการโจมตีวิญญาณได้ ที่ผ่านมา วิญญาณของเขายังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง  แต่ตอนนี้วิญญาณของเขากลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด…อาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไป จวนจะต้องเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว  หากได้รับบาดเจ็บอีก เกรงว่าคงจะต้องจบเห่แล้ว

เพื่อชีวิตของตน ไหนเลยเขาจะสนใจลัทธิจอมมารดา!

“ข้าไม่ได้อะไรเลย อาการบาดเจ็บก็สาหัสยิ่งขึ้น จักรวาลผู้บำเพ็ญ…พวกเจ้าอย่าคิดว่าจะผ่านวันคืนไปด้วยดีเลย” ตอนที่เรือบินอลวนบินออกไปตามทางเชื่อม ก็พลันมีเสียงฟิ้วๆๆๆๆ ดังขึ้น…ลำแสงถึงเก้าสายทะยานออกจากเรือบินอลวน มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่แตกต่างกัน ลำแสงแต่ละสายล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ

“พวกเจ้าลิ้มรสของเล่นทั้งเก้าชิ้นนี้ของข้าให้สาสมเสียเถอะ หากประมาทเพียงเล็กน้อย ยุคของพวกเจ้านี้ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว” นัยน์ตาของกู่กานหลัวเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง ก็ต้องไม่ให้ผู้บำเพ็ญใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเช่นกัน

……

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองเรือบินอลวนลำนั้นจากไปโดยมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นลำแสงเก้าสายก็ทะยานออกมาจากเรือบินอลวนแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน

“นี่มันอะไรน่ะ” ด้วยการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่ออากาศ จึงสามารถสัมผัสลำแสงแต่ละสายได้อย่างง่ายดาย ลำแสงทั้งเก้าสายนี้…อันที่จริงคือลูกกลมสีดำเก้าลูก ภายในมีอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นขั้นสุดบรรจุเอาไว้ พวกมันมิได้บริสุทธิ์เหมือนเพลิงทองสุริยัน แต่ปะทุรุนแรงและสับสนอลหม่านยิ่งกว่า ยามนี้อานุภาพเหล่านี้ไม่เสถียร คล้ายจะสามารถระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา

“อานุภาพนี้ปะทุรุนแรงกว่าเพลิงทองเสียอีก หากปะทุออกมาจนหมด ความเสียหายที่มีต่อจักรวาลก็ช่างมิอาจจินตนาการได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี

การรับรู้ของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไวต่อสัมผัสยิ่งกว่า

ระดับขั้นอย่างเขา ไวสัมผัสต่อต้นกำเนิดของทั้งจักรวาลนัก เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่า หากปล่อยให้ลูกกลมทั้งเก้าปะทุออกไป ก็เพียงพอจะทำให้ยุคจักรวาลนี้แตกทำลายได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตรู้สึกหนาวเหน็บและเดือดแค้นขึ้นมา เพราะความโหดเหี้ยมของกู่กานหลัว

“เสวี่ยอิง เจ้าใช้น้ำเต้าสีดำปลดปล่อยเพลิงทองออกมาโอบล้อมพวกเขาเสีย พยายามทำให้อานุภาพของพวกมันอ่อนกำลังลงให้มากที่สุด มิเช่นนั้นแล้วยุคจักรวาลของพวกเราก็คงจะหมดกัน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ไม่มั่นใจนัก ยามนี้ทำได้เพียงสู้สุดชีวิตเท่านั้น เขาเริ่มทำให้ค่ายกลอ่อนกำลังลงอย่างเต็มที่

ส่วนผางอี ผู้ครองชิง บรรพชนหุบเหวลึก ประมุขหยวนชูและเจ้าแม่กานเหอต่างก็มองดูลำแสงทั้งเก้าสายนั้น…การรับสัมผัสของพวกเขาหม่นมัวไป

พวกเขามีเพียงความรู้สึกเดียวเท่านั้น

ก็คือความหวั่นเกรง!

ความหวั่นเกรงที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ ความหวั่นเกรงอันสิ้นหวัง

“มิเช่นนั้นแล้วยุคนี้จะสิ้นสุดลงแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินสิ่งที่ท่านอาจารย์ถ่ายเสียงมาก็ใจสั่นไปหมด จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาเป็นเพียงเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นเท่านั้น ลูกๆ ก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่

“ไม่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แยแสความอาฆาตเคียดแค้นของกู่กานหลัว เขารีบดึงจุกน้ำเต้าสีดำออกมาด้วยความบ้าคลั่ง

………………………………..