บทที่ 244 ปีศาจที่ยังคงอยู่ในจิต
หลิงฟ่างหัวมองไปที่จี้จู่ด้วยความคาดหวัง ตอนนี้นางต้องการพัฒนาความเข้าใจเรื่องของมิติเป็นอย่างมาก
แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของนางจะอยู่แค่ขอบเขตควบแน่นลมปราณ แต่วิชาของนางเป็นวิชาสำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา หากนางไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับมิติจนเพียงพอนางย่อมไม่สามารถฝึกฝนได้เมื่อนางได้ก้าวไปถึงขอบเขตนภา
หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่สามารถให้ความรู้เรื่องนี้กับนางได้ เพราะตัวหลิงตู้ฉิงเองก็ไม่เก่งเรื่องกฎแห่งมิติเช่นกัน
ด้วยการข่มขู่ของหลิงตู้ฉิง จี้จู่ก็เหงื่อแตก เขาเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าบอกเจ้าได้เกี่ยวกับกฎแห่งมิติ แต่หลังจากที่ข้าบอกเจ้า เจ้าต้องปล่อยข้าไป”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเย็นชาว่า “สำหรับศัตรูอย่างเจ้าที่สามารถเดินทางผ่านมิติได้ ข้าไม่โง่พอที่จะปล่อยเจ้าไปหรอก”
“งั้นข้าก็จะไม่พูด ถ้าเจ้าอยากจะฆ่าข้าก็เชิญ แต่เจ้าก็จะไม่ได้อะไรจากข้าอยู่ดี” จี้จู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
หลิงตู้ฉิงมองไปที่จี้จู่อย่างเย็นชาและพูดว่า “ได้! ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเจ้า! งั้นข้าจะเป็นคนทำให้เจ้าเปิดปากเอง!”
เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ อักขระเวทย์ที่อยู่ภายในคฤหาสน์สราญรมย์ก็เริ่มรวมตัวกันเข้าหาเขา
ส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงพุ่งขึ้นไปถึงขอบเขตสวรรค์ทันที แต่ถ้าหากจะถามถึงระดับนั้นแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าไปถึงขอบเขตสวรรค์ระดับที่เท่าไหร่
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็เริ่มบริกรรมคาถา จนคาถาที่เขาออกเสียงออกมาเริ่มควบแน่นกลายเป็นตัวอักษรให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า และอักษรเหล่านั้นก็เริ่มบินไปประทับบนร่างของจี้จู่จนเต็มทั่วร่าง
หลังจากนั้นไม่นาน จี้จู่ที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายถูกประทับอยู่ก็คุกเข่าต่อหน้าหลิงตู้ฉิงอย่างเคารพ และเริ่มพูดกี่ยวกับความเข้าใจในการเดินทางผ่านห้วงมิติและกฎแห่งมิติ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่จี้จู่ด้วยสายตาเย็นชาแล้วหันกลับมาถามหลิงฟ่างหัวว่า “ลูกพ่อ เจ้าเข้าใจไหม?”
“ข้าไม่เข้าใจ…” หลิงฟ่างหัวตอบอย่างกระอักกระอ่วน
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดกับจี้จู่ “ลูกของข้ายังคงไม่เข้าใจที่เจ้าอธิบาย เจ้าจงเอาชิ้นส่วนวิญญาณที่เก็บความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับกฎแห่งมิติมาให้ข้า”
“รับทราบ!” จี้จู่ฉีกวิญญาณของตัวเองเป็นชิ้น ๆ ทันที
หลิงตู้ฉิงเอื้อมมือไปหยิบชิ้นส่วนวิญญาณ เขาจับพวกมันและหลอมมันเข้าไปในหัวของหลิงฟ่างหัว
“ความรู้ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าจงค่อย ๆ ดูดซับและทำความเข้าใจมันอย่างช้า ๆ!” หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “นอกจากนี้มันยังช่วยเสริมสร้างรากฐานจิตวิญญาณของเจ้าให้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ!”
หลิงฟ่างหัวมองไปที่จี้จู่ที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของเขา แต่ในดวงตาเขากลับมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพ นางถือว่าได้เห็นอีกด้านหนึ่งของความน่าหวาดกลัวของพ่อของนาง
“นอกจากนี้พ่อจะปลุกสายเลือดของหนูมิติทั้งหมดให้หลอมรวมเข้าไปในร่างกายเจ้าด้วยเช่นกัน” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
หลังจากนั้นจี้จู่ก็ถูกหลอมเป็นก้อนเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ซึ่งก้อนเลือดนี้ประกอบไปด้วยแสงสีดำสลับสีขาวหมุนวนโอบล้อมก้อนเลือดวูบวาบดูแปลกตา จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ควบแน่นมันเข้ากับร่างกายของหลิงฟ่างหัว
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป?” หลิงฟ่างหัวถามด้วยความกังวล
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะดูสงบมาก แต่นางก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่รุนแรงภายใต้ความสงบนั้น นางไม่เคยเห็นพ่อของนางน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน มันน่ากลัวยิ่งกว่าครั้งที่แล้วที่เขาทำลายฟางเหล่ยถงเป็นชิ้น ๆ เสียอีก
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเรียบเฉย “พ่อไม่เป็นอะไร มันคือจิตสำนึกปีศาจภายในของพ่อเอง! เอาล่ะ ถ้าเจ้าดูดซับสายเลือดของหนูมิติจนสมบูรณ์และเข้าใจถึงพลังของสายเลือดรวมไปถึงชิ้นส่วนจิตวิญญาณของอสูรโลหิตนี่แล้ว ความแกร่งของเจ้าจะได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”
“ท่านพ่อต้องการให้ข้าทำอะไรให้ไหม?” หลิงฟ่างหัวไม่สนใจที่พ่อของนางอธิบาย นางยังคงถามเกี่ยวกับอาการของหลิงตู้ฉิงอย่างเป็นห่วง
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าตั้งใจบ่มเพาะให้ดีเท่านั้นก็พอ” พูดจบหลิงตู้ฉิงก็หันหลังและจากไป
เขากลับไปที่ห้องและขังตัวเองไว้ เขานั่งเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สงบลง ก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าจะมีปัญหา! นี่ข้าก็บ่มเพาะเต๋าตู้ฉิงมาเป็นเวลานานแล้ว ทำไมการฆ่าคนแค่ไม่กี่คน มันเกือบจะทำให้ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือว่าเต๋าในชาติก่อนของข้ามีพลังมากเกินไป?”
เมื่อหลิงตู้ฉิงเดินออกจากห้อง มีคนหลายคนยืนคอยเขาอยู่ที่ประตูและมองมาด้วยความกังวล หลิงฟ่างหัวได้แจ้งให้ทุกคนรู้เรื่องของพ่อนางแล้วและพวกเขาก็รีบมาทันที
“สามี ท่านสบายดีไหม?” จ้าวเหมิงลู่และเหลียงเฟ่ยเอ๋อถาม
“สามี มีอะไรที่ต้องการให้เราช่วยไหม?” มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็ถามเช่นกัน
“ท่านพ่อ พวกเราทำอะไรให้ท่านได้บ้างรึเปล่า?” เด็ก ๆ ถามขึ้นด้วยแววตาเป็นห่วง
หลิงตู้ฉิงพูดกับเด็ก ๆ ก่อนว่า “พวกเจ้าไปฝึกฝนตามที่พ่อสอนพวกเจ้าก่อนเถอะ”
หลังจากเด็ก ๆ จากไป หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้หญิงและพูดว่า “ตอนนี้ข้าต้องบ่มเพาะร่วมกับพวกเจ้า!”
บรรดาหญิงสาวเมื่อได้ยินเช่นนี้พวกนางต่างก็รู้สึกตื่นตัว ในเมื่อนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกของพวกนางกับหลิงตู้ฉิงสักหน่อยที่จะมีอะไรกัน แถมในเมื่อรอบนี้เป็นหลิงตู้ฉิงที่พูดเริ่มก่อนด้วยซ้ำ! ดังนั้นพวกนางไม่มีมาเขินอายอีกแล้วแน่นอน ลุยกันเลย!
อย่างไรก็ตามในขณะที่เหล่าสาว ๆ ทั้งหมดกำลังจะตอบหลิงตู้ฉิง โจวจื่อซินก็รีบพูดว่า “ท่านพี่หญิงทั้งหลายถึงตาข้าแล้ว! ข้ารอนายท่านมา 2-3 ปีแล้ว และตอนนี้ข้าก็ยังไม่สมหวังเลย เอ๊ะใช่! เดี๋ยวข้าต้องแต่งหน้าสักหน่อย”
เมื่อเห็นโจวจื่อซินทำตัวราวกับว่านางต้องการรับมือกับหลิงตู้ฉิงเพียงคนเดียว จ้าวเหมิงลู่และสาวคนอื่น ๆ ก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยและหันจากไป
“ข้าหวังว่านางจะไม่ร้องขอความเมตตาจากเขา!” มี่ไลพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราก็ต้องตรียมตัวให้พร้อมเช่นกัน มีบางอย่างผิดปกติกับสามี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูกังวลขนาดนี้!” จ้าวเหมิงลู่พูดขึ้น
คนอื่น ๆ ทั้งหมดพยักหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง โจวจื่อซินที่ผูกขาดการบ่มเพาะร่วมกับหลิงตู้ฉิง นางมีความสุขมาก
จากนั้น…
พลังวิญญาณภายในคฤหาสน์สราญรมย์เริ่มผันผวนอย่างรุนแรงอีกครั้ง
1 วันต่อมา โจวจื่อซินเริ่มเสียใจเนื่องจากว่าตอนนี้นางได้รับความสุขมากไปจนเกินพอดี
ในอีกด้านหนึ่ง เด็ก ๆ ที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณในบริเวณนรอบคฤหาสน์อย่างรุนแรง พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
คนอื่น ๆ ต่างก็กลับไปที่เรือนของพวกเขาเพื่อทำกิจวัตรของตัวเองตามปกติ ในขณะที่หลิงยี่เทียนและหลิงว่านจุนยังคงสนทนากันต่อไป
“พี่สี่นี่คือแผนของข้า ท่านมีอะไรจะเพิ่มเติมไหม?” หลิงยี่เทียนถาม
หลิงว่านจุนส่ายหัวและพูดว่า “ข้าคงไม่มีอะไรเพิ่มเติมหรอก จำไม่ได้เหรอที่ท่านพ่อเคยบอกว่าถ้าในเรื่องการวางแผนต่าง ๆ แล้วข้าสู้เจ้าไม่ได้ และอีกอย่างข้าเองตอนนี้ก็ยังไม่เห็นว่าแผนที่เจ้าคิดมันไม่ดีตรงไหน”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ถ้างั้น เมื่อข้าได้ขึ้นสู่บัลลังก์ ข้าจะทำตามแผนของข้าและมอบตำแหน่งจอมทัพและอำนาจบัญชาการทางทหารทั้งหมดให้ท่าน!”
“ถ้าข้าได้เป็นจอมทัพแล้วท่านปู่ทวดล่ะ?” หลิงว่านจุนถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยี่เทียนสะอึกพร้อมกับครุ่นคิดสักพักและพูดว่า “งั้นข้าจะให้ท่านปู่ทวดเป็นมหาจอมทัพเป็นไงพี่สี่?”
หลิงว่านจุนส่ายหัว “นะ นี่เจ้ากำลังทำให้ข้ารู้สึกว่าตำแหน่งจอมทัพมันเป็นแค่ไพร่พลชั้นเลวหยั่งงั้นแหละ แล้วคือยังไง? เจ้าจะให้ท่านปู่ทวดคอยสั่งการทัพจากด้านหลังในขณะที่ข้าเป็นจอมทัพต้องต่อสู้อยู่แนวหน้ายังงั้นน่ะเหรอ!”
“พี่สี่นี่ฉลาดจริง ๆ เลย!” หลิงยี่เทียนหัวเราะ
“เจ้าหลอกให้ข้าออกความเห็นอีกแล้ว!” หลิงว่านจุนบ่น
หลิงยี่เทียนยิ้มและพูดต่อ “ปัจจุบันเรามีกองทัพศักดิ์สิทธิ์และกองกำลังที่นำโดยท่านลุงสาม(หลิงฉุยฟง) แต่ข้าต้องการให้พี่สี่เป็นจัดตั้งกองทัพของท่านเองด้วยโดยมีท่านเป็นผู้นำ และข้าก็คิดชื่อกองทัพของท่านเอาไว้แล้ว ข้าตั้งชื่อให้ท่านว่ากองทัพมังกร เพราะชื่อนี้มันเหมาะกับตัวตนของพี่สี่และมันจะเป็นกองทัพแรกของเราสองพี่น้อง!”
หลิงว่านจุนพยักหน้าและพูดว่า “เรื่องอื่น ๆ เจ้าตัดสินใจเอาละกัน แต่ข้าต้องขอเลือกคนที่จะเข้ามาอยู่ในกองทัพของข้าเองเท่านั้น!”
“ได้เลยพี่สี่ ยังไงซะสำหรับเรื่องทหาร ข้าก็ไม่ชำนาญเท่ากับท่านอยู่แล้ว!” หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ว่าแต่ท่านจะมีคำขออะไรอื่น ๆ อีกไหม?”
ดวงตาของหลิงว่านจุนสว่างขึ้น เขาพูดว่า “ข้าต้องการทหารผ่านศึกจากกองทัพประจำการของอาณาจักร! นอกจากนี้หลังจากที่ท่านพ่อเสร็จจากธุระทุกอย่างแล้ว ข้าจะไปขอค่ายกล กระบวนรบ รูปแบบการเคลื่อนทัพจากท่านพ่อ และข้าคิดว่าเราควรมีสถาบันที่สอนเกี่ยวกับค่ายกลไว้ด้วย มิฉะนั้นพวกเราก็ต้องรบกวนท่านพ่อไปตลอดอยู่อย่างนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควร”
หลิงยี่เทียนพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะเต็มใจช่วยเราอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องสร้างอาณาจักรของเราเอง แต่ว่าหลังจากนี้ข้าคิดว่าจะต้องหาโอกาสคุยกับพ่อของน้ามี่”
ทั้งสองพี่น้องเมื่อตกลงกันได้แล้วพวกเขาต่างยิ้มให้กัน พวกเขาเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน และทั้งคู่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
ส่วนเหตุผลที่พวกเขาต้องการคุยกับมี่ตั้วตั้วนั่นก็เพราะพวกเขาจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนบางอย่างกับมี่ตั้วตั้ว!