ตอนที่ 150 ไม่มีความสามารถเช่นนั้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาถึงได้ทูลออกไปว่า ” ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นบุรุษ มิอาจถวายตัวปรนนิบัติได้ “ 

 

 

” เจ้าเป็นกระเทย เราสั่งให้เจ้าถวายตัว เจ้าก็ต้องทำ ” จีเฉวียนไม่ให้โอกาสเขาได้ปฎิเสธแม้แต่น้อย 

 

 

ซูเม่ยรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังขึ้นมา เรื่องของฝ่าบาทและท่านราชครูที่ไม่ว่าใครที่รู้ต่างก็ไม่กล้าพูดออกมา 

 

 

จีเฉวียนทางหนึ่งก็มีความสัมพันธ์อันคลุมเคลือกับราชครู ทางหนึ่งก็หมายตาอาหลัน สองด้านต่างคว้าเอาไว้ไม่พอ แม้กระทั่งตัวเขาก็ยังจะรวบเอาไปด้วย?  

 

 

สายตาของซูเม่ยสาดประกายเย็นวาบขึ้นมา เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามเขาก็ยังไม่อาจต่อต้านได้สำเร็จ 

 

 

ครู่ต่อมาก็ได้ยินฝ่าบาทรับสั่งอีกว่า “อีกสิบเดือนจะต้องมีทำตอบให้ไทเฮา ในเมื่อนางชมชอบราชนัดดานัก ก็มีให้นางเสีย” 

 

 

คราวนี้ซูเม่ยถึงกับ……นี่ฮ่องเต้ทรงไม่ถือสาเขาที่ไหนกัน?  

 

 

เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังผลักเขาไปสู่ความตายโดยแท้ เขาเป็นบุรุษ จะไปเอาพระราชนัดดาจากไหนมาถวายให้ได้กัน?  

 

 

” ฝ่าบาท กระหม่อม……ไม่มีความสามารถแบบนั้นจริงๆ พะยะค่ะ” 

 

 

” นั่นมันเรื่องของเจ้า เจ้าไปหาทางจัดการเอาเอง ในเมื่อนางต้องการลูกของเจ้า เจ้าก็ไปคิดหาวิธีเอา” 

 

 

จีเฉวียนตรัสเพียงเท่านี้ ซูเม่ยก็เข้าใจขึ้นมาอีกหลายส่วนแล้ว ฮ่องเต้ต้องการให้เขาไปหลับนอนกับสตรีอื่น จากนั้นก็มีลูกออกมาให้อาหลันอุ้มเล่น?  

 

 

ช่างเป็นฮ่องเต้ที่ดีนัก!  

 

 

แม้แต่สายโลหิตราชวงศ์ก็ยังไม่สนใจ!  

 

 

คิดจะใช้วิธีนี้ ขับไล่เขาไปจากข้างกายอาหลัน แล้วยังกล้าพูดว่าไม่ได้พอใจในตัวอาหลันอีกหรือ?  

 

 

ตรัสแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาอีก เพียงทอดพระเนตรมองเขาอย่างเย็นชา ” เราเหนื่อยแล้ว ต้องการจะพักผ่อน” 

 

 

ซูเม่ยตัดสินใจถอยหลังไปในทันที เพื่ออาหลันแล้ว เขาจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ของร่างกายนี้เอาไว้ให้ได้!  

 

 

” เจ้านอนบนพื้น เราจะนอนบนที่นอน หากว่ามีเสียงดังจนทำให้ตื่น……..” พอพูดถึงตรงนี้จีเฉวียนก็หยุดไปชั่วขณะ “หากว่ามีเสียงดังจนทำให้ตื่น เราก็อาจจะฆ่าคน” 

 

 

ซูเม่ย “………..” แบนนี้แหละที่เขาว่า เห็นแล้วไม่สบอารมณ์ เลยคิดหาวิธีมากำจัดกัน จะอย่างไรเขาก็ถือเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหย่งเฉิงอ๋อง มีหรือที่จะถูกฆ่าเอาได้ง่ายๆ กัน?  

 

 

 

 

 

…………………………. 

 

 

 

 

 

ดึกดื่นมากแล้ว แต่ไฟในพระตำหนักบรรทมยังคงไม่ถูกดับลง เหล่าขันทีน้อยต่างพากันลอบมองมาแต่ไกล แล้วก็อดที่จะหน้าแดงไปตามๆ กันไม่ได้ 

 

 

นี่ฝ่าบาท……….นานเกินไปแล้วหรือไม่ ไม่รู็ว่าซูกุ้ยเฟยจะรับไหวได้กี่รอบกัน 

 

 

 

 

 

……………… 

 

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้น ยามที่ฝ่าบาทและซูกุ้ยเฟยต่างก็ตื่นบรรทมกันแล้ว เหล่าขันทีน้อยถึงได้เขาไปดูแลภายในห้องบรรทม 

 

 

จุ๊ๆๆ …..ในห้องบรรทมถึงกับมีสภาพเละเทะวุ่นวายไปหมด!  

 

 

โดยเฉพาะบนเตียงบรรทม ราวกับได้ผ่านสงครามที่รุนแรงมาอย่างไรอย่างนั้น แถมยังมีรอยเลือดพวกนั้นอีก ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่าเมื่อคืนนี้มีความเคลื่อนไหวที่คึกคักเพียงไหนกัน 

 

 

เรื่องของฝ่าบาทกับท่านราชครูจะยังคลุมเครืออย่างไรนั้นไม่มีใครรู้ แต่ว่ากับซูกุ้ยเฟยนั้น …….อันนี้สิของจริง ถึงขนาดที่รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว 

 

 

ยามที่ข้ารับใช้ในวังได้เห็นซูกุ้ยเฟยเสด็จออกไปนั้น นางมีท่าทางระทดระทวย สีหน้าปราศจากสีเลือด เส้นผมล้วนยุ่งเหยิง ไหนเลยจะดูงดงามเย้ายวนเหมือนยามปกติได้อีก ดูไปประหนึ่งลูกแกะตัวน้อยที่พึ่งรอดชีวิตจากการถูกหมาป่าตัวใหญ่รังแกมา 

 

 

ใบหน้าของข้ารับใช้ทั้งหลายยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ต่างคนก็ต่างพยายามเข้าไปแสดงความยินดีกับนาง 

 

 

” กุ้ยเฟยเพคะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านก็ถือเป็นอันดับหนึ่งในวังหลังแล้วนะเพคะ ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านนัก “ 

 

 

” ใช่เพคะ กุ้ยเฟย พวกบ่าวไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงโปรดปรานผู้ใดเช่นนี้มาก่อนเลย” 

 

 

” ขอแสดงความยินดีกับกุ้ยเฟย “ 

 

 

เสียงแสดงความยินดีมากมายนั้น ซูเฟยคล้ายจะได้ยินอยู่เพียงริมหูเท่านั้น 

 

 

เขานอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบอยู่ทั้งคืน กระทั้งผ้าซับระดูผืนนั้นยังเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง หากรู้แต่แรกละก็คงจะไม่ต้องเทเลือดกระต่ายลงไปมากมายถึงเพียงนั้น 

 

 

ตอนนี้ร่างกายของเขาหนักอึ้งไปหมด เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เจออันหว่านจือขวางรออยู่ข้างหน้า 

 

 

เมื่อคืนอันหว่าจรือสลบอยู่ด้านนอกตลอดทั้งคืน วันนี้สีหน้าของนางจึงไม่สู้ดี กระทั่งริมฝีปากก็ยังเย็นแข็งจนเกือบม่วง 

 

 

พอเห็นซูเม่ยที่มีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง อันหว่านจือก็ยิ่งคิดไปถึงเสียงที่ไหนยินเมื่อคืนนี้ สีหน้าของนางจึงยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก 

 

 

ในเมื่อมีผู้คนมากมายลอบดูอยู่ นางย่อมไม่กล้ากระทำอะไรกับซูเม่ย เพียงแต่จ้องเขม็งไปที่หน้าอกของเขา 

 

 

นางขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที ….ตอนอยู่ในเขาจงหลิงนางเคยไปมาหาสู่กับซูเม่ยอยู่หลายครั้ง นางจำได้ว่า หน้าอกของซูเม่ยไม่ได้เล็กเพียงเท่นนี้ 

 

 

ซูเม่ยไม่สนใจนาง เพียงมุ่งตรงออกจากตำหนักตี้หัวไป 

 

 

เขาไม่ได้กลับไปตำหนักชุ่ยเว่ย แต่ว่ามุ่งไปทางตำหนักเฟิ่งหมิง 

 

 

หิมะหยุดตกแล้ว แต่ว่ายังมิได้ละลายไป ลมหนาวพัดไม่ยอมหยุด ทำให้อากาศเย็นยิ่งกว่ายามหิมะตกเสียอีก 

 

 

พอเขามาถึงประตูใหญ่ของตำหนักเฟิ่งหมิง ก็ได้เห็นตู๋กูซิ่งหลันในทันที นางยังคงสวมชุดสีเขียวดำเช่นเดิม เกล้าผมอย่างง่ายๆ และมิได้แต่งหน้าเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง 

 

 

” อาหลัน ” เขาร้องเรียกออกไป ร่างกายที่หนักอึ้งพยายามก้าวออกไป 

 

 

ยามที่ตูกู๋ซิงหลันได้เห็นซูเม่ยนางค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง มีที่ไหนกันที่พึ่งผ่านคืนถวายตัวแล้ววิ่งมาหาตนเอง?  

 

 

แต่ก็ไม่รู่ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อคืนนี้นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ พอคิดว่าอีกไม่นานตนเองจะได้มีหลานที่งดงามน่ารักขึ้นมา ในใจก็เอาแต่ตื่นเต้นไม่ยอมหยุด 

 

 

พอเห็นท่าทางที่อ่อนล้าเปราะบางของซูเม่ย นางก็อดสงสารไม่ได้ 

 

 

” อาหลัน” ซูเม่ยเรียกนางติดติดๆ กัน ยื่นมือออกไปหานาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเข้าไปรับตัวเขาเอาไว้ ถึงได้พอว่ามือทั้งสองของเขาร้อนระอุ 

 

 

” ทำไมเจ้าถึงมีไข้ได้? ตู๋กูซิงหลันรีบพยุงเขาเข้าไปในตำหนักเฟิ่งหมิง พาเขาไปนอนบนเก้าอี้เอนของตนเอง 

 

 

จากนั้นก็รีบไปสั่งเชียนเชียนให้นำน้ำร้อน ผ้าเช็ดตัวมา ช่วยเขาเช็ดหน้าด้วยตนเอง 

 

 

ซูเม่ยนอนอยู่บนพื้นมาทั้งคืน ท่ามกลางฤดูหนาวที่รุนแรง จีเฉวียนกลับไม่ยอมให้ผ้าห่มเขาสักผืน แม้กระทั่งเสื้อคลุมของเขาก็ยังริบไปด้วย 

 

 

เช่นนั้นก็ยังแล้วไปเถอะ แต่เขายังเปิดหน้าต่างเอาไว้ช่องหนึ่ง ให้ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาหาตนเอง ซูเม่ยโดนรังแกเช่นนี้อยู่ทั้งคืน 

 

 

พอโดนเช่นนี้ไปเข้า ร่างกายก็ชักจะจับไข้ขึ้นมา ยามนี้จึงร้อนรุ่มไปทั้งตัว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันช่วยเขาเช็ดเสร็จ ข้อมือก็ถูกซูเม่ยเกาะกุมเอาไว้ เขาหรี่ตาจิ้งจอกนั้นมองดูนาง กล่าวเสียงอ่อนล้าว่า ” อาหลัน ข้าตายแล้วหรือยัง? “ 

 

 

“พูดจาเลอะเทอะอะไร? ” ตู๋กูซิงหลันใช้มืออีกข้างลูบศีรษะของเขา “ก็แค่มีไข้ นอนลงพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย” 

 

 

นางพูดพลางก็ช่วยเขาจัดมุมผ้าห่มไปพลาง พอเห็นว่าที่แถวคอของซูเม่ยมีรอยถลอก ก็อดที่จะจุปากไม่ได้ “อายุยังน้อยจะทำอะไรก็ต้องดูแต่พอประมาณ ดูสิทำไมถึงได้เป็นเสียขนาดนี้” 

 

 

ซูเม่ยฟังแล้วยิ่งน้อยใจหนักขึ้นไปอีก สีหน้าโศกเศร้าปานจะร้องไห้ ” ฝ่าบาท เขาไม่ใช่คน” 

 

 

เห็นอยู่ชัดๆ ว่านั่นนะเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ กระทั่งเขาที่ยังเป็นแค่ผู้เยาว์ที่อ่อนแอเช่นนี้ ก็ยังโดนรังแกเสียทีจนเจ็บช้ำ 

 

 

เขาเป็นบุรุษในคราบสตรีมาสิบเก้าปี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าตนเองเกือบจะกลายเป็นสตรีไปแล้ว ทั้งกิริยาอาการ วิธีวางตัวและแสดงออก เขาไม่เคยทำให้เกิดช่วงโหว่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่อาหลันเองก็ดูไม่ออก 

 

 

แต่ว่าจีเฉวียนกลับมองทะลุรู้ตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

ทั้งยังวางแผนรังแกเขาเช่นนี้ นี่มันจอมมารชัดๆ  

 

 

” เขาก็เป็นขนาดนี้แล้วยังจะ….” ตู๋กูซิงหลันแสนประหลาดใจ หรือจะเป็นเพราะว่านางบอกว่าเขาไม่ไหว ทั้งยังได้ตักเตือนเขาไปบ้าง เขาถึงได้มาบีบคั้นอย่างบ้าคลั่งเอากับร่างกายของเสี่ยวซูเฟย 

 

 

พอเห็นซูเม่ยที่ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ ตู๋กูซิงหลันก็เกิดความใจดีมีเมตตาที่มีอยู่ไม่บ่อยนัก นางรู้สึกว่าครั้งนี้คนเองติดค้างซูเม่ยอยู่บ้างแล้ว