Sign in Buddha’s palm 302 (II) ซูฉิน : ข้า คงต้องจริงจังแล้ว
เจ็ดจอมยุทธครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพ ปฐพีผนึกกําลังกัน แม้ตํานานยุทธเมืองฉางอันจะสูงส่งเสียดฟ้าก็ยากที่จะหยุดยั้งได้ หลังจากวันนี้ เกรงว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่คงจะถูกยึดครองโดยเหล่านิกายใหญ่เสียแล้ว
และเหล่าตํานานยุทธที่ไม่ได้อยู่ในนิกายใหญ่นั้น แน่นอนว่าจะต้องหาลู่ทางในอนาคตของตนเอง
และในตอนนี้
เหนือน่านฟ้าหลายพันเมตร
บรรพชนสายฟ้าแห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็เป็นดั่งทูตสายฟ้า กลบโลกทั้งใบด้วยสายฟ้าจํานวนมาก
ปฐมบรรพชนของนิกายเฮยหยวนก็กลายเป็นกลุ่มควันมืดมิดปกคลุมรอบตัวซูฉินอย่างเงียบๆ
บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกในทันที ทุกสิ่งที่เข้าใกล้จะถูกแช่แข็ง
เพียงชั่วครู่
ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนก็ลงมือพร้อมกัน
พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับซูฉินที่มีพลังระดับเดียวกัน แต่มีปราณเลือดและพลังชีวิตที่ยืนยาว ข้อห้ามที่สําคัญที่สุดคือการรั้งรอเวลา ดังนั้นเมื่อเริ่มลงมือ ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดก็ต้องรีบฆ่าซูฉินพร้อมกันโดยเร็วที่สุด
แต่ก็เท่านั้น
ช่วงเวลาต่อมา
ทั้งเจ็ดก็ได้เห็นซูฉินหยิบมีดเทพเจ้าปีศาจออกมา ตวัดประกายแสงสีดําเข้าใส่ฉีก
ประกายแสงของคมมีดสีดําสนิทเหมือนกับจะฉีกช่องว่างในอากาศ ตัดผ่าสายฟ้าของบรรพชนสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย สายฟ้าที่บรรพชนสายฟ้าเรียกมามันก็เป็นแค่ฟ้าผ่าธรรมดาๆ จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของซูฉินได้อย่างไร?
แกร็ก
ประกายคมมีดสีดํานั้น แทนที่มันจะแตกสลาย มันกลับพุ่งเข้าหาบรรพชนหิมะ
“ไม่ดีแล้ว!”
สีหน้าของบรรพชนหิมะเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีดของซูฉินนั้นคมกริบ แม้แต่สายฟ้าของบรรพชนสายฟ้าก็ยังตัดผ่านได้
เมื่อเห็นประกายคมมีดกะพริบเข้ามาหา บรรพชนหิมะก็ทําได้เพียงตวัดดัชนีเข้าปิดกั้นประกายคมมีดสีดําสนิทนั้น
ปีก
บรรพชนหิมะพ่นลมหายใจออกมา ร่างหายวับไปอย่างรวดเร็ว โผล่ขึ้นอีกทีในจุดที่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่นัก เห็นได้ชัดว่านางได้รับแรงกระแทกของคมมีดเทพเจ้าปีศาจ แม้ว่านางจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน
หวิ่ง!!!
ประกายคมมีดสีดําสนิทตัดผ่านภาพติดตาที่บรรพชนหิมะทิ้งเอาไว้ ฟาดฟันเข้าใส่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีที่เหลือ
ท้องฟ้าอันมืดมิดที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังของปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนถูกนั่นออกเป็นชิ้นๆ ราวกับผ้าผืนหนึ่งที่นํามาทิ้งกันประกายแสงคมมีด
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตกตะลึง แม้จะหลบเลี่ยงจากคมมีดนี้ได้ก็ตาม
ใบหน้าของจ้าวโอสถแห่งสํานักเทพโอสถเปลี่ยนไป เขาหยิบโอสถเม็ดสีแดงเพลิงออกมาโยนเข้าใส่โดยตรง ไร้ซึ่งความลังเล จากนั้นจึงตะโกน เสียงดัง “ระเบิด!”
ตูม!
แรงระเบิดที่แสนน่ากลัวกระจายไปทุกทิศทาง กวาดผืนฟ้าจนราบ ด้วยการระเบิดครั้งนี้ ประกายคมมีดสีดําก็ค่อยๆหายไป แต่ถึงกระนั้นพลังของ คมมีดที่เหลืออยู่ก็ยังคงพุ่งทะลวงต่อไปได้อีกสิบลี้ น่ากลัวอย่างยิ่ง
“ไม่ตายสักคน?”
ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
ด้วยการตวัดฟันเมื่อครู่ นอกจากไพ่ลับนับร้อยที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา ก็นับว่าซูฉินลงมือเต็มที่แล้ว แต่กลับไม่มีใครตายเลยงั้นหรือ?
เมื่อเทียบกับความผิดหวังของซูฉิน เหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดต่างหวาดกลัวอย่างสมบูรณ์
พวกเขาไม่คิดฝันว่าขนาดที่ร่วมมือกัน ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวของซูฉิน แม้แต่ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวน บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ รวมถึงคนอื่นๆ จะได้รับบาดเจ็บ?
เป็นไปได้อย่างไร?
ซูฉินต่อต้านศัตรูเจ็ดคนได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ไม่เพียงแต่ไม่ตาย แต่กลับบังคับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดให้ถอยกลับ ได้ด้วยกระบวนท่าเดียว น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ดวงตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเบิกกว้าง ถ้าไม่ใช่เพราะไอพลังที่ซูฉินแสดงออกมามันไม่ ได้เหมือนกับเซียนเทพปฐพี เกรงว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางคงคิดว่าซูฉินได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากเซียนเทพปฐพีที่แท้จริง จะยังมีใครอีกเล่าที่สามารถบังคับพวกเขาทั้งหมดทั้งที่รวมพลังกันแล้วให้ถอยไปได้ด้วยกระบวนท่าเดียว?
“ทุกคน เราต้องใช้ทักษะลับออกมาแล้ว หากเราไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าพวกเราคงจะตายกันอยู่ที่นี่” บรรพชนสายฟ้าพูดด้วยความหนักใจ
ความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมาช่างน่ากลัวเหลือคณา แค่กระบวนท่าเดียวก็ทําให้พวกเขาสั่นสะเทือน ถ้ายังมีกระบวนท่าที่สอง กระบวนท่าที่สาม พวกเขาจะสู้อย่างไร? คงทําได้แค่คุกเข่า ขอความเมตตาจริงไหม?
“ก็มีเพียงแต่ทางนี้แล้ว”
ใบหน้าของอีกหกคนแข็งเกร็ง
พวกเขาตื่นขึ้นมาหนึ่งปีแล้ว หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ฟื้นคืน เป็นปกติที่จะไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากมายนัก
ช่วงเวลาต่อมา
ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนก็เคลื่อนตัวเข้าหาตําแหน่งจําเพาะอย่างเงียบเชียบ ในเวลาเดียวกัน ทักษะแปลกๆ บางอย่างก็ถูกโคจรไปทั่วร่าง พลังของคนทั้งเจ็ดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาราวกับเกิดการระเบิดของพลังฟ้าดิน
เฉพาะในแง่มุมของไอพลังเพียงอย่างเดียว ในตอนนี้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดรวมถึงเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่โดยสมบูรณ์
“ทักษะโจมตีผสาน?”
ซูฉินขมวดคิ้ว
เขาได้เคยเห็นการโจมตีในรูปแบบผสานเช่นนี้ จากหยกบันทึกที่จ้าวทะเลบูรพาได้ทิ้งเอาไว้
จอมยุทธแต่ละคน แม้พวกเขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกัน แต่จะมีกลิ่นอายจากแก่นแท้ที่แตกต่างกันเนื่องจากร่างกายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ทักษะโจมตีผสานจะตัดเรื่องของกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป
และครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดก็ได้ใช้ทักษะโจมตีผสาน ทําให้พลังเพิ่มขึ้นมาถึงขอบประตูของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว
แน่นอน
ทักษะโจมตีผสานเช่นนี้ไม่ใช่ไม่มีข้อบกพร่อง
แก่นของทักษะโจมตีผสานคือการนํากลิ่นอายที่แตกต่างมาหลอมรวมกัน การรวมกันนั้นง่าย แต่การแยกออกนั้นยาก เมื่อใช้ทักษะโจมตีผสานจะเทียบเท่ากับการสร้างมลพิษให้แก่นแท้ปราณของตนเอง และผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมหาศาล
กล่าวคือกลุ่มของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางได้ ใช้ทักษะโจมตีผสานกับตนเอง เฉพาะผู้ที่รู้ว่าจะไม่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตได้เท่านั้นจึงจะกล้าใช้ทักษะโจมตีผสานนี้
เมื่อซูฉินกําลังคิดถึงเรื่องนี้
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆก็เสร็จสิ้นทักษะโจมตีผสานอย่างสมบูรณ์
“พลังเช่นนี้แข็งแกร่งเกินไป…” ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนแสดงสีหน้าหมกมุ่น ใน ตอนที่เขารวบรวมพลังของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ด เขาก็เกือบทะลวงผ่านขอบเขตได้แล้ว
“จงมอบชีวิตให้แก่ข้า!!!”
ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนดูเย็นชา ค่อยๆยกมือขวาขึ้นมา กดลงไปทางซูฉิน
บรรพชนสายฟ้าจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ทําสิ่งเดียวกัน ระดมสายฟ้าทั้งหมื่นสายในความคิดเดียว และแม้แต่สายฟ้าสีม่วงที่ดูลึกซึ้งก็ปรากฏขึ้น พุ่งเข้าหาซูฉินอย่างรวดเร็ว
บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ….
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง….
จ้าวโอสถสํานักเทพโอสถ…
ภายใต้ผลจากทักษะโจมตีผสาน เหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดก็ลงมือพร้อม กัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวรวมเข้ากับทุกสิ่งอย่าง สมบูรณ์ ทําให้เกิดพลังที่เหนือกว่าขอบเขตเดิม
ในตอนนี้ พลังที่ปรากฏขึ้นได้ฉีกเฉือนอากาศ จนหมด
ในทุกทิศทาง ภายในรัศมีหลายสิบลี้กลายเป็น ทะเลหมอกดํามืด และซูฉินซึ่งรับพลังนี้เข้าไป ตรงๆ ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังน่าจะตายไปแล้ว ล่ะ”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเห็นฉากนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“มิผิด เมื่อครู่พวกเรารวมพลังกัน จนไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันเพียงพอที่จะสังหารศัตรูได้ทุกคนบนโลกใบนี้”
ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนพยักหน้ารับ
“ช่างน่าเสียดายกิ่งไม้อสนีบาตภัยยิ่งนัก…”
บรรพชนสายฟ้าส่ายศีรษะเล็กน้อย แต่ไม่ว่า เขาจะไม่ยินยอมเพียงใด ซูฉินก็ถูกกําจัดไปแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งจากการโจมตีร่วมกันของพวกเขา ไม่ต้องกล่าวถึงกิ่งไม้อสนีบาตภัยที่ซูฉินกลืนเข้าไปเลย
ถ้าซูฉินทิ้งเนื้อหนังเอาไว้ เขาก็ยังสามารถดึงกลิ่นอายสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของกิ่งไม้อสนีบาตภัยออกมาจากกายเนื้อของซูฉินได้
นอของฉนได้
แต่ยามนี้ ในสายตาของบรรพชนสายฟ้า ซูฉินถูกกําจัดไปแล้วอย่างสมบูรณ์ และกลิ่นอายสายฟ้าจากกิ่งไม้อสนีบาตภัยก็คงหายไปด้วย
ขณะที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดเตรียมที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองฉางอัน และยึดครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯให้สมบูรณ์
ท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้นชายร่างบางก็ปรากฏตัวขึ้น
ฉับพลัน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันร้อนแรงที่ปกคลุมไปทั่วราวกับมีดวงอาทิตย์ฉายแสงอยู่ใกล้ๆ
ก่อนที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ จะทันได้ตอบสนอง พวกเขาก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในช่วงชีวิตหนึ่ง
เห็นชายร่างสูงสง่าเดินออกมาอย่างช้าๆ มีดวงอาทิตย์ชั่วนิรันดร์แผดเผาอยู่ในดวงตาของชายผู้นั้น ผิวของเขาใสดุจอัญมณี ทุกย่างก้าวที่เดินออกมา พลังงานธาตุไฟในระยะหลายร้อยหลายพันพลันสั่นกระเพื่อม ประหนึ่งเทพพระเพลิงเสด็จลงมาบนโลก
ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตกใจของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ
ซูฉินมองไปที่พวกเขาแล้วกล่าวอย่างช้าๆ
“เป็นการลงมือที่ไม่เลวทีเดียว” “งั้นข้าคงต้องจริงจังแล้ว”