ตอนที่ 527 สถานทูตแคว้นหลิว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 527 สถานทูตแคว้นหลิว
ตอนที่ 527 สถานทูตแคว้นหลิว

ยามที่ยืนอยู่บนทางเดินชั้นสอง สีหน้าเบิกบานและแววตาจริงใจของฟู่เสี่ยวกวนได้ส่งไปทางเยียนเหลียงเจ๋อและคณะจนพวกเขาออกจากหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงไปแล้ว

ความปรารถนาในใจของเยียนเหลียงเจ๋อ ในวันนี้ได้ถูกกระตุ้นเรียบร้อยแล้ว แคว้นอี๋จะมิสงบสุขอย่างแน่นอน เพราะมิรู้ว่าในพระราชวังทองคำของแคว้นอี๋จะมีเสียงปืนดังขึ้นมาเมื่อใด

คาดว่าคงอีกมินาน เพราะเยียนเหลียงเจ๋อย่อมมิมีเวลาที่จะวางแผนอย่างถี่ถ้วน

แจ้งความปรารถนาของเยียนเหลียงเจ๋อให้เยียนหานยวี่ทราบดีหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่หลายชั่วอึดใจ แต่ก็ได้ล้มเลิกแผนการนี้ หากเยียนเหลียงเจ๋อสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้จริงก็เป็นผลดีต่อราชวงศ์หยู เพราะหลังจากที่เขาทำให้อำนาจทางการเมืองมีความเสถียรได้แล้ว เขาย่อมส่งกองทัพไปยังแคว้นฮวงอย่างแน่นอน

ในตอนนี้ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หยูคือแคว้นฮวง แน่นอนว่ายังมีภัยที่ใหญ่หลวงอยู่ภายในราชวงศ์หยูนั่นก็คือองค์ชายสี่และแม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตก

ส่วนลัทธิจันทรา ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงแค่กลุ่มชาวลวี่หลินที่เสเพลกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันเท่านั้น

ยามที่ซูม่อทำการฝึกฝนทหารดาบเทวะรุ่นสามจนเสร็จสิ้น ก็ให้เขาไปจัดการกับลัทธิจันทราเสีย ซึ่งมิใช่เรื่องยากอันใด

ทุกคนต่างก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งสิ้น ในมือของทหารดาบเทวะยังมีอาวุธที่ร้ายกาจอยู่ คนจากลัทธิจันทราย่อมไร้หนทางที่จะต่อต้าน

ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตามองสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงด้านล่าง เมื่อมิพบสวี่หวยซู่เขาจึงพาสวี่ซินเหยียนเดินกลับเข้าไปในห้องของยิงฮวาอีกครา

หนิงหยู่ชุนมองสำรวจแล้วเอ่ยถามว่า “องค์รัชทายาทล่ะ ? ”

“กลับไปแล้ว”

“หรือพวกข้าจะมารบกวนพวกเจ้า ? ”

“คิดอันใดอยู่กัน ? เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋ จึงยุ่งเป็นอย่างมาก มา ๆ ๆ พวกเรามาดื่มสุราต่อเถิด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้บอกผู้ใดว่าตนได้ฝังความรักอิสระไว้ในใจของเยียนเหลียงเจ๋อ เขาร่ำสุรา แล้วคุยโวโอ้อวดมากมายโดยมิอายกับสหายกลุ่มนี้

“ข้ามิเข้าใจ แคว้นอี๋ต้องยกที่ดินหนึ่งในสามให้กับแคว้นเพื่อเป็นการชดใช้และเจ้ายังทำให้พวกเขาต้องอับอายมากถึงเพียงนั้น คาดมิถึงว่าเขาจะยังเชิญเจ้ามาดื่มสุรา… มิใช่ ! เขาไปแล้วผู้ใดจะจ่ายเงินกัน” ฉินโม่เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง

“เจ้ากังวลกับผี…” ฟู่เสี่ยวกวนหยิบตั๋วเงินหนึ่งปึกวางลงบนโต๊ะ “ดื่มจนเจ้าตายก็ดื่มมิหมด ซินเหยียน จงนับว่ามีเท่าใดแล้วเก็บเอาไว้ก่อน”

สวี่ซินเหยียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน หยิบตั๋วเงินปึกนั้นขึ้นมาแล้วตรวจสอบโดยละเอียด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “3,200 ตำลึง… ให้เก็บไว้ที่ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อือ ฝากไว้ที่เจ้าก่อน ประเดี๋ยวข้าคงดื่มเสียจนเมามาย เจ้าก็จำไว้ว่าต้องจ่ายเงินด้วย”

“อ่า…” สวี่ซินเหยียนหยิบตั๋วเงินขึ้นมาอย่างชื่นมื่น สำหรับนางแล้ว ถือเป็นเงินก้อนมหาศาลอย่างมิต้องสงสัย ฟู่เสี่ยวกวนนำเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ให้นางดูแล เป็นไปได้หรือไม่ว่าใจของเขาได้ยอมรับนางแล้ว ?

จะว่าไปแล้ว เขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เคยเห็นเรือนร่างนาง

บุรุษ !

ยิงฮวาจดจ้องสวี่ซินเหยียนด้วยสายตาเปี่ยมเลศนัย สาวงามผู้นี้ต้องเป็นคนรู้ใจของฟู่เสี่ยวกวนอีกเป็นแน่

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดอันใดมาก เพียงคาดว่าวันนี้ตนเองคงจะเมา

“พวกเจ้าดูแคลนองค์รัชทายาทแคว้นอี๋ผู้นี้เสียแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน เขากำลังวางแผนยึดครองแคว้นอี๋ ส่วนเรื่องแบ่งที่ดินและเงินชดเชย ถือเป็นการสูญเสียเงินภาษีเพียงมิกี่ปีเท่านั้น ที่ดินหายไปเพียงหนึ่งผืน แต่ทว่าบัลลังก์ของแคว้นอี๋ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา เพราะองค์รัชทายาทผู้นี้เป็นคนเด็ดขาด และ…ดุดันมากยิ่งนัก”

“เจ้ามิกังวลว่าเขาจะชิงว่อเฟิงหยวนกลับคืนในภายหน้าหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “เขามิกล้าหรอก”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดเยียนเหลียงเจ๋อจึงไร้ความกล้า แต่เขากลับยกสุราขึ้นแล้วกล่าวกับฉินโม่เหวินว่า “จากที่คาดการณ์แล้วจะนานถึงหนึ่งปีที่จะมิได้พบเจอเจ้า จอกนี้ขออวยพรให้ชีวิตในกวนซีเต้าของเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญ”

“เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าสบายใจ ข้าจะมีความสุขกับสถานที่แสนทรุดโทรมนั้นได้เยี่ยงไร ? ” ฉินโม่เหวินดื่มกับฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยต่อว่า “แต่เยี่ยงไรเสีย หลายวันมานี้ข้าได้คิดวิธีบางอย่างขึ้นตามที่เจ้าได้ชี้แนะเอาไว้ ลองฟังว่าใช้ได้หรือไม่”

“นี่เป็นสถานที่ไว้คุยราชการเยี่ยงนั้นหรือ ? พี่ฉินมาดื่มอย่างสบายอารมณ์กันดีกว่าหรือไม่ ? มิต้องกล่าววิธีเหล่านั้นออกมาหรอก โยนมันทิ้งไปเสีย อย่าได้กังวลว่าจะพ่ายแพ้ มิใช่เรื่องใหญ่หรอก ! ”

ฮั่วหวยจิ่นปรบมือ “น้องฟู่กล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง มา ๆ ๆ พี่โม่เหวิน มาดื่มกันเถิด”

หลังจากนั้น วงสุราก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครา ฉินโม่เหวินมิเอ่ยถึงเรื่องราชการอีก พวกเขาล้วนสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ยิงฮวาเดินไปยังแท่นวางฉินเพียงลำพัง บรรเลงและขับขาน ‘สงบซึ่งคลื่นลม อย่าฟังเสียงเสียดสีใบไม้ที่ผ่านป่ามา’ ด้วยตนเอง

พอเสียงเพลงดังขึ้น เสียงสนทนาในวงสุราก็พลันเงียบลง

ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ยิงฮวา ทว่าบัดนี้ยิงฮวากำลังมัวเมาอยู่ในบทเพลง

บทกวีนี้ก็เป็นฟู่เสี่ยวกวนที่ประพันธ์ขึ้นมาอีกเช่นกัน ความหมายของแต่ละคำนั้นแสนง่ายดาย เกลี้ยงเกลากว้างขวาง ท่วงทำนองลึกซึ้ง ผู้ที่ได้ฟังล้วนมีความซาบซึ้งแตกต่างกันออกไป

โดยเฉพาะฉินโม่เหวิน

การเดินทางไปยังกวนซีเต้า มิใช่การล้มลุกคลุกคลานบนเส้นทางขุนนาง ทว่าเป็นภารกิจที่แสนหนักหน่วง

นี่คือความรักความเมตตาจากฝ่าบาทที่มีต่อเขา กวนซีเต้ามีความเจริญเป็นอันดับที่สิบสองจากทั้งหมดสิบสามอันดับของราชวงศ์หยู ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับหลิงหนาน

เขาต้องสร้างผลงานในกวนซีเต้าเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท แต่ก็กังวลว่าตนจะแบกรับภาระที่แสนหนักอึ้งนี้มิไหว จึงหลีกเลี่ยงความกังวลเรื่องกำไรและขาดทุนไปมิได้

ในยามที่ได้ฟัง สงบซึ่งคลื่นลม ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้

“竹杖芒鞋轻胜马,谁怕?”

“ไม้ไผ่ 1 กำ รองเท้าฟาง 1 คู่ ยังว่องไวกว่าควบอาชา ใยต้องกลัว ? ”

我也当有搏击风雨笑傲人生之轻松与豪迈,我也当顶风踏雨把歌而行,面对人生之风风雨雨,我当有不畏坎坷之超然情怀。

ข้าเองก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ ในยามที่ผ่อนคลายก็มีความกล้าหาญในการต่อสู้กับพายุฝนของชีวิต ข้าเองก็ต้านลมสู้ฝนไปกับบทเพลง เผชิญหน้ากับอุปสรรคของชีวิต ข้าควรอยู่เหนือความรู้สึกใด ๆ เพื่อที่จะได้มิต้องกลัวการล้มลุกคลุกคลาน

何惧荣辱?

จะกลัวอันใดกับการมีเกียรติและเสื่อมเกียรติ ?

莫谈成败!

มิต้องกล่าวถึงความสำเร็จหรือล้มเหลว !

หนึ่งบทเพลงจบลง เสียงปรบมือดังเกรียวกราว ฉินโม่เหวินหยิบขวดสุราแล้วรินให้กับฟู่เสี่ยวกวนจนเต็ม “สามจอก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก “เหตุใดต้องดื่มสามจอกด้วยกัน ! ”

“มิมีเหตุอันใด ข้าเพียงนึกขึ้นมาได้ว่า บทกวีของเจ้า ยอดเยี่ยมยิ่ง ดื่ม ! ”

เสียงตะโกนดังขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนและฉินโม่เหวินดื่มติดกันสามจอก

ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ใจเต้นระรัว เห็นท่ามิดีแล้ว ทว่าในยามนี้หนิงหยู่ชุนก็ได้เข้ามาร่วมด้วย “ท่านเสี่ยวกวน สามจอกขอรับ ! ”

“ไสหัวไป ! ”

“哈哈哈……”宁玉春开怀大笑,不由分说为傅小官倒了酒,“我特么特别喜欢这句也无风雨也无晴,少年啊,你真有这么淡定的么?别废话,三杯,先干为敬!”

“ฮ่า ๆ ๆ…” หนิงหยู่ชุนหัวเราะร่า รินสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวนโดยมิเอ่ยพร่ำทำเพลง “ไร้ลมฝนนภาก็ยังมิสดใส ข้าล่ะชื่นชอบประโยคนี้เสียจริง เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าใจเย็นได้ถึงเพียงนั้นจริงหรือ ? อย่ากล่าวไร้สาระ สามจอก ดื่มหมดเพื่อเป็นการเคารพ ! ”

จะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ? ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงแค่ดื่มไปโดยดุษณี

หลังจากนั้นก็หันไปมองยิงฮวา ด้วยท่าทีเมามายอยู่ห้าส่วน

ใบหน้าของยิงฮวาแดงระเรื่อ นางค่อย ๆ ก้มหน้าหลบ ในใจราวกับซุกซ่อนกวางไว้หนึ่งตัว และมันกำลังกระโดดโลดเต้นไปมา เขาดื่มไปมากก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวช่วยประคองเขาไปที่ห้องข้าดีหรือไม่ ?

ทว่าหญิงงามที่อยู่ข้างกายของเขากลับมีสติอย่างมาก คอยจดจ้องไปที่เขาอยู่ตลอดเวลา ย่อมมิใช่เรื่องดีที่จะลงมือ

ในยามที่นางกำลังจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อครู่ ข้าได้ลองทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจ้าบอกข้าว่าจะกลับแคว้น…” ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “ข้ามีความเห็นหนึ่ง อยากให้แม่นางลองพิจารณา”

ยิงฮวาเผยอปากเล็กน้อย สายตางุนงง “คุณชายเชิญกล่าว”

“ข้าคิดว่าเยี่ยงนี้ ในตอนนี้ราชวงศ์หยูและแคว้นหลิวยังมิได้ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน ระหว่างที่แม่นางอยู่ในจินหลิง ข้าจะหาเวลาไปทูลฝ่าบาทว่าจะสามารถสร้างสถานทูตของแคว้นหลิวขึ้นในเมืองจินหลิงได้หรือไม่ เยี่ยงนั้นก็จะสะดวกต่อการไปมาหาสู่กันระหว่างสองแคว้นในภายภาคหน้า เห็นว่าเป็นอย่างไร ? ”

ยิงฮวาย่อมดีใจเป็นอย่างมาก นางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น เพียงสามารถอยู่ในจินหลิงต่อไปได้ก็ดีมากโขแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น… นางเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน พบว่าในยามนี้เขากำลังเมามาย คนผู้นี้คล้ายกับหล่อเหลาขึ้นมาอีกเล็กน้อย

ในยามที่ฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ ยังปะติดปะต่อเรื่องมิได้ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครา