ตอนที่ 528 จดหมายจากกวนหยุนถาย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 528 จดหมายจากกวนหยุนถาย

ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับไปมอง

ขันทีเจี่ย !

ขันทีเจี่ยค้อมกาย ศีรษะยื่นออกมาจากบานประตู สายตาอันฝ้าฟางมองมา หืม… ครึกครื้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

แม่นางฝ่ายต้อนรับยืนอยู่ด้านหลังของเขา คืนนี้นางได้เผชิญแต่เรื่องราวน่าตื่นเต้น นางมองผิดไปว่าท่านลุงที่แต่งตัวคล้ายชาวนาผู้นั้น แท้จริงแล้วมิใช่ลุงทั่วไป แต่เขาเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ !

น่าประหลาดใจยิ่ง ท่านเสนาบดีผู้นั้นต้องการพบแม่นางยิงฮวามิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องยกเหตุผลขึ้นมากล่าวอ้างเสียมากมาย แล้วจากไปโดยมิได้อันใดเลย ?

หรือภายในกลุ่มนี้ยังมีขุนนางที่ตำแหน่งสูงกว่าเขาอยู่กัน ?

ต้องเป็นเช่นนั้นเป็นแน่ !

แม่นางฝ่ายต้อนรับคิดไปเองว่าชายหนุ่มที่อยู่ในนี้ต้องมีตำแหน่งที่สูงยิ่ง มองไปแล้วช่างคุ้นตา หรือว่าจะเป็นองค์ชายคนใดคนหนึ่งแห่งราชวงศ์หยูกัน ?

แต่นางก็นึกไม่ออก แม่นางฝ่ายต้อนรับพยายามครุ่นคิดว่าจะหาเหตุผลเข้าไปดูด้านในเสียหน่อย แต่ทว่านางมีตำแหน่งที่ต่ำต้อย จะเข้าห้องแม่นางยิงฮวาง่าย ๆ มิได้

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้นางตกใจแทบแย่ ขันทีเฒ่าผู้นี้ก็มีท่าทางรีบร้อนและได้วิ่งจากห้องโถงขึ้นมาบนชั้นสอง

เขามิได้แตกต่างจากท่านเสนาบดีผู้นั้นสักเท่าใดนัก อยากรั้งก็รั้งไว้มิอยู่ จึงทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งนัก การที่ท่านเสนาบดีเดินทางมายังพอเข้าใจได้บ้าง เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นชายชาตรี แต่ทว่าท่านขันทีผู้นี้ มายังหอนางโลม…หรือจะเป็นดังเช่นที่พวกเขาเล่าขานกันมาว่าทำได้เพียงแค่มอง ?

หากต้องการเดินทางมายังที่แห่งนี้เพื่อชื่นชมหญิงงามก็ย่อมได้ แต่ทว่าท่านขันทีก็ยังยืนยันว่าต้องการพบแม่นางยิงฮวา

ส่งผลให้นางรู้สึกชื่นชมแม่นางยิงฮวามากยิ่งนัก อันดับหนึ่งก็คืออันดับหนึ่ง แม้แต่ขันทียังต้องเดินทางมาหานาง เป็นความสำเร็จขั้นใดกัน !

ขันทีผู้นี้มองดูคล้ายกับฟืนที่ใกล้หมดไฟ แต่นางก็มิอาจจะรั้งเอาไว้ได้ !

มิเพียงแต่รั้งเอาไว้มิได้เท่านั้น ทั้งยังถูกเขาพามายังห้องแม่นางยิงฮวา ขออย่าทำให้แม่นางยิงฮวาขุ่นเคืองเลย มิเช่นนั้น อนาคตของนางคงมิดีเท่าใดนัก

ในยามที่นางกำลังทุกข์ร้อนเป็นกังวลใจ ก็ได้ยินขันทีผู้นี้กล่าวขึ้นมาว่า

“เอ่อ… ทุกท่าน ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะความสนุก แต่เรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วน เชิญใต้เท้าฟู่ตามข้าน้อยมาทางนี้ด้วยเถิด”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็สร่างเมามิน้อย

อยู่ ๆ ขันทีเจี่ยก็มาตามถึงที่ แน่นอนว่าต้องมิใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน

ชายหนุ่มยกมือขึ้นทำท่าคารวะ “ทุกท่าน คาดว่าฝ่าบาทต้องการหารือกับข้าเรื่องนโยบายใหม่ เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน เชิญพวกท่านดื่มกันตามสบาย”

ทุกคนรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีธุระสำคัญจริง ๆ จึงได้ยกมือขึ้นคารวะกลับ จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาสวี่ซินเหยียนออกมาพร้อมกับขันทีเจี่ยอย่างเร่งรีบ

ภายในห้องจึงเต็มไปด้วยเสียงถอนหายใจ

ฉินโม่เหวินรินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก “น้องชายผู้นี้ช่างงานยุ่งเสียจริง ใจเขามีแต่ราชวงศ์หยู นับว่าเป็นเกียรติของราชวงศ์ยิ่ง น่าเสียดายที่ข้ามิอาจอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้ พวกท่านโชคดียิ่ง จงพบปะกับเขาให้บ่อยและเก็บเกี่ยวความรู้มาให้มากที่สุด ! ”

หลังกล่าวจบ ฉินโม่เหวินก็ได้ดื่มให้กับตนเองจนหมดจอก คนอื่น ๆ ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน มิมีผู้ใดมิชื่นชมผู้มีความสามารถเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนจากไป แน่นอนว่าสุรานี้คงมิได้ดื่มต่อ ฉินโม่เหวินบิดขี้เกียจแล้วกล่าวว่า “วันนี้ พอเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน…”

แขนของเขาพลันชะงักค้างกลางอากาศ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “ให้ตายเถอะ ! เจ้าหมอนี่ยังมิทันได้จ่ายค่าอาหารก็หนีไปเสียแล้ว ! ”

……

……

ขันทีเจี่ยออกจากหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงพร้อมกับฟู่เสี่ยวกวน เขามองแม่นางสวี่ซินเหยียนอยู่หลายครา ก่อนจะกระซิบข้างหูฟู่เสี่ยวกวนว่า “มิใช่ว่าฝ่าบาทต้องการให้ท่านเข้าเฝ้า แต่เป็นเรื่องจดหมายจากราชวงศ์อู๋”

ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตาโต “เจ้าอ้วน เอ่อ พ่อของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“เขาสบายดี ส่วนรายละเอียดจะเล่าให้ฟังเมื่อถึงจวนฟู่”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ถามอันใดอีก เพียงแค่ชายอ้วนยังสบายดีก็พอแล้ว

เขาและสวี่ซินเหยียนนั่งในรถม้า โดยมีขันทีเจี่ยเป็นผู้บังคับรถม้า มุ่งหน้าไปยังจวนฟู่

กองไฟในหลีเฉินซวนถูกจุดขึ้นมาสามกอง ฟู่เสี่ยวกวนนั่งดื่มชาอยู่ตรงข้ามขันทีเจี่ย สวี่ซินเหยียนลอบคิดในใจว่า ขันทีผู้นี้ให้มองเยี่ยงไรก็มิเหมือนกับผู้มีความสามารถ อีกทั้งได้เดินทางมาอย่างรีบร้อน คาดว่าคงมีเรื่องสำคัญที่ต้องเจรจา การที่นางอยู่ด้วยคงจะมิเหมาะสมเท่าใดนัก ดังนั้นนางจึงขอตัวแล้วกลับไปยังเรือนซีเซวี๋ย

ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาหนึ่งกา ขันทีเจี่ยจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ย้อนไปยังคืนวันที่สามสิบของเดือนที่แล้ว จักรพรรดินีอู๋จ้าวได้คลอดก่อนกำหนด ในคืนนั้น ได้ปรากฏองครักษ์ชุดแดงจำนวน 30,000 นายบุกเข้าโจมตีกวนหยุนถาย นี่คือรายงานที่เพิ่งส่งมา เชิญอ่าน”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึงยิ่ง เช่นนั้น หมายความว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? คลอดบุตรออกมาแล้วด้วย ?

“คลอดก่อนกำหนดเยี่ยงนั้นหรือ ? ทารกยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ? ผู้ใดคือบิดาของเด็ก ? ”

หลังจากเอื้อมมือมารับรายงานไป ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยิงคำถามไปสามคำถาม

“แน่ใจว่าคลอดก่อนกำหนด เนื่องจากถ้านับเวลาที่องค์จักรพรรดินีพำนักอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหู เดิมทีต้องคลอดตอนเดือนสาม ข้อมูลนี้สุ่ยหยุนเจียนเป็นผู้บอกข้าเอง มิผิดเป็นแน่ เนื่องจากเขาเป็นผู้ทำคลอดด้วยตนเอง ฝีมือทางการแพทย์ของเขาล้ำเลิศยิ่ง แม้ว่าทารกยังมิถึงกำหนดคลอดก็ไร้อันตรายใด ๆ ส่วนเรื่องบิดาของเด็กนั้น…”

ขันทีเจี่ยเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน พบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มอ่านรายงานนั้น สีหน้าเป็นธรรมชาติ เพียงแต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย มิปรากฏความกังวล…ดูแล้ว น่าจะมิรู้จริง ๆ !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจคำเอ่ยของขันทีเจี่ยที่ยังเอ่ยมิจบ บัดนี้เขากำลังตั้งใจอ่านรายงานอยู่

“ยามราตรี วันที่สามสิบ จักรพรรดินีคลอดก่อนกำหนด หลังจากพักฟื้นเพียง 2 เค่อ ก็ได้สวมเสื้อเกราะออกรบ

โดยมีโจวเปี๋ยหลี เป็นผู้ติดตาม โหยวเป่ยโต้วเป็นผู้นำทัพ พวกเขารวบรวมองครักษ์ชุดแดงได้สามหมื่นนาย อีกทั้งทหารหญิง 1,000 คน เดินทางเข้าสู่พระราชวัง ณ เมืองกวนหยุนราวยามโฉ่ว

กบฏแห่งกรมกลาโหมฉีเหริน ได้นำทัพองครักษ์ชุดแดงจำนวนสองหมื่นนายต่อสู้กับทัพขององค์จักรพรรดินีที่ด้านหน้าประตูวัง ในขณะที่การต่อสู้กำลังดุเดือด อยู่ ๆ ก็มีองครักษ์นอกเครื่องแบบจำนวน 10,000 นายบุกเข้ามา โชคดีที่ผู้ติดตามองค์จักรพรรดินีทั้งสองมีฝีมือในระดับปรมาจารย์ จึงได้ทำการต่อสู้อย่างมั่นคง ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันนานถึง 2 เค่อ ในที่สุดองค์จักรพรรดินีก็ได้รับชัยชนะ

ทันใดนั้นเอง ประตูวังก็ถูกเปิดออก มีทหารจำนวน 50,000 นายวิ่งออกมา ล้อมเหล่าองครักษ์ชุดแดงและทหารหญิงของจักรพรรดินีเอาไว้จนสิ้น

นี่คือทหารจากทางเหนือ พวกเขาสามารถรอดพ้นสายตาของเหล่าสายลับของหอเทียนจีเข้ามายังวังหลวง แล้วได้โจมตีองค์จักรพรรดินีจนแทบถึงแก่ชีวิต

บรรดาองครักษ์ชุดแดงใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้ององค์จักรพรรดินีอย่างสุดชีวิต โหยวเป่ยโต้วเตือนให้องค์จักรพรรดินีถอยทัพ แต่ทว่านางกลับยกดาบขึ้นสู้ศัตรูอย่างสุดกำลัง

องครักษ์ชุดแดง 30,000 นาย บัดนี้เหลือเพียง 3,000 นายเท่านั้น พวกเขาติดตามองค์จักรพรรดินี โดยมีโจวเปี๋ยหลีเป็นผู้นำทัพ สามารถฝ่าทะลุผ่านแนวป้องกันของศัตรูไปได้ เห็นประตูวังอยู่เพียงแค่เอื้อม

แต่ทันใดนั้น ประตูก็ได้ปิดลง องค์จักรพรรดินีรู้สึกสิ้นหวังสุดหัวใจ

ทันใดนั้นเอง อู๋ต้าหลางก็เดินทางมาถึง กลายเป็นว่าฝ่ายองค์จักรพรรดินีมีปรมจารย์มากถึง 3 คน องครักษ์ชุดแดง 3,000 นายและทหารหญิงอีก 1,000 คน ท้ายที่สุดก็สามารถสังหารพวกกบฏได้จนหมดสิ้นภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม

โจวถงถง หัวหน้าหอเทียนจีรีบไปยังกวนหยุนถาย ออกคำสั่งให้สายลับของหอเทียนจีจำนวน 3,000 คนบุกเข้าไปในพระราชวัง ปิดประตูวังทุกบาน ให้เปิดเพียงประตูใหญ่ของพระราชวังเท่านั้น

จักรพรรดินีเข้าสู่พระราชวังได้สำเร็จ แต่ก็เสียเลือดมิน้อย

อู๋ต้าหลางเข้าไปในวังหลังด้วยตนเอง เวลาผ่านไปนานราว 2 เค่อก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ไทเฮาซีสิ้นพระชนม์แล้ว

ดังนั้น เหล่าผู้นำกบฏของไทเฮาซีก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นด้วยเช่นกัน

ยามฟ้าสาง เหล่าขุนนางทั้งหลายได้เข้าร่วมประชุมกับองค์จักรพรรดินีที่มิได้ออกว่าราชการมานานหลายเดือน

ฝ่าบาททรงประชวรพระวาโยในที่ประชุม ถูกส่งไปยังวังหลังโดยมีสุ่ยหยุนเจียนคอยดูแลอยู่มิห่าง เนื่องจากฝ่าบาทได้รับบาดแผลฉกรรจ์ อาจจะมีอันตรายถึงพระชนม์ชีพ จำต้องพักรักษาพระวรกายเป็นเวลาหลายเดือน ! ”