ตอนที่ 529 อำนาจจักรพรรดิ
ย้อนกลับไปยังรัชสมัยเซวียนลี่ที่ 10 เดือนหนึ่ง วันที่ห้า
ผ่านไปแล้ว 4 วันนับจากที่ไทเฮาซีเข้ายึดครองบัลลังก์
ศพที่นอนเกลื่อนอยู่นอกพระราชวังได้ถูกจัดการจนเรียบร้อย แต่ทว่าโลหิตของศพนับแสน กลับทำให้พื้นที่แห่งนี้ถูกย้อมไปด้วยสีน้ำตาลทั้งผืน จนถึงขั้นยังได้กลิ่นโลหิตลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ต้นปีใหม่ การประชุมราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ยังมิทันจบ
องค์จักรพรรดินีก็ทรงประชวรพระวาโยจึงถูกนำส่งไปยังวังหลัง พระนางได้มอบอำนาจให้กับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากำจัดพรรคพวกของไทเฮาซีที่อยู่ในราชสำนักให้สิ้นซาก
เกิดเหตุนองเลือดขึ้นอีกครา เหล่าขุนนางที่เคยพึ่งพิงไทเฮาซีถูกกำจัดกันถ้วนหน้า จนถึงวันนี้ ก็เป็นเดือนหนึ่งวันที่ห้า หายนะจึงถูกบรรเทาลงอย่างช้า ๆ
หิมะตกหนัก กวนหยุนถายมีทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ทว่าจัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่กลับมิได้ตั้งใจชื่นชมทัศนียภาพนี้เลยสักนิด
“โจวถงถงได้ตระเวนไปทั่วทั้งเมืองกวนหยุน และได้กำจัดพวกกบฏไปสามพันสองร้อยกว่าคน เพียงแต่…การที่ฝ่าบาทให้ประสูติองค์ชายนั้นเป็นเรื่องจริง หากบิดาคือฟู่เสี่ยวกวนจริง…”
จัวอี้สิงยิ้ม “ย่อมมิใช่ฟู่เสี่ยวกวน ! ”
หนานกงอี้หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านมั่นใจได้เยี่ยงไร ? ”
“เพราะสตรีนามหยุนเหนียงและบุตรีของนางนามว่าเสี้ยวเสี้ยว ได้สิ้นใจแล้ว”
หนานกงอี้หยู่ผงะ ผ่านไปชั่วครู่ จึงฉายยิ้มบางออกมา “ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาช่างมีวิธีการจัดการที่ดียิ่ง”
ฝ่ายจัวอี้สิงกลับสูดหายใจเข้าลึก “ฝ่าบาทให้ประสูติพระโอรสก่อนกำหนด มิทันได้พักฟื้นก็ต้องทำการกวาดล้างอยู่ตลอดทั้งคืน… สุ่ยหยุนเจียนกล่าวว่าฝ่าบาทเสียเลือดมากจนเกินไปและได้รับบาดแผลฉกรรจ์ หากมิได้พักฟื้นสามถึงห้าปี… เกรงว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เพียงแค่สามหรือห้าปีเท่านั้น”
ดวงตาของหนานกงอี้หยู่แข็งค้าง จดจ้องไปที่จัวอี้สิง “สาหัสถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
“…หากมิได้พื้นฐานวรยุทธ์ของฝ่าบาทช่วยเอาไว้ เกรงว่าจะสาหัสยิ่งกว่านี้ ! ”
“พักฟื้นแล้วจะปลอดภัยใช่หรือไม่ ? ”
จัวอี้สิงพยักหน้า “สิ่งที่เรียกว่าการพักฟื้น คือต้องไร้กังวล มิทรงงานหนัก ต้องได้รับการพักผ่อนและนอนหลับอย่างเพียงพอ… แต่ทว่าพระนางคือจักรพรรดินีที่คอยดูแลราชวงศ์อู๋ที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ แม้พวกเราทั้งสองจะร่วมมือกันบรรเทาความกังวลให้กับฝ่าบาท แต่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่พระนางต้องจัดการด้วยตนเอง แล้วจะสามารถพักผ่อนอย่างสงบได้เยี่ยงไร ? ”
สายตาของหนานกงอี้หยู่มองไปทางหุบเหวลึกที่ไร้ขอบเขต ผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นเขาก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “องค์ชายอู๋ต้าหลาง เดิมทีเป็นพระเชษฐาของฝ่าบาท ในตอนนี้ก็ยังคงประทับอยู่ในวังหลวง ปัญหาคือ มิทราบว่าองค์จักรพรรดินีจะยอมมอบคทาอำนาจให้หรือไม่”
จัวอี้สิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ข้ากลับกังวลว่าอู๋ต้าหลางจะยินยอมรับคทานี้หรือไม่ ? ”
“ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“เหตุที่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ มิใช่เพราะความโลภ พระนาง… มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า”
หนานกงอี้หยู่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ก็สามารถจับประเด็นสำคัญของปัญหานี้ได้แล้ว… ทารกนั้นเป็นบุตรของฟู่เสี่ยวกวนโดยมิต้องสงสัย การที่องค์จักรพรรดินีขึ้นครองบัลลังก์ก็เพื่อปกป้องราชวงศ์อู๋ และเฝ้ารอให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมา พระนางกังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิกลับมา ดังนั้นพระนางจึงอุ้มท้องบุตรของฟู่เสี่ยวกวน และคลอดออกมาในที่สุด
เมื่อเป็นทารกเพศชาย ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนมิกลับมาอีก ตำแหน่งองค์จักรพรรดิก็ย่อมถูกส่งต่อถึงมือทารกน้อยอยู่ดี
ดังนั้นที่อู๋จ้าวคอยปกป้องคือราชวงศ์อู๋
และอู๋ต้าหลางคือลุงของฟู่เสี่ยวกวน เขาเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนจนเติบใหญ่มาด้วยตนเอง ในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนับถืออู๋ต้าหลางเป็นบิดา
หากอู๋ต้าหลางขึ้นครองบัลลังก์ ก็เพื่อปกป้องวงศ์ตระกูล มีเป้าหมายเช่นเดียวกับอู๋หลิงเอ๋อร์ หากฟู่เสี่ยวกวนกลับมา ตำแหน่งองค์จักรพรรดิย่อมเป็นของฟู่เสี่ยวกวนไปโดยปริยาย
หากฟู่เสี่ยวกวนมิหวนกลับมา อู๋ต้าหลางก็มีบุตรอยู่ในราชวงศ์หยูถึง 3 คน แต่ต้นกำเนิดมิได้เป็นสายตรงเท่าทายาทที่อู๋หลิงเอ๋อร์ให้กำเนิด ยิ่งไปกว่านั้น อู๋ต้าหลางย่อมรู้ความเป็นมาของทารกผู้นี้ ถึงเยี่ยงไรบัลลังก์ก็ถูกวางไว้ในมือเด็กคนนี้อยู่ดี
เป้าหมายของทั้งสองคนเหมือนกัน ต่างมีเชื้อสายของตระกูลอู๋ ฝ่าบาทต้องยินยอมเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กที่เพิ่งคลอดได้เพียง 5 วัน จำต้องมีมารดาคอยอยู่เคียงข้าง
เมื่อครุ่นคิดถึงสายสัมพันธ์นี้จนเข้าใจ หนานกงอี้หยู่จึงเริ่มเปิดปากเอ่ยขึ้นมาว่า “มิสู้ให้ข้าเข้าวังไปทูลถามพระประสงค์ของฝ่าบาทจะดีกว่าหรือไม่ ? ”
จัวอี้สิงมองหนานกงอี้หยู่อย่างสงสัย “เจ้ามีวิธีโน้มน้าวองค์ชายอู๋ต้าหลางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่ฉีกยิ้ม “ข้ามิจำเป็นต้องโน้มน้าวพระองค์ ขอเพียงฝ่าบาทยินยอม องค์ชายอู๋ต้าหลางจะต้องขึ้นครองบัลลังก์อย่างแน่นอน ! ”
…..
……
ฟู่เสี่ยวกวนเหม่อมองออกไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่มืดมิด ครุ่นคิดถึงฉากน่าเวทนา ผ่านไปกว่าสิบอึดใจ จึงได้เปิดหน้าถัดไป
“วันที่ห้าเดือนหนึ่ง ยามเว่ย อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเดินทางไปยังตำหนักหยางซินเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินี กราบทูลถึงสภาพพระวรกายในปัจจุบัน รวมถึงเสนอแนะให้องค์จักรพรรดินีสละราชบัลลังก์
หลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานร่วมครึ่งชั่วยาม องค์จักรพรรดินีก็ได้ยินยอมที่จะสละราชบัลลังก์
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย หนานกงอี้หยู่ ได้นำกล่องใบหนึ่งออกมาจากหลังแผ่นป้ายของตำหนักหยางซิน เมื่ออัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเปิดออกต่อหน้าพระพักตร์ ภายในนั้นมีพระราชโองการสืบราชบัลลังก์อยู่หนึ่งฉบับ
นี่คือพระราชโองการสืบราชบัลลังก์ที่อดีตองค์จักรพรรดิได้ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนมายังราชวงศ์อู๋ แต่มิได้มอบไว้ให้กับฟู่เสี่ยวกวนแต่กลับมอบไว้ให้อู๋ต้าหลาง
‘ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์จักรพรรดิจึงมีพระบัญชาว่า ข้าได้ใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน หากข้าจากไปโดยมิคาดคิด ราชวงศ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ขึ้นมาเป็นแน่ นี่คือคราแรกที่เสี่ยวกวนได้มายังราชวงศ์อู๋ ยังมิเคยสัมผัสกับการปกครองของราชสำนัก ยังมีเรื่องที่มิเข้าใจเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋อยู่อีกมากโข จึงมิเป็นผลดีต่อการดำเนินงาน ดังนั้นหากข้าสิ้นใจ ให้เชิญพี่ชายของข้า อู๋ต้าหลาง กลับมายังแคว้น โดยให้อู๋ต้าหลางสืบทอดราชบัลลังก์ ขจัดความวุ่นวายให้ถูกต้องดังเดิม ดูแลให้ใต้หล้าสงบสุข ประกาศแก่ใต้หล้าให้รับรู้โดยทั่วกัน ! ’
“วันที่ห้าเดือนหนึ่งยามโหย่ว อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวารวมถึงโจวถงถงและองค์ชายอู๋ต้าหลางร่วมสนทนากันโดยละเอียดอยู่หนึ่งคืน สุดท้ายองค์ชายอู๋ต้าหลางก็ยอมตกลงในที่สุด วันรุ่งขึ้นจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์ในที่ประชุมใหญ่ราชวงศ์ ฝ่าบาทมิได้แก้รัชสมัย และตั้งพระนามว่าจักรพรรดิอู๋ ฝ่าบาทปลดอู๋จ้าวลงจากตำแหน่งจักรพรรดินีและมีพระราชโองการประทานบรรดาศักดิ์ให้แก่โอรสนาม อู๋เทียนซื่อ ของนางเป็น ฟู่ชินอ๋อง และได้มอบคฤหาสน์จิ้งหูให้แก่อู๋จ้าว และได้ประทานป้ายทองคำจวนฟู่ชินอ๋องประดับอยู่เหนือประตูทางเข้า”
บิดาอ้วนของตนกลายเป็นองค์จักรพรรดิแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าโลกนี้เป็นดั่งกระดานหมากรุกอย่างแท้จริง นึกภาพชายอ้วนนั่งบนบัลลังก์มังกรพร้อมด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาก็พลันหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้
เขาวางจดหมายในมือลงแล้วจ้องมองไปทางขันทีเจี่ย
“ข้าเป็นบิดาของเด็กคนนั้นหรือ ? ”
ขันทีเจี่ยพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
“อู๋หลิงเอ๋อร์… เป็นน้องสาวของข้าจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรื่องนี้…กำลังรอตรวจสอบ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว “ภายในนั้นยังมีความลับใดปกปิดอยู่อีกกัน ? ”
“ทูลองค์ชาย หอเทียนจีพบเบาะแสบางอย่างในคุกที่ใช้จองจำคนแซ่ซี”
“ถูกสังหารแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ตายด้วยน้ำมือของไทเฮาซี”
“พบเบาะแสใด ? ”
“เพียงนามเดียว”
“ผู้ใด ? ”
“โจวเปี๋ยหลี ! ”
ความจริงคือ มิใช่เพียงแค่นามเดียวเท่านั้น แต่ได้สลักไว้บนผนังคุกว่า โจวเปี๋ยหลี ช่วยข้าด้วย !
โจวถงถงสงสัยว่าในตอนที่นางกำลังจะตาย เหตุใดจึงขอให้โจวเปี๋ยหลีมาช่วยด้วยกัน ?
โจวเปี๋ยหลีเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ ถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะเรื่องลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงฝึกตนจนถึงขั้นปรมาจารย์ในตอนที่อยู่ภูเขาลั่วเหมย
ในช่วงสุดท้ายแห่งความสิ้นหวังของนาง สิ่งแรกที่ควรนึกถึงควรเป็นการให้อู๋หลิงเอ๋อร์ผู้เป็นบุตรสาวมาช่วย แต่ทว่าผู้ที่นางนึกถึงกลับเป็นโจวเปี๋ยหลี !
ในสายตาของโจวถงถง เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องอื้อฉาวอีกเรื่องหนึ่ง เดิมทีเขาไม่ต้องการตรวจสอบอันใด แต่เพื่อทำให้ภูมิหลังของอู๋หลิงเอ๋อร์กระจ่าง และเพื่อให้ประวัติของฟู่ชินอ๋องถูกต้อง เขาจึงต้องตรวจสอบมันให้ได้ และหวังว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริง
“บิดาอ้วนมิมีจดหมายมาถึงข้าเลยหรือ ? ”
ขันทีเจี่ยหัวเราะน้อย ๆ “องค์จักรพรรดิอู๋ฝากคำกล่าวมา”
“กล่าวว่าเยี่ยงไร ? ”
“ฝ่าบาทตรัสว่า… เมื่อเที่ยวเล่นจนพอใจแล้วก็รีบไสหัวกลับมาให้ไว ! ”
“…นามของชายอ้วนคืออู๋ต้าหลางจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”