ส่วนที่ 5 ตอนที่ 40-1 กระตุ้นเลือดหัวใจ

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ฉินเจิงกอดเซี่ยฟางหวาอ้อยอิ่งบนเตียงเป็นนาน ก่อนออกจากเรือนลั่วเหมยไปอย่างอาวรณ์ 

 

           เซี่ยฟางหวาแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วเดินมาริมหน้าต่าง เห็นว่าเขาออกจากเรือนลั่วเหมยไปแล้ว น่าจะไปพบพระชายาที่เรือนหลัก นางเกาะลายฉลุบนหน้าต่างด้วยความอาวรณ์ คิดในใจว่าวันที่เขากับนางได้พึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างแท้จริงนั้น มีแค่วันสมรสสองสามวันนั้นกับสิบวันที่เรือนในหุบเขาลึกเท่านั้น  

 

           สถานการณ์ในเมืองหลวงหนานฉินตอนนี้ ทุกคนล้วนทราบว่าเป็นเพลงโหมโรงบอกลางสังหรณ์ว่ามรสุมใกล้เข้ามาแล้ว มีแรงกดดันรูปแบบหนึ่งอยู่ลับหลังความเจริญรุ่งเรือง 

 

           ทุกคนต่างระแวดระวัง เฝ้ารอความไม่สงบที่แท้จริงในแผ่นดินหนานฉินเกิดขึ้น 

 

           นางกับฉินเจิงมิใช่แค่แบกรับความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน แต่ยังแบกรับชะตากรรมที่เชื่อมโยงพวกเขาสองคนเข้าด้วยกันด้วย 

 

           นางกัดริมฝีปากแผ่วเบา ฉินเจิงตามหาวิธีแก้ไขคำสั่งสอนของบรรพชนอันเป็นกฎสวรรค์ประจำเผ่าภูตผีลับๆ ตลอดมา นางยิ่งไม่ควรยอมแพ้ 

 

           นางคิดถึงจุดนี้ก็ตะโกนบอกด้านนอกเสียงเบา “ซื่อฮว่า” 

 

           ซื่อฮว่าเดินเข้ามาทันที พูดเสียงเบาว่า “คุณหนู ท่านหิวแล้วใช่หรือไม่ ท่านอ๋องน้อยบอกหลินชีตุ๋นไก่ป่าให้ท่านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนี้ตุ๋นเสร็จแล้ว อุ่นร้อนอยู่บนเตา ข้าจะไปยกมาให้ท่าน” 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้ายังไม่หิว ประเดี๋ยวค่อยยกมาแล้วกัน ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่งก่อน” 

 

           “คุณหนูเชิญถามมาเถิด” ซื่อฮว่าบอกทันที 

 

           “มีที่อยู่ของพี่อวิ๋นหลานกับพี่อวิ๋นจี้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

           “ยังไม่มีเจ้าค่ะ บ่าวสืบเจอแค่คนที่ไล่ตามคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมาถึงนอกเมืองหลวงหนึ่งร้อยลี้เป็นคุณชายอวิ๋นจี้ แต่เขามิได้เข้ามาในเมือง อีกทั้งร่องรอยก็หายไป ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว” ซื่อฮว่าส่ายหน้า  

 

           “คนที่ตามเจิ้งเซี่ยวหยางมาเพราะดอกฉิงเหรินเป็นพี่อวิ๋นจี้จริงหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

           “เป็นคุณชายอวิ๋นจี้เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบ 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “ในเมื่อเขามาถึงนอกเมืองร้อยลี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เข้ามาในเมืองเล่า” 

 

           “เรื่องนี้ก็มิทราบเช่นกันเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยถาม “ให้บ่าวส่งคนไปสืบดูอีกครั้งหรือไม่เจ้าคะ” 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

           ซื่อฮว่าเดินออกไป 

 

           เซี่ยฟางหวาหมุนตัวไปล้างหน้าหวีผม 

 

           ซื่อม่อยกน้ำแกงไก่ป่ามาจากด้านนอก อาหารถูกยกเข้ามาวางในห้องรับรอง “คุณหนู ก่อนไปท่านอ๋องน้อยกำชับไว้แล้วว่า ให้ท่านทานข้าวทันทีที่ลุกลงจากเตียง” 

 

           เซี่ยฟางหวารับคำ เดินมายังห้องรับรองจากห้องชั้นใน 

 

           นางเพิ่งหยิบตะเกียบขึ้นมา ด้านนอกก็มีคนวิ่งมารายงาน “พระชายาน้อย ท่านหญิงจินเยี่ยนมาที่จวน บอกว่าอยากพบท่าน” 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงักตะเกียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “รีบเชิญนางมาที่เรือนลั่วเหมย” 

 

           คนผู้นั้นออกไปทันที 

 

           ไม่นาน จินเยี่ยนก็มาถึงเรือนลั่วเหมย 

 

           เซี่ยฟางหวาออกมารับหน้าประตู เห็นว่าสีหน้าจินเยี่ยนไม่ค่อยดีนัก นางจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป มีเรื่องทุกข์ใจหรือ” 

 

           จินเยี่ยนส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องทุกข์ใจอันใด แค่อยากคุยกับเจ้าเท่านั้นจึงมาหา” พูดจบ นางก็เอ่ยถาม “พี่ชายเจิงเล่า เขาอยู่หรือไม่ คงไม่พอใจที่ข้ามากระมัง” 

 

           “เขาไปหาพระชายาที่เรือนหลักแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้ม บอกนางว่า “เข้ามาก่อนเถอะ” 

 

           จินเยี่ยนตามนางเข้ามาในห้องรับรอง พบว่าบนโต๊ะมีอาหารวางอยู่ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้แตะแม้แต่คำเดียว จึงกล่าวขึ้น “เจ้ายังไม่ได้กินข้าว” 

 

           เซี่ยฟางหวานวดหว่างคิ้ว ตอบด้วยความเขินอาย “เพิ่งตื่นนอน” 

 

           จินเยี่ยนกะพริบตาปริบ ครั้นเข้าใจแล้วก็กลั้นยิ้ม “เมื่อวานพี่ชายเจิงกลับมา เจ้าคงเหนื่อยแย่กระมัง” 

 

           เซี่ยฟางหวาถลึงตามองนางแวบหนึ่ง “เจ้าก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องมิได้ออกเรือน พูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ไฉนถึงได้เลียนแบบเยี่ยนหลานแล้ว” 

 

           จินเยี่ยนยิ้มกว้าง หย่อนกายนั่งลง “หอมจังเลย ข้าก็ยังไม่ได้กินข้าวพอดี ถือสาหรือไม่หากข้าจะกินข้าวร่วมกับเจ้าด้วย” 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้มขำ หันไปสั่งงานซื่อม่อ “ไปหยิบถ้วยกับตะเกียบมาเพิ่ม” 

 

           ซื่อม่อออกไปทันที 

 

           ไม่นานก็หยิบถ้วยกับตะเกียบมาให้จินเยี่ยน หลังจินเยี่ยนดื่มน้ำแกงไก่คำหนึ่ง ก็เอ่ยชมยกใหญ่ “โห น้ำแกงไก่นี้ตุ๋นได้หอมยิ่งนัก” 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้มมองนาง “ได้ยินว่าเจิ้งเซี่ยวหยางถูกคุมตัวไปขังในคุกมืดแล้ว” 

 

           จินเยี่ยนตอบ “อืม” รับเสียงหนึ่ง 

 

           “ฝ่าบาทบอกไว้หรือไม่ว่านานเท่าไร” เซี่ยฟางหวาแม้รู้ว่าฉินเจิงนำเจิ้งเซี่ยวหยางออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ แต่เห็นจินเยี่ยนมาหาในยามนี้ จึงอยากหยั่งเชิงถามทัศนคติที่นางมีต่อเจิ้งเซี่ยวหยางดู 

 

           “มิได้บอก” จินเยี่ยนส่ายหน้า 

 

           “คุกมืดทรมานกว่าคุกบนดินนัก” เซี่ยฟางหวาพูดอีก 

 

           “เจ้าอยากพูดอะไร” จินเยี่ยนพลันตวัดตามองนาง  

 

           เซี่ยฟางหวาอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา “ข้าได้ยินว่าท่านป้าใหญ่โกรธมาก ต่อต้านเจ้ากับเจิ้งเซี่ยวหยาง แต่เจ้าก็ดึงดันจะออกเรือนกับเขา ตอนนี้เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม เมื่อวานเจิ้งเซี่ยวฉุนทิ้งเจ้าไปสู่ขอหลี่หรูปี้ ด้วยสถานการณ์บีบบังคับ เพื่อแก้เขินเจ้าจึงเลือกเจิ้งเซี่ยวหยางอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาถูกขังในคุกมืด หากขยับเพียงปลายนิ้วมิให้เขามีชีวิตรอดก็ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องนี้ข้าทำให้เจ้าได้” 

 

           จินเยี่ยนกลอกตา “ถึงเขาตายแล้ว ข้าก็จะอยู่เป็นม่ายเพื่อเขา” 

 

           “ตอนนี้พวกเจ้ามีเพียงสมรสพระราชทาน ยังมิได้สมรสกัน ถึงแม้เขาตายแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเป็นม่ายเพื่อเขา” เซี่ยฟางหวามองนาง  

 

           จินเยี่ยนส่ายหน้า “ข้ารับปากเขาไว้แล้ว” 

 

           เซี่ยฟางหวามองนางด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าเองก็น่าจะมองออกแล้ว ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางไม่จำเป็นต้องเกี่ยวดองกับจวนองค์หญิงใหญ่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตอนนี้เจิ้งเซี่ยวฉุนสู่ขอหลี่หรูปี้ จวนเสนาบดีฝ่ายขวาได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท จึงหันไปใช้ประโยชน์จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแทน สร้างความมั่นคงให้ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางด้วยการเกี่ยวดอง ค่อยๆ ขับเคลื่อนแผนการไปอย่างเชื่องช้า ก็ใช่ว่าจะทำมิได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นจวนองค์หญิงใหญ่เสมอไป อีกอย่างแผนการของคนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ได้เลือกจวนเสนาบดีฝ่ายขวาที่เป็นตัวแปรสำคัญในราชสำนักก่อนแล้วเพื่อให้แผนการทุกอย่างสำเร็จ ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกเรือนกับเจิ้งเซี่ยวหยาง และไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแล้ว” 

 

           “วันนี้เสนาบดีฝ่ายขวาขอเกษียณออก ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว เจ้ารู้หรือยัง” จินเยี่ยนมองนาง 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง นึกถึงตอนที่นางกับฉินเจิงไปเยี่ยมจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเมื่อวาน ถามด้วยความแปลกใจ “เสนาบดีฝ่ายขวาขอเกษียณ เร็วถึงเพียงนี้” 

 

           “อืม เสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณแล้ว หลี่มู่ชิงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเสนาบดี จวนเสนาบดีฝ่ายขวานับว่าเปลี่ยนผู้นำใหม่แล้วเช่นกัน หลี่มู่ชิงมิได้รับมือง่ายไปกว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเลย ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเกรงว่า 

 

สู่ขอหลี่หรูปี้ไม่สำเร็จ ตอนนี้ฟังว่านางยังไม่ตกลงสมรสด้วยเลย” จินเยี่ยนกล่าว 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้าตอบ “ถึงแม้เสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณ ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมไม่ปล่อยจวนเสนาบดีฝ่ายขวาอันเป็นต้นไม้ใหญ่นี้ไปง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งหมด เจ้ายังเลือกออกเรือนกับคนอื่นได้” 

 

           จินเยี่ยนส่ายหน้า “เช้านี้ข้าพบว่าถึงไม่ใช่พี่ชายอวี้ เป็นเจิ้งเซี่ยวหยางก็ไม่เป็นไร ข้ายอมรับเขาได้ เขาเองก็มิได้น่ารังเกียจถึงเพียงนั้น อีกอย่างข้ารู้สึกได้ลางๆ ว่า เขาเป็นรอยแตกร้าวระหว่างตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับอำนาจราชสำนัก เขาไม่คล้ายกับไร้ความสามารถอย่างที่เห็นภายนอก ดังนั้น งานสมรสครั้งนี้กำหนดไว้แล้วก็ว่าตามเดิมเถอะ เมื่อวานอาจจะยังมีอคติอยู่บ้าง แต่วันนี้กลับคิดดีแล้ว หากเขาเป็นต้นไม้ขึ้นผิดรูปร่าง ถึงข้าต้องแขวนคอตายก็แขวนเถอะ” 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นสีหน้าจริงจังของนาง แลดูเข้าใจแจ่มแจ้ง นางจึงยิ้มออกมา “บางทีการเลือกของเจ้าอาจถูกต้องแล้ว เจิ้งเซี่ยวหยางไม่แน่ว่าอาจเป็นรอยแตกร้าวระหว่างตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับอำนาจ 

 

ราชสำนักจริง” 

 

           “เจ้าใช่รู้ว่ามีอันใดอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ข้ารู้ว่าบางสิ่งเจ้ามีความสามารถกว่าข้า มองได้ปรุโปร่งกว่าข้า และมีความรู้มากกว่าข้าเยอะนัก ดังนั้นข้าจึงอดที่จะมาคุยกับเจ้ามิได้” จินเยี่ยนตวัดตามองนาง  

 

           เซี่ยฟางหวาตรึกตรอง คิดว่ายังไม่บอกเรื่องของฉินเจิงกับเจิ้งเซี่ยวหยางดีกว่า การใหญ่ยังไม่สำเร็จย่อมต้องระมัดระวังทุกจุด จินเยี่ยนแม้เชื่อถือได้ แต่ตอนนี้เพราะนางหมั้นหมายกับเจิ้งเซี่ยวหยาง ยากรับรองได้ว่าคนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจะไม่ฉวยโอกาสนี้วางแผนกับนาง จึงบอกว่า “ความจริง เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องมองปรุโปร่งขนาดนั้น หรือไม่ต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง” 

 

           จินเยี่ยนมองนางอย่างไม่ค่อยเข้าใจ 

 

           “ตอนนี้เจิ้งเซี่ยวหยางถูกขังในคุกมืด คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยังอยู่ในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเพื่อ 

 

สู่ขอหลี่หรูปี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เรื่องนี้ล้วนต้องได้รับการจัดการ หลังจัดการเสร็จแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ดังนั้นต้องระวังตัวหน่อย บางเรื่องถึงไม่รู้ก็ช่างเถอะ ต้องมีวันหนึ่งได้รู้แจ้งแน่” เซี่ยฟางหวาบอกนาง  

 

           จินเยี่ยนมิใช่คนดื้อด้าน ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจความหมายที่เซี่ยฟางหวาพูดหลายส่วน “เจ้าจะบอกว่า ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางอาจใช้ประโยชน์จากข้าหรือ” 

 

           “ขณะที่บางขั้นตอนยังไม่ราบรื่น อาจวกมาวางแผนกับเจ้า เจ้าต้องเตรียมตัวตั้งรับ” เซี่ยฟางหวาตอบ  

 

           จินเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า แค่นเสียงเยือกเย็น “คิดวางแผนกับข้าไม่ง่ายขนาดนั้น” 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่พูดอะไรอีก 

 

           จินเยี่ยนเองก็เช่นกัน 

 

           ทั้งสองนั่งทานอาหารเงียบๆ