ส่วนที่ 5 ตอนที่ 40-2 กระตุ้นเลือดหัวใจ

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

หลังทานอาหารเสร็จ จินเยี่ยนดื่มน้ำชาแก้วหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน “ข้าทำให้ท่านแม่ทั้งโกรธและเสียใจ ขอตัวกลับจวนก่อน ข้าได้มาคุยกับเจ้าแล้วจิตใจสงบลงตั้งเยอะ ไม่รบกวนแล้ว ข้ากลับจวนไปหานางก่อน”

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ลุกขึ้นส่งนาง

           หลังส่งจินเยี่ยนออกจากเรือนลั่วเหมย เซี่ยฟางหวาก็เดินไปยังเรือนหลัก

           เมื่อมาถึงเรือนหลัก พระชายาอิงชินอ๋องกำลังดูแลดอกไม้ เห็นนางมาถึงก็ยิ้มพลางกวักมือเรียก

“หวาเอ๋อร์ รีบมาดูนี่เร็ว เจ้าดูกระถางดอกจินอวี้หลานนี้สิ เมื่อวานยกออกไปตากแดด วันนี้กลับออกดอกแล้ว”

           เซี่ยฟางหวาเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มกล่าวว่า “ดอกใหญ่ขนาดนี้ คงมิได้ออกดอกในคืนเดียว บางทีท่านแม่อาจมิได้สังเกตมันตลอดเวลา”

           “ไม่ใช่ เมื่อวานตอนยกออกไป ข้าตั้งใจดูมันเป็นพิเศษ” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า “แต่ข้าก็แปลกใจเช่นกัน ดอกไม้กระถางนี้ออกดอกบานในคืนเดียวได้อย่างไร”

           เซี่ยฟางหวาสังเกตดอกไม้กระถางนั้นให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง “ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือไม่”

           “แน่ใจสิ” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “เมื่อวานข้ายังพูดกับชุนหลานอยู่เลยว่า ดอกไม้พันธุ์นี้กลัวแสงแดดที่สุด ต้องนำไปวางในที่เลี่ยงแสงแดดจัดสักหน่อย” พูดจบ นางก็ตะโกนถามชุนหลาน “ใช่ไหม”

           ชุนหลานพยักหน้า “เรียนพระชายาน้อย ใช่เจ้าค่ะ พระชายากับบ่าวตั้งใจดูแลดอกไม้กระถางนี้เป็นพิเศษ ดังนั้นบ่าวก็เลยจำได้ขึ้นใจ”

           “ตอนข้ามาเห็น ยังคิดว่าตัวเองมองผิดไป” พระชายาอิงชินอ๋องฉงนใจ “ข้าปลูกดอกไม้มาหลายปี ยังคิดหาสาเหตุไม่เจอเลย”

           “เมื่อก่อน จินอวี้หลานกระถางนี้เคยออกดอกเร็วหรือไม่” เซี่ยฟางหวาสงสัย

           “ไม่เคยเลย ออกดอกช้าตลอด ดอกไม้พันธุ์นี้เปราะบาง ข้าจึงดูแลมันอย่างละเอียด กลัวว่ามันจะหนาวเกินไปหรือร้อนเกินไป” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ

           เซี่ยฟางหวาสังเกตดอกไม้กระถางนี้อย่างถี่ถ้วนอีกพักใหญ่ มิได้กล่าวคำใดอีก

           “ช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจมันแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องดึงมือนาง “เจ้าเด็กบ้าเจิงเอ๋อร์ออกเดินทางอีกแล้ว ย้ำนักย้ำหนากับข้าว่าให้ดูแลเจ้า บำรุงร่างกายเจ้าอย่างถี่ถ้วน”

           “ท่านแม่ ท่านยกดอกไม้กระถางนี้เข้าไปในห้องชั้นในเถิด” เซี่ยฟางหวาพลันเอ่ยขึ้น

           พระชายาอิงชินอ๋องชะงักไปครู่หนึ่ง มองหน้านาง

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้นาง “ข้าอยากดูว่าใช่แบบเดียวกับที่ข้าคิดหรือไม่”

           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ยกกระถางดอกไม้ด้วยตัวเอง กำชับชุนหลานว่า “เจ้าเฝ้าหน้าห้องให้ดี ห้ามใครเข้ามาด้านในทั้งนั้น”

           “เจ้าค่ะ” ชุนหลานรับคำ

           พระชายาอิงชินอ๋องยกกระถางดอกไม้เข้าไปในห้องชั้นใน

           เซี่ยฟางหวาตามพระชายาอิงชินอ๋องเข้ามาในห้องชั้นใน ปิดประตูลง พบว่าพระชายาอิงชินอ๋องวางดอกไม้ไว้บนโต๊ะ นางจึงเดินเข้ามาใกล้ ใช้ปลายเล็บสะกิดท้องนิ้วจนเกิดแผล พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ ขณะจะเอ่ยห้ามก็พบว่านางหยดเลือดลงบนดอกไม้ตูมนั้น ชั่วพริบตา ดอกไม้ก็ดูดซึมรับเลือดของนาง ทันใดนั้นก็บานใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว

           พระชายาอิงชินอ๋องยกมือปิดปาก ทำให้ตนมิได้ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา

           เซี่ยฟางหวาหยดเลือดอีกครั้ง ดอกไม้นั้นดูดรับเลือดชั่วพริบตา ตามมาด้วยค่อยๆ ผลิบานออกดอกอย่างเชื่องช้า กลายเป็นดอกไม้ตูมอันส่งกลิ่นหอมอบอวล

           สีหน้าของพระชายาอิงชินอ๋องมิอาจใช้คำว่าตกตะลึงมาจำกัดความได้แล้ว นางมองเซี่ยฟางหวา กุมมือที่เลือดไหลอาบของนาง เนิ่นนานกว่าจะพูดออกมาได้ “หวาเอ๋อร์ นี่…เกิดอะไรขึ้น”

           เซี่ยฟางหวาห้ามเลือด มองดอกไม้ตูมที่ผลิบานได้สวยงามยิ่งต้นนั้น กล่าวกับพระชายาอิงชินอ๋องว่า “ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าเผ่าภูตผีมีของล้ำค่าสามสิ่ง หนึ่งคือเลือด สองคือพิษคำสาป สามคือธิดาเทพ เลือดสามารถกระตุ้นสรรพสิ่งมีชีวิตได้ พิษคำสาปสามารถควบคุมคน สัตว์ และปีศาจได้ ส่วนธิดาเทพเป็นจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดเพื่อสืบสานเผ่าภูตผีต่อไป”

           “ข้ารู้” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า มองนาง “เจ้าจะบอกว่า…มีชาวภูตผีเหมือนกับเจ้า ทำให้ดอกไม้ต้นนี้ดูดซึมรับเลือด ดังนั้นถึงได้ออกดอกผลิบาน”

           “เลือดชาวภูตผีกระตุ้นสรรพสิ่งมีชีวิตได้ แต่มิใช่ทุกคนจะทำได้เช่นนั้น จำต้องเป็นผู้สืบทอดสายเลือดราชนิกุลและสายเลือดธิดาเทพ แต่ละรุ่นมีเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น” เซี่ยฟางหวาตอบ

           “เจ้าหมายความว่า นอกจากเจ้าก็มีเซี่ยอวิ๋นหลาน เขามาที่จวนเราหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ

           เซี่ยฟางหวาตอบ “หากเดาเช่นนี้ คงเป็นพี่อวิ๋นหลานมาที่จวนอิงชินอ๋อง” พูดจบ นางก็เม้มปาก “แต่ถ้าเป็นคนที่รู้วิชาเผ่าภูตผี เร่งให้ดอกไม้ออกดอกผลิบานก็มิได้ยากเย็น ดังนั้นจึงยังบอกแน่ชัดมิได้”

           “แล้วใช่เขาหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องเคร่งขรึมลง “หากเป็นเขา มาแล้วเหตุใดถึงไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย”

           เซี่ยฟางหวากำลังจะกล่าวต่อ หากแต่ทรวงอกพลันปวดจี๊ดขึ้นมา นางยกมือกุมหน้าอก หัวใจราวกับมีมวลพลังมหาศาลก็มิปาน สีหน้านางเปลี่ยนไปโดยพลัน เลือดลมทะลักขึ้นมา กลั้นไม่อยู่จนกระอักเลือดออกมา

           พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ รีบประคองนางแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว “หวาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้แม่ตกใจสิ” พูดจบ นางก็ทำท่าตะโกนเรียกด้านนอก “ใครก็…”

           “ไม่ต้องเรียกคนอื่นมา” เซี่ยฟางหวาห้ามนางไว้ทันที

           พระชายาอิงชินอ๋องเงียบเสียงลง

           “พระชายา เมื่อครู่ท่านเรียกบ่าวหรือไม่เจ้าคะ” ชุนหลานที่อยู่ด้านนอกรีบถามขึ้น

           พระชายาอิงชินอ๋องมองเซี่ยฟางหวา พบว่านางส่ายหน้าอย่างทรมาน จึงตอบว่า “ไม่มีอะไรแล้ว”

           ชุนหลานเดิมทีเดินเข้ามาแล้ว แต่ก็ย้อนกลับไปหน้าประตูอีกหน

           หลังเซี่ยฟางหวากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง รู้สึกราวกับหัวใจถูกมีดตัด เจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่นางก็พยายามอดทนอย่างถึงที่สุด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายขึ้นบนหน้าผากแล้วไหลลงมา นางอยากระงับไว้ ทว่าเลือดลมกลับไม่ฟังคำสั่งนาง นางพลันตกใจตื่น “ท่านแม่ รีบนำ…ดอกไม้กระถางนี้ออกไป”

           พระชายาอิงชินอ๋องตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเช่นนั้นก็ยกดอกไม้กระถางนั้นออกไปด้วยมืออันสั่นเทา ห้องชั้นในแม้กว้างขวาง แต่นางเข้าใจดีว่าในเมื่อเซี่ยฟางหวาบอกเช่นนี้ แสดงว่าดอกไม้กระถางนี้มีปัญหา นางไม่กล้าวางกระถางดอกไม้ไว้ในห้องอีกต่อไป รีบเปิดประตูห้องลับ แล้ววางกระถางดอกไม้ไว้ในนั้น

           นางหันกลับมา ปิดประตูห้องลับ เดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดออก

           ความเจ็บปวดที่หัวใจของเซี่ยฟางหวาเบาลงทันทีที่ดอกไม้กระถางนั้นเคลื่อนห่าง นางไม่มีแรงจะยืนอีกต่อไปแล้ว ยกมือค้ำโต๊ะเอาไว้ ก่อนไถลไปตามขอบโต๊ะทรุดลงนั่งกับพื้น

           พระชายาอิงชินอ๋องเดินกลับมา ย่อกายมองนาง ถามด้วยหน้าซีดขาว “หวาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

           “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

           “ไม่เป็นไรที่ไหนกัน” พระชายาอิงชินอ๋องตำหนิตัวเอง “แม่ตกใจแทบแย่ ตอนเจิงเอ๋อร์ออกไปได้ย้ำนักย้ำหนาว่าให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี แต่เขาเพิ่งออกไปไม่นานก็เกิดเรื่องกับเจ้าที่นี่ แม่จะอธิบายกับเขาอย่างไร”

           เซี่ยฟางหวารู้สึกว่าความเจ็บปวดแสนสาหัสเหมือนหัวใจถูกฉีกกระชากนั้นค่อยๆ สงบลง นางส่ายหน้าตอบ “โทษท่านได้อย่างไรกัน เป็นข้าเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนใช้วิธีการเหนือชั้นแบบนี้ กระตุ้นเลือดหัวใจในกายข้ากำเริบขึ้น”

           “ผู้ใดกัน” พระชายาอิงชินอ๋องโมโห “ใช่เซี่ยอวิ๋นหลานหรือไม่”

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “พี่อวิ๋นหลานไม่มีวันทำร้ายข้า” หยุดชั่วครู่แล้วเสริมว่า “ข้ากับเขามีชะตาชีวิตเชื่อมโยงกัน ทำร้ายข้าเท่ากับทำร้ายเขาด้วย ถึงแม้เขาไม่รักตัวเอง แต่ก็ไม่มีทางทำแบบนี้กับข้า”

           เรื่องนี้ไม่ว่ายามใด นางล้วนมั่นใจ

           “แล้วเป็นผู้ใดเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจ “ใครกล้าใช้ประโยชน์จากการที่ข้าชอบดอกไม้ทำเรื่องแบบนี้ใต้สายตาข้ากัน”

           เซี่ยฟางหวาก็คิดเช่นกันว่าจะเป็นใครไปได้ นางกับฉินอวี้ร่วมมือกันสังหารปรมาจารย์สายลับ

ราชสำนักที่ช่องแคบในภูผาวกวน แต่สุดท้ายก็หนีรอดไปได้หนึ่งคน หรือว่าปรมาจารย์สายลับจะฟื้นพลังชีวิตกลับมาโจมตีนางไวถึงเพียงนี้

           หรือว่ายังมีคนอื่นอีก คนที่อยากให้นางตาย

           ครั้งนี้ครั้งเดียว ทำให้อาการบาดเจ็บที่นางเฝ้าบำรุงรักษามาหลายวันเกรงว่าจะสูญเปล่าแล้ว

           เป็นคนแบบใดที่คาดไม่ถึงว่าจะคิดวิธีการเช่นนี้ออก อาศัยพระชายาอิงชินอ๋องโปรดปรานดอกไม้ ดูแลใส่ใจดอกไม้ทุกกระถางอย่างละเอียดอ่อน เมื่อพบว่าจู่ๆ ดอกไม้ก็ผลิบานออกดอกในคืนเดียว ด้วยความสงสัยใคร่รู้ นางจะคุยและศึกษากับตัวเองว่าจะลองใช้เลือดหยั่งเชิงดู เมื่อเป็นเช่นนี้ อานุภาพการเร่งที่ซ่อนอยู่ในดอกไม้ก็จะไปกระตุ้นให้เลือดหัวใจเริ่มกลืนกินตัวเอง ทำร้ายนางอย่างสาหัส

           วิธีการปราดเปรื่องเช่นนี้ จำต้องไตร่ตรองทุกก้าวโดยไม่ตกหล่น

           ผู้ลงมือที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ จะต้องคุ้นเคยกับพระชายาอิงชินอ๋องเป็นอย่างดี รู้ว่านางรักดอกไม้พันธุ์นี้ถึงขั้นเอาใจใส่ดูแลอย่างถี่ถ้วน และรู้ว่าในกายนางซ่อนสายเลือดที่พร้อมจะเอาชีวิตนางทุกเมื่อ จึงชักจูงนางมาตกหลุมพรางนี้ได้

           ก้นบึ้งหัวใจนางอดมิได้ที่จะเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมา

           พระชายาอิงชินอ๋องเห็นนางไม่พูดจา จึงจับมือนางไว้ “หวาเอ๋อร์ ยังเจ็บที่หัวใจอยู่หรือไม่”

           เซี่ยฟางหวาสลัดความคิดทิ้ง “ไม่เจ็บแล้วท่านแม่”

           พระชายาอิงชินอ๋องล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยซับเลือดบนมุมปากนางให้ กล่าวด้วยความปวดใจ “ดูเจ้าสิ ชั่วพริบตาเดียวก็เหงื่อเต็มหน้าไปหมด” นางเลื่อนไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เซี่ยฟางหวา ก่อนประคองนางขึ้น “บนพื้นเย็น รีบลุกขึ้นเถอะ มานั่งบนตั่ง”

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า จับมือพระชายาอิงชินอ๋องแล้วลุกขึ้นมา จังหวะก้าวเท้าอ่อนแรง เดินมานั่งบนตั่งโดยมีพระชายาอิงชินอ๋องช่วยประคอง

           พระชายาอิงชินอ๋องประคองนางนั่งดีแล้วก็หมุนตัวไปรินน้ำเปล่ามาให้นาง เห็นใบหน้าซีดขาวและท่าทางอ่อนแรงของนาง จึงกล่าวโดยโทสะที่ยังคุกรุ่นอยู่ “เป็นใครกันแน่ มีเจตนาร้ายแบบนี้ช่างน่ารังเกียจนัก อย่าให้หาสืบหาตัวพบ ข้าจะถลกหนังมันผู้นั้นทิ้งเสีย”