ภาคที่ 4 บทที่ 8 แทรกซึม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 8 แทรกซึม

หลังจากเดินทางมา 12 วัน ขบวนเดินทางก็มาถึงเมืองปราสาทเก่า

ปราสาทไหลน่าตะวันตกตั้งอยู่ที่นั่น ดังนั้นเมืองจึงได้ชื่อ ‘เมืองปราสาทเก่า’ มา

ตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาไม่สูงนักที่อยู่นอกเมือง และเพราะเป็นปราสาทของผู้นำ คนนอกจึงไม่อาจเข้าไปได้ง่าย ๆ ทุก ๆ วันจะมีคนจากในปราสาทออกมาซื้อของใช้

เมืองปราสาทเก่านั้นสร้างขึ้นมาก็เพื่อรับหน้าที่ดูแลรับใช้พวกคนในปราสาท

แม้พื้นที่นี้จะเป็นของเผ่าเกล็ดทราย แต่ก็ยังมีมนุษย์อยู่หลายคนเช่นกัน พ่อค้าเร่หลายคนเดินไปมา ขายสินค้าตนไปเรื่อย จึงทำให้ซูเฉินและพวกไม่ดูโดดเด่นเกินไปนัก

ซูเฉินทิ้งวัวป่าไปนานแล้ว เอามันไปแลกกับอูฐหมาป่าเพื่อไม่ให้พบปัญหาไร้สาระระหว่างเดินทางอีก

เมื่อมาถึง ทุกคนก็พากันพักผ่อนในเมืองนั้น

เมื่อใกล้ถึงยามราตรีจึงเริ่มแผนการ

พวกเขาหลบทหารตรวจตราเผ่าเกล็ดทรายและเดินทางมาถึงตีนเขาอย่างรวดเร็ว

“ที่เหลือฝากเจ้าด้วย” ฉือหมิงเฟิงเอ่ยกับเฮ่อซื่อ

“ท่านอย่าห่วง” เฮ่อซื่อหัวเราะเบา ๆ จากนั้นขึ้นเขาไป ในเวลาเดียวกันนั้นกระจกบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือฉือหมิงเฟิง สะท้อนภาพใบหน้าเฮ่อซื่อ

เฮ่อซื่อรุดถึงริมกำแพงปราสาทอย่างรวดเร็ว เขาโยนหินสองสามก้อนใส่ เกิดแรงกระเพื่อมสีเหลืองขึ้นที่ผิวกำแพง

พวกมันคือเกราะของปราสาท

ทว่าเฮ่อซื่อก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เขาหยิบแผ่นสีเงินออกจากแหวนต้นกำเนิดแล้ววางมันลงบนเกราะ หนามแหลมเริ่มปรากฏขึ้นบนผิวแผ่นเงินนั้น เจาะเกราะของปราสาทเข้าไป ต่อมาแผ่นเงินก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็สร้างรูขนาดใหญ่ราวหนึ่งอ่างล้างหน้าขึ้นบนเกราะนั้น

พริบตาต่อมา ร่างของเฮ่อซื่อก็ยืดออกให้ผอมจนกระทั่งสามารถลอดเข้ารูนั่นไปได้

มันคือหนึ่งในความสามารถของอสูรพันหน้า ไม่เพียงแต่เปลี่ยนรูปหน้าได้ ยังปรับรูปร่างได้ตามใจด้วย

หลังผ่านเกราะไปได้แล้ว เฮ่อซื่อก็เริ่มไต่กำแพงขึ้นไป

และเมื่อถึงจุดบนสุด ก็ยังไม่กระโดดลงไปด้านใน แต่หยิบผลึกแก้วพิเศษชิ้นหนึ่งขึ้นแล้วชี้มันลงพื้น

มันชี้ไปทางไหนก็จะเห็นลำแสงสีน้ำเงินเริงระบำอยู่ตามพื้นจนทั่ว

ฉือหมิงเฟิงชี้แสงสีน้ำเงินนั่นแล้วพูดกับซูเฉิน “มันคือแสงเฝ้ายามน้ำเงิน ใช้ตาเปล่ามองไม่เห็น หากมีสิ่งใดมาแตะต้องมันจะเปล่งสัญญาณเตือน หากเกราะพลังคือปราการแรก เจ้าแสงสีน้ำเงินที่ก็เป็นปราการที่สอง คนส่วนมากมาพลาดตรงจุดนี้ แต่แน่นอนว่าใช้กับเราไม่ได้ผล”

ฉือหมิงเฟิงว่าแล้วก็รู้สึกภูมิใจไม่น้อย

ซูเฉินอยากจะบอกว่าเขาเห็นแสงนั่นตั้งนานแล้ว ลำแสงลึกลับนั่นอย่างไรก็หนีเนตรมองโลกจุลภาคไม่พ้น แต่สุดท้ายก็ยังต้องเอ่ยออกไปว่า “เช่นนี้นี่เอง ได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้เรียนรู้อะไรมากมายจากภารกิจแทรกซึมเรียบง่ายเช่นนี้”

“แน่นอน พวกข้าเป็นมืออาชีพนี่นา” เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงภาคภูมิมาจากด้านข้าง

……

ซูเฉินเงียบไป

เป็นตอนนั้นเองที่เฮ่อซื่อเริ่มลงจากกำแพง เขาชี้ผลึกแก้ไปตรงหน้า ค่อย ๆ หลบแสงเฝ้ายามน้ำเงินไป

หลังจากรอดพ้นจากแสงเฝ้ายามน้ำเงินมาแล้ว เฮ่อซื่อก็ไม่ขยับกายอีก แต่เขากับแนบร่างลงกับพื้น กลายร่างเป็นกิ้งก่า ค่อย ๆ คลานไปตามพื้นอย่างเงียบเชียบ

ฉือหมิงเฟิงอธิบาย “ปราสาทนี้มีค่ายกลต้นกำเนิดประเภทตรวจจับอยู่ภายใต้ สามารถจับฝีเท้าด้านบนมันได้ ค่ายกลประเภทนี้รับมือยากเพราะมันอยู่ใต้ดิน เฮ่อซื่อจึงแปลงร่างเป็นกิ้งก่า เผ่าเกล็ดทรายชอบกิ้งก่ามาก ภายในปราสาทยังเพาะพันธุ์ไว้หลายตัว ทั้งยังสามารถใช้พวกมันเฝ้ายาม ฉะนั้นแม้จะมีเผ่าเกล็ดทรายเห็นกิ้งก่าผ่านค่ายกลไป พวกเขาก็จะไม่สนใจ”

ระหว่างที่พูด เฮ่อซื่อก็กำลังเคลื่อนกายผ่านสวนขนาดย่อม เห็นกิ้งก่าเดินส่ายหัวไปมาอยู่สองสามตัว แม้พวกมันจะไม่คุ้นกับร่างกิ้งก่าของเฮ่อซื่อ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องเตือน เพียงแต่จำภาพเจ้ากิ้งก่าตัวนี้ไปแล้วเลียเขาสองสามครั้ง ก่อนจะจากไป

เมื่อเดินผ่านสวนมาได้ เฮ่อซื่อก็มุ่งหน้ามาถึงอาคารแห่งหนึ่ง

เขากลับร่างมนุษย์ จากนั้นปาดน้ำลายออกจากหน้า “บัดซบเอ๊ย เจ้านั่นมีน้ำลายเยอะจริง ๆ แถมยังกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก”

“มันชอบเจ้านะนั่น” คนจากอารามคนหนึ่งหัวเราะบอก

พวกเขานำเครื่องมือต้นกำเนิดใช้สื่อสารติดตัวมาด้วย หากไม่อยู่ห่างกันไกลก็จะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ นับว่ามีประโยชน์มาก

“แต่มันเป็นตัวผู้” เฮ่อซื่อตอบเสียงขุ่น

“ก็มีเหตุผล เจ้าก็ดึงดูดแต่คนเพศเดียวกันมาอยู่แล้วนี่” อีกคนกล่าวเสริม

แล้วทุกคนก็หัวเราะร่า

เฮ่อซื่อได้แต่ส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าซ้ายขวาไร้เงาคน เขาก็ใช้วิชาสะเดาะกลอนประตูตรงหน้าเข้าไป ต้องกล่าวเลยว่าอารามนิรันดร์นั้นเชี่ยวชาญนักกับเรื่องเช่นนี้

เมื่อเปิดประตูเดินเข้าไป เฮ่อซื่อแปลงเป็นข้ารับใช้เผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่ง

เมื่อมองแล้วไม่เห็นคนคนจึงเดินต่อ

ฉือหมิงเฟิงเอ่ย “ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องโถงแล้ว เปิดประตูทางด้านซ้าย เดินผ่านทางเดินยาวไป จากนั้นจะถึงโถงใหญ่ เจ้าต้องหาข้ารับใช้ที่มีหน้าที่จัดการอาหารของข่าเล่อ อีกไม่นานข่าเล่อจะเริ่มกินอาหารแล้ว”

“ข้ากำลังมองหาอยู่” เฮ่อซื่อตอบ

เขาเปิดประตูเข้าไป เดินผ่านทางเดินยาว จากนั้นก็มาถึงห้องโถงใหญ่

พริบตาที่เขาเปิดประตูเข้าห้องโถงใหญ่ก็พลันรู้สึกละลานตาจนมึนงงไป

เผ่าเกล็ดทรายรวมตัวกันอยู่ในนั้นเต็มไปหมด กำลังพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน

เฮ่อซื่อรีบถอยกลับออกมา “บัดซบ พวกเขาจัดงานเลี้ยงกันอยู่ในนี้”

“ออกมาเดี๋ยวนี้ !” ฉือหมิงเฟิงร้องขึ้น

หากจัดงานเลี้ยงกันอยู่ เช่นนั้นแผนการที่วางไว้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว มีคนที่ไม่ได้อยู่ในแผนปรากฏขึ้นมามากมายเช่นนี้

หากจะลงมือตอนนี้เสี่ยงเกินไป ฉือหมิงเฟิงจึงสั่งให้เขาถอยมาทันที

แต่โชคร้ายที่เขาช้าไปแล้ว

เฮ่อซื่อกำลังจะจากไป หากแต่ทหารเผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งกลับเดินเข้ามา

เมื่อเห็นเฮ่อซื่อก็ร้องสั่ง “เฮ้ย เจ้าตรงนั้นน่ะ มานี่ !”

เฮ่อซื่อเหลือบมองรอบกาย แต่ไม่เห็นว่ามีใคร

ทหารเผ่าเกล็ดทรายตะโกน “ข้าพูดกับเจ้านั่นล่ะ ! อย่าอู้งาน ! ยกอาหารนี่ไปตรงนั้น”

ว่าแล้วก็ยกถาดอาหารถาดใหญ่ส่งให้เฮ่อซื่อ จากนั้นทำท่าให้เฮ่อซื่อเดินตามเขาไป

เฮ่อซื่อได้แต่ทำใจแข็งแล้วเดินตามไป

ฉือหมิงเฟิง เห็นดังนั้นก็ตบต้นขาตนเองตะโกนเสียงดัง “เวร ! มีปัญหาแล้ว”

แผนการสะดุดเช่นนี้ ไม่ง่ายเลยที่เฮ่อซื่อคิดจะถอยออกมา

เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ปรับตัวไปตามสถานการณ์

ในตอนนั้น เฮ่อซื่อเข้าห้องโถงใหญ่มาพร้อมกับทหารเผ่าเกล็ดทรายอีกคนหนึ่ง

ห้องโถงใหญ่แห่งนี้หรูหรามาก ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงดังมา โคมไฟระย้าส่องสะท้อนแสงเป็นประกาย ภายใต้บรรยากาศงานเฉลิมฉลอง เผ่าเกล็ดทรายบ้างก็เต้นรำ บ้างก็พูดคุยกันสนุกสนาน

เฮ่อซื่อเดินตามทหารเผ่าเกล็ดทรายไปจนถึงบันได หลังเดินขึ้นมาด้านบนก็เข้าไปยังห้องเล็กแห่งหนึ่ง ในนั้นมีเผ่าเกล็ดทรายสองสามคนกำลังนั่งคุยกันอยู่

“ล้อกันเล่นเป็นแน่ ! ปัวเอ่อร์อยู่ด้วยหรือ !” ฉือหมิงเฟิงร้องขึ้น

เผ่าเกล็ดทรายร่างยักษ์คนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องเล็กนั่นด้วย

นึกภาพออกได้ยากนักว่าเผ่าเกล็ดทรายจะร่างใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไรกัน เขาดูราวกับวาฬตัวใหญ่ ตัวเขาคนเดียวนั่งบนเก้าอี้ยาวที่นั่งได้ถึงสามคนสบาย ๆ ทีเดียว

ตรงหน้าเขาคือนางรำเผ่าเกล็ดทรายสองคนที่กำลังทำการแสดง

ข้าง ๆ มีคนนั่งอยู่สองสามคน หนึ่งคนเป็นเผ่าเกล็ดทราย อีกสองเป็นมนุษย์

และเมื่อเห็นหนึ่งในมนุษย์ 2 คนนั้น ซูเฉินก็ใจสะดุดไป

นั่นก็เพราะเขารู้จักคนผู้นั้น