ภาคที่ 4 บทที่ 9 ต่อรอง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 9 ต่อรอง

“ทองหินดำเป็นโลหะชั้นยอดที่สุดในทวีปต้นกำเนิด เครื่องมือต้นกำเนิดที่สร้างโดยใช้มันจะทำให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบส่วน อีกทั้งมันยังเป็นทรัพยากรสำคัญหนึ่งของเผ่าเกล็ดทราย ข้าไม่ปล่อยมันให้พวกมนุษย์หรอก”

ปัวเอ่อร์พูดไปก็กินขาแกะย่างไป มือเลอะน้ำมันเยิ้ม หากแต่ก็ดูจะไม่ส่งผลต่อการพูดคุยสักนิด ราวกับเขามีสองปากก็ไม่ปาน

“ทองหินดำเป็นโลหะคุณภาพสูง แต่ก็ไม่ใช่ที่ดีที่สุด มันเพิ่มความคงทนให้เครื่องมือต้นกำเนิด ไม่ใช่เพิ่มความแกร่งให้มัน อีกทั้งคลังทองหินดำที่นี่ก็เกือบจะหมดไปแล้วด้วย”

จูเซียนเหยานั่งอยู่บนที่นั่งของตน เอ่ยคำดูงามสง่า ชี้คำลวงในคำพูดของปัวเอ่อร์ออกมาได้ทันที

ปัวเอ่อร์ไม่ใส่ใจ หัวเราะออกมา ก่อนจะกัดกินขาแกะย่างต่อ “อ้อ แต่เจ้าก็ยังอยากได้ใช่หรือไม่ ?”

“แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลให้ท่านต้องเรียกร้องอันใดมากมายเช่นนั้น” มนุษย์อีกคนหนึ่งเอ่ย

เขามีนามว่าจูไป๋อวี่

“ข้ายังไม่ทันได้เอ่ยคำเลย” ปัวเอ่อร์ว่าพลางส่ายศีรษะใหญ่โต “ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าบอกราคาไปเลยแล้วกัน หินพลังต้นกำเนิดร้อยล้านก้อน !”

“เหมืองทองหินดำที่กำลังจะหมดนั่นน่ะหรือ ?” จูเซียนเหยาหัวเราะเสียงเย็น “หัวหน้าปัวเอ่อร์ ท่านหมดเงินจนเสียสติไปแล้วงั้นหรือ ?”

“ระวังปากหน่อยนังสตรีบัดซบ !” ปัวเอ่อร์คำราม

นับเป็นครั้งแรกที่จูเซียนเหยาถูกเรียกว่าสตรีบัดซบ

ความงามในสายตาเผ่าเกล็ดทรายนั้นนับว่าไม่น่างามเท่าไหร่

ปัวเอ่อร์ว่าต่อ “ข้าไม่ได้โง่ รู้ว่าพวกเจ้ามีจุดประสงค์ซ่อนเร้น เจ้าไม่ได้อยากได้เหมืองทองหินดำหรอก นั่นมันก็แค่ฉากบังหน้า หากไม่ยอมบอกดี ๆ ก็อย่าหาว่าข้าหยาบคาย อีกทั้งข้าถ่อมาพบพวกเจ้าที่นี่โดยเฉพาะ หากไม่ให้คำตอบดีพอ เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะกลับไปเลย กระทั่งตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรยังไม่อาจมากระทำการตามใจชอบได้ในถิ่นข้า !”

จูเซียนเหยากับจูไป๋อวี่เหลือบมองกัน

จูเซียนเหยาพยักหน้าก่อนจูไป๋อวี่จะเอ่ยว่า “ก็ได้ ท่านหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ ท่านฉลาดกว่าที่เราคิดไว้นัก พวกข้ายอมรับว่าเป้าหมายของเราไม่ได้อยู่ที่เหมืองทองหินดำ ไม่มีใครสนเหมืองที่ทรัพยากรกำลังจะหมดหรอก ถูกต้องหรือไม่ ? คำโกหกนี้ก็มากเกินไปจริง ๆ”

ปัวเอ่อร์หัวร่อ “เช่นนั้นบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงมา”

“ท่านหัวหน้ารู้ว่าพวกเรามาจากอาณาจักรเหลียวเย่ ถึงจะเป็นเผ่ามนุษย์ แต่ก็เหมือนกับอาณาจักรหลงซาง พวกเราอยู่คนละแคว้นคนละอาณาจักร ดังนั้นจะลงมือทำอะไรที่นี่จึงไม่สะดวกนัก” จูไป๋อวี่กล่าว “ดังนั้นเราจึงหวังมาโดยตลอดว่าจะหาที่มั่นหลักในอาณาจักรหลงซาง หาพื้นที่ที่เป็นของเราเอง ที่เราสามารถควบคุมเองได้สักหน่อย”

“เจ้าคิดจะสร้างที่มั่นในเขตแดนของข้างั้นหรือ ?” ปัวเอ่อร์ตกตะลึงนัก

“นี่เป็นเพียงการวางรากฐานเสริมความแกร่งขั้นหนึ่งเท่านั้น” จูเซียนเหยาตอบ “เขตแดนนี้เป็นของเผ่าเกล็ดทราย อิทธิพลอาณาจักรหลงซางย่อมมาไม่ถึง นับเป็นการเริ่มต้นขยับขยายที่ดีนัก”

“แล้วเหตุใดต้องมาตั้งที่มั่นใจอาณาจักรหลงซาง ? พวกเจ้าคุมอาณาจักรเหลียวเย่จนอยู่หมัด ไม่มีที่ให้ขยายอาณาเขตแล้วหรือไร ?” ปัวเอ่อร์หัวเราะ

นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ดูท่าน้ำเสียงเยาะเย้ยของท่านหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่เองก็ไม่เชื่อคำนั่นเช่นกัน

จูเซียนเหยาตอบเสียงเรียบ “พวกเราถูกบีบให้ทำเช่นนี้เพื่อรับมือกับคนบางคน”

“เป็นคนประเภทไหนกัน ?”

“ท่านหัวหน้าเคยได้ยินชื่อตระกูลชิง ตระกูลมู่ หรือตระกูลจางหรือไม่ ?”

“ใต้หล้ามีตระกูลสายเลือดชั้นสูงมากมายนัก ข้าจะไปรู้จักทั้งหมดได้อย่างไร ?”

“เช่นนั้นอารามนิรันดร์เล่า ?”

ได้ยินชื่อนั้นแล้ว ปัวเอ่อร์ก็ลุกขึ้นทันที

ที่นอกปราสาท ฉือหมิงเฟิงกับซูเฉินเหลือบมองกัน

ฉือหมิงเฟิงเอ่ย “ไม่คิดเลยว่าคุณหนูตระกูลจูจะเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยเช่นกัน”

“ท่านรู้จักนางหรือ ?” ซูเฉินถาม

“หลายปีมานี้มีคนจากอารามตายภายใต้เงื้อมมือตระกูลจูอยู่หลายคน มีหรือจะไม่รู้จัก จะว่าไป เรื่องนี้ก็เป็นเพราะท่านไม่ใช่หรือ ?” ฉือหมิงเฟิงมองซูเฉิน

ซูเฉินหัวเราะ “เป็นเพราะเจ้าหม่าเหรินเจ๋อนั่นต่างหาก”

“ก็ถูก แต่ดูท่าคุณหนูจูจะเคียดแค้นเรานัก หากนางคิดหาที่ตั้งมั่นในอาณาจักรหลงซางเพื่อสู้กับเราเช่นนี้”

ซูเฉินพลันเอ่ย “นางยอมลงทุนไปมากมายเพียงเพื่อที่จะรับมือกับหกตระกูลสายเลือดชั้นสูงและพวกท่านน่ะหรือ ? คุ้มค่าหรือไร ?”

“ตระกูลสายเลือดชั้นสูงบางครั้งก็เอาแต่ใจนัก”

ทุกคนหัวเราะเสียงดัง

ซูเฉินทำท่าชู่ว ทุกคนจึงเงียบเสียงรอฟังต่อ

ปัวเอ่อร์สีหน้าพลันเคร่งขรึม “ข้าเกลียดพวกบอกความจริงเพียงครึ่งเดียวนัก ต้องยอมรับเลยว่าพวกมันรับมือได้ยาก ! พวกเวรนั่นทั้งฉกชิงปล้นและฆ่าคนตามใจชอบตาไม่กะพริบ”

“ตลกแล้ว ! มันนั่นแหละตัวดีเลย แต่กลับกล้ามากล่าวหาพวกเรา” คนอื่น ๆ เริ่มเอ่ยเสียงดูถูก ทำให้ซูเฉินต้องชู่วใส่พวกเขาอีกครั้ง

“ดังนั้น ท่านหัวหน้ากับพวกเราก็มีพื้นฐานการร่วมมือร่วมกัน พวกเราต่างก็เป็นศัตรูกับอารามนิรันดร์ เพราะท่านก็ไม่ชอบพวกเขา หากมีพวกข้าจับตามองอยู่ที่นี่ด้วย พวกเราช่วยท่านป้องกันพวกโลภมากจากภายนอกได้ทุกอย่าง” จูเซียนเหยากล่าว ฉวยโอกาสเอ่ยคำกล่อม

“แล้วเจ้าคิดจะจ่ายเท่าไหร่ ?”

“พวกเรามอบผลประโยชน์ในการค้าให้เผ่าเกล็ดทรายได้ พวกเราสัญญาว่าจะมีสินค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่าหินพลังต้นกำเนิด 5 ล้านก้อนเปลี่ยนผ่านเข้ามาทุกปี รวมทั้งอาหาร น้ำ และของใช้จำเป็นต่าง ๆ สำหรับเผ่าเกล็ดทราย พวกเราจัดหาพวกมันมาให้ในราคาต่ำที่สุดได้”

“สินค้าแค่ 5 ล้านเองหรือ ?”

“ทุกปีเลยนะ !” จูเซียนเหยากล่าวอย่างมีน้ำหนัก “นี่นับเป็นการร่วมมือระยะยาว อย่าคิดวิดน้ำหมดบ่อเพื่อจับปลาทั้งหมดเสียสิ”

ปัวเอ่อร์คำราม “มนุษย์อย่างพวกเจ้าเจ้าเล่ห์นัก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะรักษาสัญญา ? เป็นคนมองอะไรสั้น ๆ มันก็มีประโยชน์เช่นกัน นั่นคือถูกหลอกยากอย่างไรเล่า”

จูเซียนเหยาโกรธจนหน้าเริ่มซีด “ไม่มีใครจะสามารถหาหินพลังต้นกำเนิดนับร้อยล้านมากองให้ได้ในคราเดียวหรอกนะ”

ที่นอกปราสาท ทุกคนชี้ไปทางซูเฉิน “เขาไง”

ซูเฉินกลอกตา

การต่อรองในปราสาทยังดำเนินต่อไป

ในตอนนั้น เฮ่อซื่อวางอาหารทั้งหมดลงแล้วและกำลังยืนอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าลงต่ำ ทำทีเป็นรอคำสั่งต่อ

เป้นตอนนั้นเองที่มีเผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งเดินมาหาเฮ่อซื่อแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นใคร ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ?”

บัดซบ !

ทุกคนสบถในใจ

เป็นเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีงานเลี้ยงอาหารค่ำเช่นนี้ เฮ่อซื่อจึงแปลงร่างเป็นเพียงเผ่าเกล็ดทรายธรรมดา เพราะอย่างไรก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่เขาไม่คิดว่าจะถูกจับได้เช่นนี้ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมาพลาดตรงจังหวะนี้ได้

เฮ่อซื่อชะงักไป เขาอยากเอ่ยอธิบาย แต่เผ่าเกล็ดทรายที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่ไกลจากปัวเอ่อร์พลันหันมามอง

เขาหันมามองเฮ่อซื่อ

เพียงแวบเดียว เฮ่อซื่อก็รู้สึกว่าพลังในร่างผันผวนหนัก เกือบจะทำให้หลุดจากร่างแปลง

เฮ่อซื่อรู้ว่าตนแย่แล้ว นัยน์ตาของเผ่าเกล็ดทรายผู้นั้นพลันมีประกายแสงวาดผ่าน

จากนั้นอีกฝ่ายก็ตะโกนลั่น “เป็นสายลับ ! จับมันไว้ !”