ตอนที่ 457 สวยงามมาก / ตอนที่ 458 ไม่หนาว

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 457 สวยงามมาก 

 

 

 

 

 

“ข้าไม่ได้นำมา” อวี้อาเหรานิ่งไป ใครกันจะพกป้ายพระราชทานเดินไปเดินมาเล่า? 

 

 

องครักษ์ตีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ในเมื่อไม่มี ข้าน้อยคงไม่อาจให้ท่านเข้าไปข้างในได้ ให้คนกลับไปนำมาเถิดขอรับ” 

 

 

“หากข้าไม่ไปนำมาแล้วจะอย่างไร?” อวี้อาเหราเริ่มจะโกรธขึ้นมาเสียแล้ว นางนั่งรถม้าตั้งนาน แล้วจะให้กลับไปเอามาอีก คิดว่าฝ่าลมมาเช่นนี้นางไม่หนาวหรืออย่างไร? 

 

 

ฉู่ป๋ายหันกลับมามอง “ให้คุณหนูรองเข้าไปกับเราด้วยเถิด” 

 

 

“แต่ว่า เซิ่นซื่อจื่อ…” องครักษ์ขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ 

 

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากฝ่าบาทจะทรงเอาผิด เราจะรับผิดชอบเอง หรือว่าเจ้าจะไม่เชื่อถือคนที่มากับเราหรือ? คุณหนูรองหลิงเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง หากเจ้าทำผิดต่อนาง แน่นอนว่ายากที่จะให้อภัย เจ้าดูเถิด หากเจ้ายังไม่ให้นางเข้าไปอีก นางก็คงจะโมโหแล้ว” ฉู่ป๋ายพูดไปพูดมา ก็วกกลับมาว่านางอีกจนได้ 

 

 

อวี้อาเหรากัดริมฝีปากแล้วจ้องมองฉู่ป๋าย เหตุใดถึงพูดเหมือนกับว่านางจะเป็นคนโมโหร้ายเช่นนี้ไปเสียได้ 

 

 

ฉู่ป๋ายไม่มองนาง ยังคงจ้องมององครักษ์ต่อไป  

 

 

องครักษ์ลังเลอยู่บ้าง ก่อนจะกัดฟันยอมปล่อยให้นางเข้าไป 

 

 

เมื่ออวี้อาเหราเข้ามาข้างในแล้ว ก็มองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองทันที “เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าต้องพูดเช่นนั้นด้วย ช่างพูดจาเกินจริงยิ่งนัก!” 

 

 

“หากข้าไม่พูดเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้เจ้าเข้ามาได้หรือ” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วแล้วถามกลับ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ “หรือว่าเจ้าอารมณ์ดีอยู่เล่า เมื่อครู่นี้ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่พูดว่า ‘หากข้าไม่ไปนำมาแล้วจะอย่างไร’ เกอเอ๋อร์ เป็นเจ้าหรือที่พูดหรือ” 

 

 

“ไม่ใช่ข้านะ” ฉู่เกอพยายามที่จะกลั้นยิ้มไว้ 

 

 

ฉู่ป๋ายก็หันกลับมาอีกครั้ง “ข้าก็ไม่ได้พูด ดูแล้วคงจะเป็นเจ้ากระมัง” 

 

 

อวี้อาเหราแค้นใจนัก นึกอยากจะตอกกลับไปก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงเดินไปที่อื่นอย่างโกรธๆ 

 

 

เหตุใดนางจะอารมณ์เสียไม่ได้? หากไม่มีใครยั่วยุนาง นางจะอารมณ์เสียหรือ! 

 

 

แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้ว นางก็ต้องตื่นตะลึงจนตาค้าง กวาดสายตามองไปรอบๆ  

 

 

ช่างงดงามยิ่งนัก! นางมองอย่างชื่นชม ราวกับทุกร้อนเมตรจะมีศาลาอยู่หนึ่งหลัง เมื่อมองตามไป ก็เห็นว่าเรียงรายกันไม่หยุด 

 

 

ดอกไม้และต้นไม้นานาพันธุ์ดูเป็นธรรมชาติ ดูไม่เหมือนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแม้แต่น้อย นี่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าฤดูหนาวเช่นนี้เหตุใดถึงทำให้ดอกไม้ผลิบานราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิได้ตลอดทั้งปี ดอกไม้บานงดงามยิ่ง แม้ว่าสวนของฉู่ป๋ายจะดูงดงามและมีดอกไม้บาน แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ที่สรรค์สร้างขึ้น 

 

 

แต่ที่นี่กลับเหมือนสวนสวรรค์ที่กำเนิดตามธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้วก็รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก นางที่สวมเสื้อขนสัตว์อยู่ยังรู้สึกร้อนอยู่เล็กน้อย 

 

 

เจาเอ๋อร์มองอย่างตื่นตะลึง “คุณหนู ที่นี่ช่างสวยงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” 

 

 

“อือๆ” อวี้อาเหราที่ตีสีหน้านิ่งขรึมยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับ 

 

 

หานสือเลิกคิ้ว “ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ที่นี่เป็นสถานที่หายาก ฮ่องเต้ต้องทรงใช้เวลาเป็นนานกว่าจะทรงหาพบ พูดได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่สวรรค์ประทานมาให้” 

 

 

อวี้อาเหราได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน ก็หันกลับไปมองหานสือและเจาเอ๋อร์ 

 

 

“ใช่แล้ว ชะตารักก็เช่นกัน” 

 

 

“คุณหนูรอง ท่านพูดอะไรขอรับ” หานสือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้อาเหรายิ้มบางๆ ในนาทีที่ถอนสายตากลับมานั้นก็ไม่ลืมที่จะมองไปทางเจาเอ๋อร์ด้วย 

 

 

“เข้าไปกันเถิด” ฉู่ป่ายมองทุกคน จากนั้นก็ค่อยถอนสายตากลับมา 

 

 

ทุกคนเดินลึกเข้าไปสู่พื้นที่ด้านในพร้อมทั้งชื่นชมความงามรอบๆ ตัวไปด้วย 

 

 

เมื่อเดินมาถึงด้านในแล้ว อวี้อาเหราก็ค่อยๆ เข้าใจว่าเหตุใดที่นี่ถึงได้ชื่อว่าพระแท่นวายุจันทรา เพราะงดงามทั้งทิวทัศน์และช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งคนงามที่เหมือนกับภาพวาด ก็เท่ากับช่วงเวลาแห่งวัยเยาว์อันแสนงดงามมิใช่หรือ? กาลเวลาไร้ใจ แต่พระแท่นวายุจันทราก็ยังคงอยู่ยั้งยืนยง ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ โดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่าฮองเฮาที่ยังทรงพระเยาว์ยังไม่จากไป แต่เพียงกลายเป็นดอกไม้ นกร้อง ฝูงปลา และผีเสื้อ หรือแม้แต่ฝุ่นดิน ที่ยังคงปรากฏอยู่ข้างกายเสมอ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 458 ไม่หนาว 

 

 

 

 

 

พระแท่นวายุจันทรา พระแท่นวายุจันทรา… 

 

 

ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่งนัก 

 

 

ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน ก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดดแจ้งยิ่งขึ้น ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นป่าและสวนดอกไม้ ทั้งยังมีหนอนแมลงและสัตว์ป่าอีกด้วย 

 

 

ดูราวกับว่าสัตว์เหล่านี้ก็หลงมนตร์เสน่ห์ของพระแท่นที่งดงามเช่นนี้เป็นแน่ 

 

 

ก้าวเดินไปสองสามก้าว ก็เห็นลำธารสายหนึ่งไหลเอื่อย ฉู่เกอเขย่าแขนของอวี้อาเหราด้วยความตื่นเต้นยินดี “พี่เหราเอ๋อร์ ดูซีๆ มีลำธารด้วยล่ะ ไปเล่นกันเถอะ” 

 

 

“ไม่หนาวหรือ” อวี้อาเหราถามขึ้นมาคำหนึ่ง แต่นางก็วิ่งไปเสียแล้ว “ไม่หนาว” 

 

 

นางมองไปทางฉู่ป๋ายด้วยสายตาสงสัย เขาจึงตอบว่า “เจ้าลองใช้มือสัมผัสดูก็รู้เอง” 

 

 

อวี้อาเหราเดินตามไปด้วยความสงสัย มองเห็นฉู่เกอวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาล้างหน้า ภายใต้ลำธารยังมีกุ้งปลาจำนวนมาก พวกมันแหวกว่ายอยู่ในนั้นอย่างร่าเริง 

 

 

ฉู่เกอเห็นนางยืนมองอยู่นิ่งๆ เช่นนั้น จึงพูดขึ้นว่า “พี่เหราเอ๋อร์ ลองดูเถิด ไม่หนาวจริงๆ นะ” 

 

 

อวี้อาเหราจึงยื่นมือลงไปในน้ำ สิ่งที่ทำให้นางแปลกใจก็คือน้ำในนี้กลับไม่เย็นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเหมือนน้ำพุร้อนเสียมากกว่า การมีน้ำพุร้อนเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะอย่างไรก็ใช้แรงงานคนสร้างขึ้นมาได้ แต่ปลาเหล่านี้ชอบอยู่ในน้ำเย็น ไม่ชอบอากาศร้อน เหตุใดจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นนี้เล่า? 

 

 

เมื่อเห็นนางยังคงสงสัย ฉู่เกอก็อธิบายขึ้นมา “ปลาพวกนี้ไม่ใช่ปลาธรรมดา แต่เป็นปลาร้อนที่สร้างขึ้นมาเพื่อบ่อน้ำร้อนแห่งนี้ จึงมีนิสัยชอบน้ำร้อน สามารถว่ายในน้ำร้อนได้ตลอดเวลา แต่หากน้ำร้อนจนเกินไปก็ไม่ได้ ก็เหมือนกับคนเราที่สามารถทนร้อนได้ พวกมันก็ทนได้ ปลาพวกนี้เป็นปลาที่ฮ่องเต้ตักขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนด้วยตัวเอง” 

 

 

ปลาร้อน? นับตั้งแต่เกิดจนเติบโตมา อวี้อาเหราไม่เคยรู้จักปลาร้อนแบบนี้มาก่อน 

 

 

เมื่อคิดเช่นนั้นนางก็เลิกคิดเสีย ในยุคประวัติศาสตร์เก่าแก่โบราณเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีสิ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีทั้งเรื่องที่ยากจะทำความเข้าใจ หรือไม่ก็อาจจะมีอยู่แต่ไม่อาจค้นพบได้ เหมือนกับปลาร้อนและตัวเสวี่ยเตียวที่ในยุคปัจจุบันไม่มีแล้วนั่นอย่างไร 

 

 

“ที่พระแท่นพายุจันทราจึงสามารถรักษาอากาศอบอุ่นเหมือนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบ่อน้ำร้อนแห่งนี้นี่ละ” ฉู่เกออธิบายต่อ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับปลา ปลาร้อนเหล่านี้มีกายสีขาวน้ำนม หากมองลงไปในน้ำ ผู้ที่มีสายตาไม่ดีนักคงไม่รู้ว่าภายในน้ำมีปลาว่ายอยู่ รูปร่างไม่ต่างจากปลาทั่วไปนัก มีแต่สีเท่านั้นที่ไม่เหมือน 

 

 

ในยามที่ฉู่เกอกำลังจับปลานั้น ปลาตัวนั้นก็ลื่นหลุดมือหนีไป 

 

 

กิริยาของมันคล่องแคล่วว่องไวนัก ยากเหลือเกินที่จะจับได้ 

 

 

จับได้ก็เหมือนไม่ได้ นางลุกขึ้นยืนจากข้างลำธาร แล้วย่นจมูก “หากไม่ใช่ว่าวันนี้ข้ากินปลาไปมากแล้ว ข้าจะต้องลิ้มรสปลาร้อนให้ได้ทีเดียวเชียว” 

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะจับไม่ได้จึงไม่จับแล้วมิใช่หรือ? 

 

 

อวี้อาเหรากลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ “หากปลาพวกนี้เป็นปลาที่ฮ่องเต้ใช้ให้คนไปหามาอย่างยากลำบาก หากเจ้ากินไปแล้ว เมื่อเจ้ากลับไปเขาก็คงตามไปคิดบัญชีกับเจ้าแน่” 

 

 

“กินสักตัวคงไม่เป็นไรหรอก” ฉู่เกอหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ 

 

 

“หากทุกคนคิดเช่นเจ้า คนหนึ่งกินปลาหนึ่งตัว เจ้าคิดว่าจะเป็นจำนวนเท่าไหร่กันหรือ” อวี้อาเหราถามด้วยความขบขัน 

 

 

“โอย ข้าไม่กินแล้วก็ได้” ฉู่เกอไม่รู้จะเถียงว่าอย่างไร 

 

 

อวี้อาเหราถอนสายตาจากลำธาร “ยังมีที่สวยๆ ที่ยังไม่ได้ดูอีกหลายที่ พวกเราไปดูกันเถิด” 

 

 

“ก็ได้” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่เกอก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยินดีเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

พวกเขาเดินไปข้างใน ได้ยินว่ามีเสียงคนพูดคุยกัน เมื่อเข้าใกล้ๆ ก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนศาลาหนึ่ง แต่เพราะระยะยังไกลอยู่จึงมองออกว่าเป็นใคร ทว่ากลับรู้สึกคุ้นหูคุ้นตานัก 

 

 

ฉู่เกอถาม “นั่นใครน่ะ”