ตอนที่ 459 เสียงพิณ / ตอนที่ 460 ตรวจอาการป่วย

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 459 เสียงพิณ 

 

 

 

 

 

“ข้าก็ไม่รู้” อวี้อาเหราส่ายหน้า 

 

 

“ไปดูกันเถิด” ฉู่ป๋ายว่า แล้วก้าวตรงไปข้างหน้า 

 

 

เนื่องจากอยู่ห่างไกลกันพอสมควร ดังนั้นจึงต้องเดินไปอีกสักพักจึงจะถึง 

 

 

ยามนี้ถึงจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่แท้ก็เป็นจวินเสวียนจีและพวกนั่งอยู่ในศาลาเพื่อฟังชายผู้หนึ่งดีดพิณโดยสวมหน้ากากเอาไว้ด้วย หน้ากากนั้นดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่เสียงพิณที่ถูกดีดออกมากลับฟังแล้วไพเราะเสนาะหู ในชั่วขณะที่ไม่รู้ตัวนั้นก็ได้ฟังเพลงจบไปหนึ่งเพลง หลังจากเพลงถูกบรรเลงจบไปแล้ว จึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา 

 

 

เสียงพิณนี้ได้เข้าไปสู่ใจของคนฟังได้โดยไม่รู้ตัว  

 

 

เมื่ออวี้อาเหราเห็นใบหน้านั้นก็พลันชะงัก ราวกับโดนฟ้าผ่าเข้าที่กลางศีรษะ ไหนเลยจะมีแก่ใจฟังเพลงบรรเลงพิณได้ 

 

 

ผู้ที่เล่นพิณตรงหน้าก็คือเจ้าสำนักเม่ยเก๋อ หนิงจื่อเย่มิใช่หรือ? 

 

 

เหตุใดเขาถึงมาอยู่กับจวินเสวียนจีได้? ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ฆ่าฟันผู้อื่นมามากมายเช่นนี้ ที่แท้แล้วเป็นเพราะความร่วมมือกันของพวกเขาทั้งสอง หรือว่าแม้แต่จวินเสวียนจีก็รู้ว่านางไม่ใช่คุณหนูแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริง? ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ฉายประกายกังวล เมื่อเห็นจวินไหวหรงและจวินไหวซ่งที่นั่งอยู่ด้วยก็ถึงค่อยลอบถอนใจออกมา 

 

 

หากพวกเขาสองคนร่วมมือกันจริงๆ ก็คงจะไม่มีคนอื่นร่วมอยู่ด้วยแน่ 

 

 

วันนี้หนิงจื่อเย่ไม่ได้สวมชุดยาวสีดำรัดกุม อีกทั้งหน้ากากยังเปลี่ยนไป คนอื่นคงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเจ้าสำนักเม่ยเก๋อ อีกอย่างคนที่ชอบสวมหน้ากากยังมีถมไป ไม่ใช่เพียงเจ้าสำนักเม่ยเก๋อเพียงคนเดียว 

 

 

จวินเสวียนจีและพวกอีกสองคนฟังเสียงพิณจนตกอยู่ในภวังค์ ผ่านไปชั่วครู่จึงค่อยฟื้นคืนสติแล้วมองกลับมา 

 

 

เมื่อเห็นพวกเขายืนอยู่ด้านหลัง ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความแปลกใจ “เซื่นซื่อจื่อ?” 

 

 

ทว่าหนิงจื่อเย่ที่นั่งอยู่กลับก้มหน้าลง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ราวกับรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องมาที่นี่ 

 

 

แต่นี่ก็ไม่แปลกอะไร หนิงจื่อเย่มีพลังยุทธ์สูงส่ง สัมผัสรับรู้ย่อมมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา 

 

 

ทว่าเมื่อมองไปยังฉู่ป๋ายด้วยแววตากังวลใจ ที่หนิงจื่อเย่เข้ามายังที่นี่ก็เพื่อจะฆ่าเขานั่นเอง แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกถึงความผิดปกติ แม้ว่าเม่ยเก๋อจะเป็นกลุ่มมือสังหาร แต่จะกล้าเข้ามาฆ่าคนในพระแท่นพายุจันทราของฮ่องเต้ได้หรือ ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ 

 

 

และแน่นอนว่าหนิงจื่อเย่มิใช่คนโง่ 

 

 

เวลาที่ผ่านไปนาน ก็ทำให้นางลืมคำสั่งของหนิงจื่อเย่ไปเสียสนิท 

 

 

สังหารฉู่ป๋าย แต่ยิ่งอยู่นางก็ยิ่งหักใจลงมือไม่ลง 

 

 

ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกับเขา นางมักจะถูกความสงบและอบอุ่นจากร่างกายของเขาดึงดูดอยู่เสมอ เรื่องวุ่นวายที่อยู่ในใจล้วนแล้วแต่ถูกผลักออกไปจนหมดสิ้น เรื่องฆ่าคนอะไรเช่นนั้นนางถึงได้ลืมไปจนหมดแล้ว 

 

 

อวี้อาเหรานิ่งเงียบอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงค่อยได้สติ  

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นหนิงจื่อเย่กำลังจ้องมองนางผ่านหน้ากาก 

 

 

อวี้อาเหราพลันรีบก้มหน้าลงไปอีกครั้งทันที 

 

 

ฉู่ป๋ายที่สัมผัสได้ถึงท่าทีที่แปลกไปของนาง เช่นนั้นจึงรีบหันกลับมาถาม “เจ้าเป็นอะไรไป” 

 

 

“ไม่เป็นอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า อย่างไรเสียก็จะให้เขารู้เรื่องนี้ไม่ได้ 

 

 

ฉู่ป๋ายเม้มปากไม่พูดไม่จา สายตาจ้องมองยังหนิงจื่อเย่ไม่วางตา จากนั้นจึงค่อยเบนสายตาไปหาจวินเสวียนจี พูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ว่า “ไม่คิดว่าเหล่าองค์หญิงจะเสด็จมาที่นี่ด้วย ช่างบังเอิญยิ่งนัก” 

 

 

“ใช่แล้ว เราเองก็ไม่คิดว่าจะพบเซิ่นซื่อจื่อ ท่านหญิง และคุณหนูที่นี่” จวินเสวียนจียิ้มบางๆ ยามที่เห็นฉู่ป่ายและอวี้อาเหราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ สายตาก็วาววับขึ้นมา แล้วรีบคืนรอยยิ้มสู่ใบหน้าในยามปกติ 

 

 

ฉู่ป๋ายเม้มริมฝีปากเล็กน้อย 

 

 

หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง จวินเสวียนจีก็ถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “เซิ่นซื่อจื่อก็มาเที่ยวเล่นที่พระแท่นวายุจันทราด้วยหรือ” 

 

 

“แน่นอน” ฉู่ป๋ายพยักหน้าช้าๆ 

 

 

อวี้อาเหราสบถในใจ ที่มายังพระแท่นวายุจันทราแห่งนี้ ก็คงเพราะอยากจะเจอนางกระมัง? 

 

 

จวินไหวซ่งยืนขึ้น สายตาจ้องมองอวี้อาเหราที่กำลังอารมณ์ไม่ดีนัก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 460 ตรวจอาการป่วย 

 

 

 

 

 

วันนี้ตอนเช้าเพิ่งจะเจอกันในวังหลวง ทั้งยังทำให้นางได้ใจไปครั้งหนึ่ง จนทำให้เสด็จพี่รัชทายาทถูกเสด็จย่าสั่งสอนไปหนึ่งยก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วนางก็โกรธขึ้นมา จ้องมองอวี้อาเหราด้วยความโกรธเคือง ไม่ปิดบังความโกรธของตัวเองเลยแม้แต่น้อย 

 

 

อวี้อาเหรากลอกตาอยางเบื่อหน่าย นางไม่รู้ว่าไปทำให้นางโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงจะต้องจ้องมองกันอย่างโกรธเคือถึงเพียงนี้ ราวกับนางไปแย่งคนรักมาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เช่นนั้นจึงต้องย้ายสายตาไปมองจวินไหวโหรว ในมือของนางกุมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ นั่งลงบนเก้าอี้ไม่พูดไม่จา บางครั้งก็ไอออกมา ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกนางกุมเอาไว้เสียแน่น ยิ่งไอออกมากี่ครั้งก็กำแน่นขึ้นมาอีก ในพระแท่นวายุจันทราแห่งนี้ออกจะอบอุ่น นางยังไอเช่นนี้ ดูแล้วร่างกายของนางคงจะไม่ไหวเสียแล้วจริงๆ 

 

 

สายตาของฉู่เกอก็ถูกเสียงไอของจวินไหวโหรวเรียกความสนใจได้เช่นกัน “สุขภาพขององค์หญิงสามเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” 

 

 

“มักเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ” จวินเสวียนจีตอบ “อาการป่วยของนางเป็นมาตั้งแต่อยู่ในพระครรภ์ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น” 

 

 

“อ้อ” ฉู่เกอเข้าใจขึ้นมา 

 

 

อวี้อาเหรามองไปทางฉู่เกอ “เมื่อก่อนเจ้าก็ร่างกายอ่อนแอมิใช่หรือ” 

 

 

“อาการป่วยของข้ากับนางไม่เหมือนกัน ท่านต้องรู้ว่าข้านั้นจะต้องใช้ฉู่ฉู่…” ยามที่ฉู่เกอพูดนั้น น้ำเสียงก็แผ่วเบาลงมาในทันที 

 

 

อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในยามนั้น 

 

 

ในที่สุดจววินไหวโหรวก็หยุดไอแล้ว ก่อนยืนขึ้นอย่างอ่อนแรง ก้มหน้าลงให้กับทุกคน “ขอบพระคุณทุกท่านที่เป็นกังวล แต่ร่างกายของข้านั้นข้าย่อมรู้ดี คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่จำเป็นต้องห่วงใยสุขภาพของคนใกล้ตายเช่นข้าหรอกเพคะ” 

 

 

“น้องหญิงพูดเช่นนั้นได้อย่างไร” จวินเสวียนจีไม่ยินดี “เจ้าเป็นองค์หญิงของต้าเยี่ยน อย่างไรก็สามารถหายามารักษาเจ้าได้ ตอนนี้ยังมีเซิ่นซื่อจื่ออยู่ด้วยมิใช่หรือ ในเมื่อเจ้าให้หมอหลวงดูอาการแล้วแต่ยังไม่หาย เช่นนั้นก็ลองให้เซิ่นซื่อจื่อดูอาการของเจ้าเถิด อาจจะหายดีก็เป็นได้” 

 

 

“คิดว่าคงจะไม่เหมาะนัก เป็นภาระต่อการชมทิวทัศน์ของเซิ่นซื่อจื่อเสียมากกว่า” จวินไหวโหรวได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที 

 

 

“องค์หญิงสามไม่ต้องทรงเกรงพระทัยไป เพียงแค่ดูอาการคงไม่เป็นไร” ฉู่ป๋ายออกปากเอ่ย 

 

 

จวินเสวียนจีพลันยกยิ้มขึ้นมาในทันที “ยังไม่รีบขอบคุณเซิ่นซื่อจื่ออีก” 

 

 

“ขอบคุณเซิ่นซื่อจื่อ” เมื่อได้ยินดังนั้น จวินไหวโหรวก็รีบขอบคุณทันที 

 

 

ดังนั้น ฉู่ป๋ายจึงเดินมาข้างหน้า เพื่อตรวจชีพจรให้นาง 

 

 

ตรวจอยู่นานก็เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “พระอาการขององค์หญิงสามนั้นไม่ใช่โรคที่จะรักษาไม่หาย แต่เป็นเพราะได้รับความอ่อนแอมาตั้งแต่ในพระครรภ์ ยิ่งทรงกังวลมากเพียงใดก็ยิ่งบั่นทอนพระวรกาย หากต้องการเยียวยาให้หายก็ขอให้ทรงวางพระทัย แน่นอนว่าสามารถรักษาหายได้อย่างแน่นอน” 

 

 

ไข้ใจหรือ? อวี้อาเหราจ้องมองนิ่งงัน เด็กสาวร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งเช่นนางนี้ เหตุใดถึงเป็นไข้ใจไปได้? 

 

 

จวินไหวโหรวนิ่งไป แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองฉู่ป๋าย จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ “ขอบคุณเซิ่นซื่อจื่อที่ช่วยตรวจอาการให้ ไหวโหรวจะจำใส่ใจเอาไว้” 

 

 

“ขอให้พระองค์จำใส่ใจเอาไว้ให้ดี” ฉู่ป๋ายเคลื่อนสายตาออกไปจากผ้าเช็ดหน้าในมือนาง 

 

 

อวี้อาเหราฟังพวกเขาคุณกันอย่างแปลกใจ กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ 

 

 

แต่อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้นางก็ไม่อาจถามอะไรได้ 

 

 

ฉู่ป๋ายลุกยืนขึ้น แล้วจึงค่อยย้ายสายตาไปหาหนิงจื่อเย่ “ท่านผู้นี้คือ?” 

 

 

“เมื่อครู่นี้พบเขาที่พระแท่นวายุจันทรา แล้วรู้สึกว่าเล่นพิณได้ไพเราะยิ่งนัก จึงเดินเข้ามาฟัง” จวินเสวียนจีกล่าว แล้วมองฉู่ป๋ายอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยไมตรีจิต น้ำเสียงที่เอ่ยตอบออกมาก็เต็มไปด้วยไมตรี 

 

 

อวี้อาเหรามองเห็นสายตาที่จวินเสวียนจีมองฉู่ป๋ายแล้ว ในใจก็รู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

หลังจากตอบคำแล้ว จวินเสวียนจีจึงเหม่อมองไปทางชายผู้สวมหน้ากาก “ขอถามหน่อยว่าคุณชายคือผู้ใด” 

 

 

“กระหม่อมคือหนิงจื่อเย่ เป็นเพียงคนไม่มีหลักแหล่งผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” หนิงจื่อเย่ยืนขึ้นจากด้านหลังของพิณ หันไปสถายความเคารพต่อจวินเสวียนจี “ถวายบังคมองค์หญิงเสวียนจี”