ตอนที่ 461 บาดหู / ตอนที่ 462 เกินเลยไปเสียแล้ว

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 461 บาดหู 

 

 

 

 

 

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ” จวินเสวียนจีชะงัก  

 

 

“เมื่อครู่ได้ยินเซิ่นซื่อจื่อกล่าว” น้ำเสียงยามที่พูดของหนิงจื่อเย่ดูไม่อ่อนแต่ก็ไม่แข็ง น้ำเสียงน่าฟังยิ่งนัก 

 

 

“เป็นเพียงคนไม่มีหลักแหล่ง? หากเป็นเพียงพวกไม่มีหลักแหล่งจริงๆ เหตุใดจึงเข้ามาในพระแท่นวายุจันทราได้เล่า” ฉู่ป๋ายช้อนตามองเล็กน้อยเพื่อพิจารณาอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างตรงประเด็น 

 

 

“คงจะเป็นเพราะโชคดีกระมัง” เมื่อหนิงจื่อเย่ถูกจ้องมองก็ไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ยังคงพูดจาอย่างเป็นธรรมชาติ 

 

 

โชคดีหรือ? อวี้อาเหรานิ่งคิด นี่คิดว่าพวกนั้นจะโง่กันหรืออย่างไร 

 

 

ใครจะอาศัยโชคเข้ามาเล่นพิณในที่แห่งนี้ได้โดยไร้ข้อกังขากัน อีกทั้งยังกล้าที่จะพูดเช่นนี้ก็ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรืออย่างไร หมอนี่ไม่ใช่เพราะโชคดีหรอก แต่เป็นเพราะมีคนหนุนหลังจึงกร่างเสียมากกว่ากระมัง? 

 

 

ฉู่ป๋ายจ้องมองอีกฝ่าย แล้วกลับไม่กล่าวอะไรต่อ 

 

 

ฉู่เกอไม่ชอบที่จะพูดจามีมารยาทเหมือนพวกจวินเสวียนจี เพราะอย่างนั้นนางจึงมองอย่างไม่สนใจ แล้วเอ่ยกับฉู่ป๋ายว่า “ท่านพี่ พวกเราไปที่อื่นกันเถิด ที่นี่ไม่น่าสนใจแลย” 

 

 

“ตกลง” ฉู่ป๋ายพยักหน้า 

 

 

“ท่านหญิงอยากจะไปเที่ยวที่ใดหรือ เรามาที่พระแท่นวายุจันทราแห่งนี้อยู่หลายครั้ง ไม่มีที่ใดที่เราจะไม่รู้จัก หากไม่ว่าอะไรเราจะพาพวกท่านไปเอง ดีหรือไม่” จวินเสวียนจีกลับไม่ยอมให้พวกเขาจากไป 

 

 

ทว่าฉู่เกอไม่ค่อยยินดีนัก “ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉัน…” 

 

 

“ในเมื่อท่านหญิงไม่ปฏิเสธ ก็เอาตามนี้แล้วกัน” จวินเสวียนจีไม่ให้โอกาสนางในการปฏิเสธเลย 

 

 

มุมปากของฉู่เกอเหยียดออกด้วยความไม่พอใจ ทำราวกับว่านางไม่เคยมาที่พระแท่นวายุจันทรา จนไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี คิดว่าคงไม่ได้อยากจะพานางเที่ยวหรอกกระมัง แต่คงจะถือโอกาสเข้าใกล้พี่ชายของนางเสียมากกว่า แผนการนี้มองออกได้อย่างง่ายดายนัก แม้แต่นางเองก็ยังดูออก ไม่เชื่อว่าพี่ชายของนางจะดูไม่ออก 

 

 

ดังนั้นจึงทอดสายตาไปทางฉู่ป๋าย 

 

 

ฉู่ป๋ายทำเพียงนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวว่า “ข้าเดินจนเหนื่อยแล้ว นึกอยากจะนั่งฟังเพลงพิณที่นี่เสียหน่อย” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี เซิ่นซื่อจื่อ เชิญนั่ง” จวินเสวียนจีรีบพูด ยินดีขึ้นมาแทบไม่ทัน 

 

 

ฉู่เกอชะงักไป เหตุใดจึงต้องอยากฟังเพลงพิณขึ้นมาอีกเล่า 

 

 

อวี้อาเหรามองไปทางหนิงจื่อเย่ ในใจของนางไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงบังคับตัวเองให้นั่งลง แม้ว่าหนิงจื่อเย่จะไม่ได้คุยกับนางเลยแม้แต่ประโยคเดียว แต่เขาก็มักจะส่งสายตาแหลมคมมาที่ร่างของนางไม่หยุด 

 

 

หนิงจื่อเย่ไม่พูดอะไรออกมาอีก เขานั่งลงอีกครั้ง แล้วค่อยๆ บรรเลงเพลงขึ้นมา 

 

 

สำเนียงพิณของเขาฟังดูไพเราะยิ่งนัก ในช่วงแรกฟังดูอ่อนโยน แต่ว่าเสียงพิณก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นบาดแก้วหู ราวกับอาวุธทหารสองด้านกำลังห้ำหั่น จึงทำให้เกิดสำเนียงบาดหูยิ่งนัก  

 

 

ทุกคนยกมือขึ้นปิดหู แล้วมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ  

 

 

จวินเสวียนจีรีบพูดขึ้นมาในทันที “หนิงจื่อเย่ เจ้าทำอะไรน่ะ” 

 

 

หนิงจื่อเย่กลับไม่ตอบ ยังคงบรรเลงพิณไปเช่นเดิม ผินหน้าไปด้านข้างแล้วก้มต่ำ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งรอบๆ ตัว เสียงพิณยิ่งบรรเลงยิ่งบาดหูหนักขึ้น จังหวะการบรรเลงของเขาก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนฟังแทบหูหนวก 

 

 

อวี้อาเหราปิดหูขณะที่ขมวดคิ้วไปด้วย ยังถือว่าสงบอยู่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ในเมื่อนางไม่ใช่คนธรรมดา เคยพบเจออุปสรรคในชีวิตมาหลากหลาย แต่เสียงแหลมบาดหูเช่นนี้ คนฟังไม่หูหนวกก็แปลกแล้ว เหตุใดหนิงจื่อเย่จึงบรรเลงออกมาเช่นนี้? 

 

 

ฉู่ป๋ายเก็บก้อนหินมาหนึ่งก้อน แล้วเล็งไปที่มือของหนิงจื่อเย่ที่กำลังบรรเลงเพลง ดีดเข้าไปตรงจุด เสียงพินจึงหยุดไป 

 

 

แม้ว่าเขาจะไร้สิ้นปราณยุทธ์แล้ว แต่วิชายุทธ์พื้นฐานก็ยังถือว่ามีอยู่ 

 

 

หนิงจื่อเย่กุมมือตัวเองที่ถูกดีด แล้วหันไปทางเขา 

 

 

หลายคนค่อยๆ ลดมือลงจากใบหูอย่างผ่อนคลาย เมื่อครู่นี้ราวกับได้ยินเสียงร้องของปีศาจ หนวกหูเสียจนตอนนี้ยังรู้สึกไม่ค่อยดีนัก 

 

 

จวินไหวโหรวไอออกมาสองสามครั้ง หลายคนจึงได้สติขึ้นมา 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 462 เกินเลยไปเสียแล้ว 

 

 

 

 

 

หนิงจื่อเย่เอ่ยขออภัย “เมื่อครู่เล่นพิณจนเพลิน ขอให้องค์หญิงสามโปรดอภัยด้วย” 

 

 

“ไม่ต้องมากพิธี” จวินไหวโหรวโบกมือ เงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาจนใจลอย 

 

 

แม้ว่าหนิงจื่อเย่จะสวมหน้ากาก ทว่ากลับไม่ได้แย่เลยสักนิด ริมฝีปากที่เผยออกมาดูบอบบางและเย้ายวน น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง หากเพียงมองดูแค่นี้ แม้ว่าจะสวมหน้ากากอยู่ แต่ก็น่าจะพอรู้แล้วว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดีเป็นแน่ 

 

 

หลังจากที่จวินไหวโหรวพูดจบ เขาก็หันไปทางฉู่ป๋าย “เมื่อครู่นี้ขอบคุณเซิ่นซื่อจื่อที่ขัดขวาง เกือบจะบรรเลงพิณจนเกินเลยไปเสียแล้ว” 

 

 

ฉู่ป๋ายมองสบตาอย่างเฉยชา ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก 

 

 

ฉู่เกอที่แต่เดิมก็รำคาญอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงเพลงที่ดังบาดหูเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อยากจะอยู่ต่อ นางจึงดึงแขนอวี้อาเหราและพูดกับฉู่ป๋ายว่า “ท่านพี่ ข้ากับพี่เหราเอ๋อร์ขอไปดูที่อื่นก่อนก็แล้วกัน” 

 

 

“เอาสิ” ฉู่ป๋ายพยักหน้าลง แล้วเอ่ยกับจวินเสวียนจี “ทูลลา” 

 

 

จวินเสวียนจียังนึกอยากจะไปกับพวกเขาด้วย แต่เมื่อเห็นพวกเขาขมวดคิ้วก็หยุดฝีเท้าเอาไว้ 

 

 

ท่าทีเช่นนี้แน่ชัดแล้วว่าไม่อยากให้นางตามมาด้วย 

 

 

ในที่สุดก็ได้ออกมาจากศาลาหลังนั้นเสียที ฉู่เกอถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วหันกลับไปมองฉู่ป๋ายที่กำลังเดินตามหลังมา 

 

 

“ท่านจะมาทำไมกัน องค์หญิงเสวียนจีกำลังตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเข้าใกล้ท่านอยู่ตรงนั้นแท้ๆ”  

 

 

“เข้าใกล้หรือ? หากเจ้าชอบก็ไปเองสิ” ฉู่ป๋ายตอบอย่างไม่สนใจ  

 

 

อวี้อาเหราเห็นพวกเขาสองพี่น้องกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว เช่นนั้นก็รีบตัดบทขึ้น “บอกว่าจะไปดูที่อื่นมิใช่หรือ รีบไปกันเถิด” 

 

 

“อ้อ” ฉู่เกอรับคำนิ่งๆ 

 

 

กลุ่มคนเหล่านี้พากันเดินต่อไป หลังจากที่เงียบเสียงลง ในใจของอวี้อาเหรากลับหนักอึ้ง 

 

 

เมื่อครู่นี้ หนิงจื่อเย่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมานั่งเล่นพิณตรงนั้นได้ 

 

 

แต่ก็คงไม่ใช่เพราะนางกระมัง หากมาถึงที่นี่เพราะนางสังหารฉู่ป๋ายไม่ได้เสียทีก็คงจะยุ่งยากเกินไปหน่อยแล้ว และเมื่อครู่นี้ก็สามารถที่จะลงมือได้ ดังนั้นคงจะเป็นเพราะมาที่พระแท่นวายุจันทราเพื่อเที่ยวเล่น แล้วบังเอิญพบพวกเขาเข้าจริงๆ กระมัง 

 

 

เมื่อครู่นี้ที่ได้ยินเสียงพิณบรรเลงบาดหูของเขา ในใจนางก็วิตกกังวล หรือว่าเป็นเพราะเห็นฉู่ป๋ายเข้า? 

 

 

เหตุใดถึงอยากที่จะสังหารเขาถึงเพียงนี้นะ? 

 

 

ระหว่างเขาทั้งสองนี้มีความแค้นอะไรต่อกันกันแน่ ไม่เหมือนกับเหล่านักฆ่าที่ได้รับเงินรางวัลเลยแม้แต่น้อย 

 

 

“พี่เหราเอ๋อร์ ดูซี มีนกตั้งหลายตัว!” ทันใดนั้นฉู่เกอก็จับมือของนาง แล้วชี้ให้ดูนกที่เกาะอยู่บนต้นไม่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ 

 

 

ที่นั่นมีนกเกาะอยู่หลายตัว และยังมองเห็นรังนกที่อยู่บนต้นไม้อีกด้วย 

 

 

“ก็แค่นกเองมิใช่หรือ” อวี้อาเหราสงสัย่ม 

 

 

“ใช่น่ะสิ” ฉู่เกอกลืนน้ำลาย “พวกเราไปจับมาย่างกินดีหรือไม่ ในรังนกอาจจะมีไข่อยู่ด้วยก็ได้นะ” 

 

 

นำมาย่างกิน? อวี้อาเหราคิดแล้วก็หัวเราะ นางนี่จริงๆ เลย มองเห็นอะไรก็อยากกินอันนั้น เมื่อครู่นี้เห็นปลาร้อนก็อยากจะจับมากิน ตอนนี้เห็นนกพวกนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อย หากอยู่ที่อื่น อยากกินก็คงไม่เป็นไร แต่ที่นี่คือพระแท่นวายุจันทรา เป็นพระราชฐาน อยากกินก็กินได้หรือ? 

 

 

“เจ้าชอบหรือ ก็เอาสิ” ฉู่ป๋ายปล่อยเลยตามเลย 

 

 

หากตอนนี้อวี้อาเหรากำลังดื่มชาอยู่ นางก็คงจะสำลักออกมาเป็นแน่  

 

 

เหตุใดเขาถึงพูดขึ้นมาได้ด้วยท่าทีสบายๆ เช่นนั้น อยากกินก็กินเช่นนี้ ได้หรือ? 

 

 

“ดีล่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉู่เกอก็หันไปสั่งหานสือให้จับ ในเมื่อฉู่ป๋ายพูดออกมาแล้ว ไม่กินก็เสียของแย่ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแน่นอนว่าเป็นฉู่ป๋ายที่ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก ฮ่องเต้คงไม่พิโรธเพียงเพราะนกไม่กี่ตัวหรอกน่า 

 

 

มุมปากของอวี้อาเหราแทบจะเป็นตะคริว ดีที่สองพี่น้องนี่ไม่ได้มาทุกวัน มิเช่นนั้นของที่กินได้ที่มีอยู่ที่พระแท่นวายุจันทราคงถูกกินจนหมดแล้ว