“ป..เป็นอสูรจริง ๆด้วย!”

 

นักรบที่นั่งบนหลังม้าเมื่อครู่ก่อนเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อได้เห็นสายลมอันชั่วร้าย พวกเขาสับขาวิ่ง แล้วหนีเตลิดไปทุกทิศทาง

 

“ทำไมถึงพยายามหนีข้าซะแล้วหล่ะ? อยู่ที่นี่แล้วพาข้าไปด้วยต่อสิ~”

 

เสียงที่น่าหลงไหลดังกล้องไปทั่วอีกครั้ง แล้วดวงตาของนักรบที่พร้อมจะหนีเมื่อครู่ก่อนก็พร่ามัวขึ้นมา จากนั้นเหล่านักรบที่มีจิตใจอ่อนแอก็เริ่มมุ่งหน้าไปที่รถม้าหรูแล้ว

 

แม้กระทั่งคนดูแลม้าและคนคุ้มกันของจางที่ถูกมัดอยู่เองก็เริ่มพยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ

 

“เจ้าทนไหวไหม?” เฉินเฉินถามจางจีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดและมืดมน

 

“พอได้อยู่ครับ…” จางจีส่ายหัวในขณะที่สายตาของเขาค่อย ๆถูกเติมเต็มด้วยความมุ่งมั่น

 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กัดฟันแน่น แล้วเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของเขา ซึ่งเขาได้โยนไปทางรถม้าหรู

 

เมื่อเห็นเปลวเพลิงกำลังจะเผารถม้า นักรบคนนึงก็วิ่งเข้ามายืนขวางหน้ารถม้าเอาไว้

 

ด้วยเสียงตูมดังสนั่น ชายคนนั้นก็ถูกไฟคลอก ก่อนที่จะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในเวลาไม่นาน

 

“มีเซียนสองคนเลยหรอ? อืม แต่คนนี้ใช้ไม่ค่อยได้เลยนะ” น้ำเสียงที่ยั่วยวนและชั่วร้ายดังขึ้นอีกครั้ง และแฝงไปด้วยความดูถูกอย่างชัดเจน

 

ในตอนนี้คนธรรมดาที่อยู่รอบ ๆได้เสียสติไปแล้ว พวกเขาเริ่มโจมตีใส่เฉินเฉินและจางจี

 

“พี่ใหญ่ พวกเราจะเอายังไงดีครับ?” จางจีตื่นตระหนก

 

มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนธรรมดาที่จะกระวนกระวายในตอนที่พวกเขาได้เจอกับอสูรเป็นครั้งแรก ดังนั้นการที่พวกเขาไม่หนีเอาชีวิตรอดก็ถือว่ามีความกล้าหาญแล้ว

 

“อย่าตื่นตระหนกไป!”

 

เฉินเฉินตะโกน เขารีบเปิดถุงย่ามแล้วหยิบหนังสือเล่มนึงออกมา

 

ซึ่งหนังสือเล่มนั้นก็คือ ‘การไถ่โทษอสูรขั้นพื้นฐาน’

 

พอเปิดไปที่หน้าแรก ม่านตาของเฉินเฉินก็บีบลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เวลามาลังเล เฉินเฉินเริ่มท่องบทไถ่โทษอสูรขั้นพื้นฐานอย่างตั้งใจหลังจากที่ตกใจไปชั่วขณะ

 

“มันคือโลกแห่งความชอบธรรม ชีวิตทั้งมวลในโลกนี้ขึ้นอยู่กับมันเพื่อความอยู่รอดและเจริญเติบโต!”

 

“เหนือขึ้นไปข้างบน มันแจ่มแจ้งเหมือนภูผา ลึกลงไปข้างล่าง มันแจ่มแจ้งเหมือนผืนปฐพี!”

 

เขาท่องไปได้แค่สีบรรทัดในตอนที่คนธรรมดาทุกคนที่อยู่รอบ ๆได้หยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขา พวกเขาดูเหมือนกับว่ากำลังดิ้นรนอยู่ พวกเขาพยายามปลดปล่อยตัวเองจากสภาพสับสน

 

“ในทางโลก มันถูกเรียกว่าความสมบูรณ์ มันประกอบด้วยสวรรค์ ผืนปฐพี และจักรวาลทั้งปวง จางจี ท่องบทในหนังสือนี้ด้วยกันกับข้าซะ”

 

พอได้ยินคำสั่งของเฉินเฉิน จางจีก็รีบดึงสติกลับมาจากความตกใจในทันที เขาเริ่มทวนที่เฉินเฉินพูดในขณะที่เริ่มท่องบทการไถ่โทษอสูรขั้นพื้นฐาน

 

“มันคือโลกแห่งความชอบธรรม ชีวิตทั้งมวลในโลกนี้ขึ้นอยู่กับมันเพื่อความอยู่รอดและเจริญเติบโต เหนือขึ้นไปข้างบน มันแจ่มแจ้งเหมือนภูผา ลึกลงไปข้างล่าง มันแจ่มแจ้งเหมือนผืนปฐพี…”

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง จางจีรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของเขาได้ถูกเติมเต็มในขณะที่เขาท่องประโยคเหล่านี้ออกมา มันเหมือนกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และผืนดินอันเกรียงไกร ที่กำลังมอบความมั่นใจที่สูงส่งให้กับเขา

 

ในระหว่างนั้น ความกลัวที่เขามีต่ออสูรที่อยู่ในรถม้าหรูก็ได้หายไปโดยสิ้นเชิง

 

อสูรมันจะซักเท่าไหร่กันเชียวเมื่อได้เผชิญหน้ากับท้องฟ้าและผืนดิน?

 

ด้วยเหตุนี้เองน้ำเสียงของเขาจึงดังขึ้นเรื่อย ๆในขณะที่ท่อง และออร่าที่ไม่รู้จักก็เริ่มแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา

 

ณ เวลานี้ คนธรรมดาที่อยู่ในพื้นที่ได้หลุดพ้นจากการล่อลวงแล้ว เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้า พวกเขาก็ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนด้วยความตกตะลึง

 

พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย

 

“พวกเจ้าสองคน หุบปากซักที!”

 

น้ำเสียงยั่วยวนในรถม้าไม่มีความเยือกเย็นและความสงบอยู่อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความโกรธ

 

และก็แน่นอน เฉินเฉินกับจางจีไม่ได้หยุดท่อง แต่พวกเขากลับเพ่งสมาธิในการท่องมากขึ้นเรื่อย ๆ และออร่าที่ไม่รู้จักนี้ก็รุนแรงและหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

 

“ช่างหัวโลกที่ชอบธรรมซะเถอะ! พวกเจ้าสองคนทำให้ข้าโกรธจนได้นะ!”

 

ด้วยเสียงคำรามที่เกรี้ยวกราด รถม้าหรูก็ระเบิดออกแล้วสิ่งที่รูปร่างเหมือนคนก็พุ่งออกมาจากข้างใน ร่างนั้นได้เปลี่ยนไปกลางอากาศ และในตอนที่มันมาถึงพื้น มันก็ได้เปลี่ยนเป็นปีศาจจิ้งจอกสองหางที่มีสีขาวบริสุทธิ์ยาวประมาณห้าเมตรและสูงประมาณสองเมตร

 

“อสูร!”

 

นักรบที่อยู่ใกล้ ๆกรีดร้องออกมาสุดเสียงในขณะที่เขาพยายามหนีหลังจากที่ร้องโหยหวน อย่างไรก็ตาม ปีศาจจิ้งจอกสองหางได้ตบเขาอย่างรุนแรง และเขาก็ถูกขยี้ ณ ตรงนั้นเลย

 

“ข้าจะฉีกพวกเจ้าทุกคนให้เป็นชิ้น ๆ!”

 

ปีศาจจิ้งจอกพูดภาษามนุษย์ เหมือนกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย มันพุ่งเข้าใส่เฉินเฉินและจางจีในทันที

 

แต่กระนั้น ก่อนที่มันจะได้พุ่งไปถึงก้าวที่สอง ออร่าที่ไม่รู้จักก็ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงตรงหน้าเฉินเฉินและจางจี

 

ปัง!

 

ด้วยเสียงดังกระหึ่ม อสูรจิ้งจอกก็ถูกกำแพงที่มองไม่เห็นอัดกระเด็นไปข้างหลัง และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็หลุดมาจากลำคอของมัน

 

อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ เฉินเฉินกับจางจีก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีเหมือนกัน โดยเฉพาะจางจี ที่กระอักเลือดออกมาประมาณนึงแล้ว

 

แม้จะมีปัญหา แต่เฉินเฉินก็ท่องบทไถ่โทษอสูรขั้นพื้นฐานต่อ จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปที่กระเป๋าแล้วหยิบเห็ดหลินจือสีม่วงออกมา ซึ่งเขาได้ยัดเข้าไปในปากของจางจี

 

จางจีเป็นคนพบเห็ดหลินจือสีม่วงนี้ ซึ่งในตอนที่จางจีไปทำขาของตัวเองหักเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็ฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาไม่กี่วันด้วยการกินเห็ดหลินจือสีม่วง

 

ในตอนนี้ เห็ดหลินจือสีม่วงยังคงทำงานได้เป็นอย่างดี หลังจากที่กินมันเข้าไป ใบหน้าที่ซีดเผือดของจางจีก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นในทันที

 

เมื่อเห็นอาการของจางจีแล้ว เฉินเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดี ๆนั้นอยู่ได้ไม่นาน ทันใดนั้นเอง อสูรจิ้งจอกก็คลั่งขึ้นมาจากการโดนยั่วยุหนักเกินไป เพราะมันเริ่มฟาดกำแพงที่มองไม่เห็นด้วยหางของมันไม่ยอมหยุด

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

เสียงการปะทะดังขึ้นเป็นชุด และลมโหมกระหน่ำรุนแรงก็กระจายไปทั่วบริเวณ คนธรรมดาที่อยู่ใกล้ ๆไม่สามารถยืนติดพื้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกพัดกระเด็นไปด้านข้าง

 

“พวกเราปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้”

 

เฉินเฉินคิดในใจ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยื่นมือออกมา แล้วเปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้น

 

เมื่อเทียบกับไฟเล็ก ๆของจางจี ไฟของเฉินเฉินสามารถมองว่าเป็นบอลเพลิงได้เลย

 

โดยไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว เฉินเฉินก็โยนบอลเพลิงใส่อสูรจิ้งจอก

 

หลังจากที่ขว้างลูกแรกไปแล้ว เฉินเฉินก็ปล่อยลูกต่อไป ขว้างออกไปลูกแล้วลูกเล่า เขากำลังกระหน่ำบอลเพลิงใส่อสูรจิ้งจอกเหมือนกระแสระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

จางจีที่มองจากด้านข้างรู้สึกตกตะลึง เขาต้องผลาญพลังปราณแทบทั้งหมดเพื่อสร้างลูกไฟขนาดเล็ก ๆเพียงลูกเดียว แต่เฉินเฉินดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยหลังจากที่ปล่อยไปขนาดนั้น

 

“ตอนนั้น ข้าแค่รู้ว่าพี่ใหญ่เป็นคนที่น่าอัศจรรย์มาก แต่ตอนนี้พอข้าได้เข้าสู่หนทางแห่งเซียน ก็ได้มีความเข้าใจใหม่แล้วว่าพี่ใหญ่ยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก”

 

ในตอนนี้ จางจียิ่งชื่นชมเฉินเฉินขึ้นไปอีก

 

 

“ลูกไม้ไร้สาระหน่า!”

 

อสูรจิ้งจอกคำรามอย่างดุดัน จากนั้นมันก็หยุดโจมตีกำแพงล่องหน แล้วอ้าปากที่ใหญ่โตของมันแทนจากนั้นมันก็พ่นลมกรรโชกออกมา แล้วลูกบอลเพลิงทั้งหมดก็ถูกดับลงในทันที

 

“อสูรตัวนี้มีระดับการฝึกตนสูงกว่าข้ามาก ถ้าไม่มีกลยุทธ์ในการจัดการมันโดยเฉพาะ ข้าคงจะถูกจัดการในไม่กี่กระบวนท่า”

 

เฉินเฉินอดรู้สึกกลัวกับปัญหานี้ไม่ได้ มันถือว่าโชคดีแล้วที่เขาไม่ถูกจับได้ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่รอดแล้ว

 

“พี่ใหญ่ พวกเราจะเอายังไงดี? ท่านหนีไปก่อนดีไหมครับ….” จางจีพูดอย่างลำบากใจ

 

“ทำไมข้าต้องไปด้วย? นี่มันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และมันก็เป็นแค่อสูร มันเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน?”

 

เฉินเฉินตำหนิจางจี จางจีนั้นก็ท่องบทไถ่โทษอสูรขั้นพื้นฐานต่อ ในระหว่างนั้น เขาก็แอบเอาชิ้นส่วนสมบัติออกมา

 

เขายังมีอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับจัดการอสูรอยู่จำนวนนึงในย่ามของเขา ไม่มีทางที่ตอนนี้เขาจะโค่นอสูรตัวนี้ไม่ได้!

 

ครู่ต่อมา เฉินเฉินก็ปล่อยบอลเพลิงไปอีกสองสามลูก

 

ในตอนที่อสูรจิ้งจอกเห็นเฉินเฉินใช้พลังปราณอย่างเปล่าประโยชน์ ความผิดหวังก็แสดงออกมาทางดวงตาที่ใหญ่โตของมัน หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มขยายตัว

 

ในตอนที่มันอ้าปาก ลมอสูรที่รุนแรงกว่าเดิมสิบเท่าก็ถูกปล่อยออกมา

 

ในการเผชิญหน้ากับลมอสูร บอลเพลิงของเฉินเฉินถูกดับไปในทันที เหมือนกับเปลวเทียนที่อยู่ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ หลังจากนั้นไม่นาน ลมอสูรก็ปะทะกับกำแพงล่องหนอย่างรุนแรง

 

ตูมม!

 

ด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น จางจีก็ทรุดลงกับพื้น เฉินเฉินโดนพลังย้อนจนถอยไปสองสามก้าว แล้วเลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากของเขา

 

อย่างไรก็ตาม อสูรจิ้งจอกก็ไม่ได้อยู่ในสภาพดีเหมือนกัน ชิ้นส่วนสมบัติที่เฉินเฉินซ่อนเอาไว้ในบอลเพลิงได้ทะลวงลมอสูรแล้วเจาะเข้าไปในขาขวาของมัน

 

แม้ว่าชิ้นส่วนสมบัติจะดูค่อนข้างธรรมดา และบาดแผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ใหญ่อะไร แต่อสูรจิ้งจอกเริ่มดิ้นพล่านไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เสียงโหยหวนที่เล็ดลอดมาจากลำคอของมันได้ส่งความหวาดกลัวไปทั่วทั้งป่า และนกฝูงใหญ่ก็พากันบินหนีออกไป