ทหารประจำจวนรับคำ แล้วก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แล้วก็เหลือบมองร่างอันไร้วิญญาณของเฉี่ยวเยว่อีกแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งให้คนหาผ้ามาคลุมให้นาง ฮูหยินราชเลขาเดินมาถึงห้องของหลินหันเยียนโดยมีสาวใช้ช่วยประคองอยู่
หลินหันเยียนยังไม่ฟื้นขึ้นมา นอนอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
ฮูหยินราชเลขาทั้งกระวนกระวายทั้งปวดใจ ตะโกนสั่งสาวใช้ว่า “รีบออกไปดูหน่อยเถอะ เหตุใดท่านหมอยังไม่มาอีก!”
สาวใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกไปอย่างลนลาน
เสียงคนเฝ้าประตูดังขึ้นว่า “ฮูหยินขอรับ ท่านหมอมาแล้ว”
“รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า” ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นด้วยความกระวนกระวายใจ
สาวใช้เดินออกไปถึงหน้าประตูพอดีจึงได้รีบร้อนเปิดม่านประตูออก หมอชราหนวดเคราสีขาวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องยา
“เร็ว ท่านหมอ รีบมาตรวจดูอาการของเยียนเอ๋อร์เร็วเข้า ตกลงว่านางเป็นอะไรกันแน่” น้ำเสียงของฮูหยินราชเลขายิ่งดูร้อนรนกระวนกระวายใจขึ้นมาก
เห็นหลินหันเยียนมีสีหน้าซีดขาว นอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน หมอชราจึงคิดว่านางอาจจะป่วยหนักมาก จึงรีบวางกล่องยาไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบหมอนตรวจชีพจรออกมา จากนั้นนั่งลงบนตั่งที่อยู่ข้างเตียง ส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกสาวใช้ส่งแขนของนางมา
สาวใช้เอี้ยวตัวไปจับข้อมือของหลินหันเยียนมาวางไว้บนหมอนตรวจชีพจร จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้าผืนบางมาวางทับข้อมือของนางไว้
หมอชราวางมือลงบนจุดชีพจรตรงข้อมือของหลินหันเยียนที่มีผ้าเช็ดหน้าผืนบางกั้นอยู่ตรงกลาง กลั้นหายใจและตรวจชีพจรให้นางอย่างละเอียด
ฮูหยินราชเลขามองเขาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
หมอชราตรวจชีพจรอยู่นานหลายอึดใจก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น จากนั้นชักมือกลับมาแล้วเอ่ยกับฮูหยินราชเลขาว่า “คุณหนูหลินหาได้เป็นอันใดไม่ เพียงแต่ได้รับการกระทบกระเทือนใจจากภายนอกจนเป็นลมไป มิได้มีอะไรหนักหนา เมื่อถึงเวลาจะฟื้นขึ้นมาเอง”
ฮูหยินราชเลขาถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวต่อเนื่องขึ้นว่า “ขอบคุณท่านหมอ ลำบากท่านแล้ว”
หมอชราโบกมือ จากนั้นเก็บหมอนตรวจชีพจร ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บหมอนตรวจชีพจรไว้ในกล่องยา แล้วสะพายกล่องยาไว้ด้านหลัง
ฮูหยินราชเลขาสั่งสาวใช้ติดตามว่า “พาท่านหมอไปห้องบัญชีมอบเงินให้ห้าตำลึง”
หมอชราคำนับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณฮูหยิน”
สาวใช้พาหมอชราไปยังห้องบัญชี
ฮูหยินราชเลขาเดินมาถึงข้างเตียง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้หลินหันเยียน จึงหมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วเอ่ยถามสาวใช้ของหลินหันเยียนว่า “ตกลงว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
วันนี้สาวใช้ตกใจจนแทบเสียสติ จนถึงเดี๋ยวนี้จิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อได้ยินฮูหยินราชเลขาถามขึ้นจึงเล่าด้วยอาการสั่นระริกและเล่าตามจริงว่าหวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้คนลงโทษเฉี่ยวเยว่จนตาย แล้วบังคับให้หลินหันเยี่ยนไปดูการลงโทษให้เห็นกับตาตัวเอง
เมื่อฮูหยินราชเลขาได้ฟังถึงตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนบังคับให้หลินหันเยียนไปดูการลงโทษให้เห็นกับตาตัวเองก็โมโหเสียยกใหญ่ ตบเก้าอี้ดังฉาด แล้วกล่าวขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “รังแกกันเกินไปแล้ว! เยียนเอ๋อร์เป็นถึงคุณหนูจวนราชเลขา ให้เขาดูหมิ่นหยามเกียรติได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ”
สาวใช้ตกใจจนต้องทรุดกายลงคุกเข่าเสียงดังตุบ
ฮูหยินราชเลขายิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้น ตะโกนถามขึ้นเสียงดังลั่นว่า “สั่งพวกเจ้าไว้ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับหญิงชชาวบ้านคนนั้นห้ามบอกคุณหนูมิใช่หรือ พวกเจ้าเห็นคำพูดของข้าเป็นเพียงลมที่พัดผ่านเช่นนั้นหรือ”
สาวใช้กล่าวขึ้นอย่างลนลานว่า “ฮูหยินโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ เรื่องนี้เฉี่ยวเยว่เป็นคนบอกคุณหนูเอง บ่าวบอกนางแล้วแต่นางไม่ฟัง ดึงดันที่จะบอกคุณหนูให้ได้ อีกทั้งยังยุยงให้คุณหนูส่งจดหมายให้คุณชายรองด้วยว่าให้ไปสืบว่าร้านบะหมี่มันฝรั่งนั้นอยู่ที่ใด บอกว่าจะไปสั่งสอนนางคนนั้น”
เฉี่ยวเยว่มีหน้าตางดงาม อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย เหตุผลที่ฮูหยินราชเลขาให้นางอยู่ข้างกายของหลินหันเยียนก็เพราะว่าจะให้นางไปตักเตือนบุตรสาวที่ใสซื่อไร้เดียงสาว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ หลายปีมานี้เฉี่ยวเยว่ปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้เอาชีวิตไปทิ้งได้ อีกทั้งยังทำให้เยียนเอ๋อร์ต้องมาตกใจจนเป็นลมไม่ยอมฟื้นไปด้วย
ฮูหยินราชเลขาไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นต่อว่า “พวกเจ้าไปพูดอะไร ถึงได้ทำให้ซื่อจื่อโมโห”
สาวใช้ตอบทันทีว่า “ตอนที่พวกเราไปนั้นซื่อจื่อมิได้อยู่ในร้าน เป็นเฉี่ยวเยว่ที่บอกกับแม่นางคนนั้นว่า ว่า…”
“ว่าอะไร” ฮูหยินราชเลขาตำหนินางเสียงดัง
สาวใช้ตกใจรีบพูดทันใดว่า “บอกว่าต่อไปนางต้องแต่งเข้าจวนอ๋องฉีตามคุณหนูไป ต่อมาแม่นางคนนั้นจึงไปบอกกับซื่อจื่อ ซื่อจื่อจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงสั่งให้คนลงโทษนางจนตาย”
เหมือนกับว่าฮูหยินราชเลขาพอจะเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง ขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า “เจ้าบอกกับข้ามาว่าเวลานั้นนางพูดว่าอย่างไร”
สาวใช้เล่าอย่างละเอียด
ฮูหยินราชเลขาด่าทอเสียงดังว่า “นางโง่ เยียนเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงานนางก็กล้ากล่าวเช่นนั้น นี่มิใช่ว่าหาเรื่องตายเองหรอกหรือ”
สาวใช้คุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าเอื้อนเอ่ย
ฮูหยินราชเลขายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ สีหน้าคล้ำลงเป็นอย่างยิ่ง
สาวใช้ที่อยู่กันเต็มห้องต่างก็ตกใจจนไม่กล้าหายใจแรง
หลินหันเยียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ส่งเสียงดังขึ้นเบาๆ
ฮูหยินราชเลขารีบลุกขึ้น แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ ถามขึ้นเสียงเบาว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินหันเยียนยังสับสนมึนงงอยู่บ้าง ถามเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านแม่ ข้าอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินราชเลขานั่งลงข้างเตียง เอื้อมมือไปเก็บปอยผมที่ปรกระอยู่ตามหน้าผากอย่างแผ่วเบา แล้วกระซิบอย่างอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว นี่เป็นห้องของเจ้าเอง ไม่มีอะไรแล้ว”
เหมือนกับว่าหลินหันเยียนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสักครู่ขึ้นได้ จึงขดตัวงอเข้า มีแววหวาดผวาอยู่เต็มใบหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “ท่านแม่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เฉี่ยวเยว่ถูกตีตายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ”
แม้ว่าในแต่ละวันหลินหันเยียนจะตามบิดาและพี่ชายไปฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้เป็นประจำก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาว ราชเลขากับฮูหยินต่างก็เอาอกเอาใจนางมาก อีกทั้งอายุยังน้อย เรื่องน้อยใหญ่ต่างก็ไม่ยอมให้นางได้กระทบกระเทือนใจ ยิ่งการตีคนจนตายเช่นนี้ยิ่งยอมไม่ได้ เวลานี้บุตรสาวตกใจจนมีสภาพเช่นนี้ ฮูหยินราชเลขาปวดใจจนแทบจะทนไม่ได้ จึงก้มลงไปกอดบุตรสาวของตนเอง ยื่นมือไปตบหลังของนางพร้อมกับกระซิบปลอบโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว”
ทันใดนั้นหลินหันเยียนก็กอดฮูหยินราชเลขาจนแน่น อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บไว้ได้ระเบิดออกมา โหยไห้เสียงดัง ร้องไห้พลางพร่ำพูดไม่หยุดว่า “ท่านแม่ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”
ตั้งแต่เด็กจนโตหลินหันเยียนไม่เคยร้องไห้เช่นนี้มาก่อน ฮูหยินราชเลขาเจ็บปวดหัวใจจนถึงขึ้นเกิดความคิดที่จะสังหารหวงฝู่อี้เซวียน แต่ก็กลัวอำนาจเบื้องหลังของเขา จึงกล่าวปลอบโยนเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว แม่อยู่นี่”
เมื่อด้านราชเลขาสองคนพ่อลูกได้ยินทหารประจำจวนรายงาน ก็รีบกลับจวนทันที ถึงเรือนหลินหันเยียนกำลังจะก้าวเข้าประตูเรือนก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของหลินหันเยียนดังขึ้น จึงเร่งเดินเข้าไปทันที พอเดินเข้าไปในห้อง ราชเลขาก็ถามขึ้นว่า “เยียนเอ๋อร์เป็นอะไร เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในบ้านหรือ”
ฮูหยินราชเลขาโบกไม้โบกมือให้เขา บอกเขาเป็นนัยๆ ว่าอย่าเพิ่งถาม
ราชเลขาเข้าใจ ถึงแม้จะกระวนกระวายใจ แต่ก็มิได้ซักไซ้อะไรขึ้นอีก ยืนอยู่ข้างเตียงมองบุตรสาวอันเป็นที่รักด้วยความปวดใจ
เสียงร้องไห้ของหลินหันเยียนค่อยๆ เงียบลงไปจนกลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้น
ฮูหยินราชเลขาตบหลังนางด้วยความอดทน
หลินหันเยียนร้องไห้จนเหนื่อยจนรู้สึกง่วงแล้วหลับลงไปอีก
ฮูหยินราชเลขาสั่งงานสาวใช้เสียงเบาว่าให้ไปเอาผ้าขนหนูเปียกมา แล้วเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของนางจนสะอาด กระซิบสั่งให้สาวใช้คอยดูแลนาง แล้วจึงบอกเป็นนัยๆ ว่าให้ราชเลขาสองคนพ่อลูกตามตนไปที่เรือนของตัวเอง
พอเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ราชเลขาถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้านกันแน่”
ฮูหยินราชเลขาเล่าเรื่องที่ทราบจากสาวใช้ให้พวกเขาสองคนพ่อลูกฟังอย่างรวดเร็ว
หลินจ้งยอมไม่ได้ จึงลุกขึ้นยืนทันที กล่าวด้วยความโมโหว่า “มันจะมากเกินไปแล้ว ลูกจะไปขอคำอธิบายจากจวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้”
ถึงแม้ราชเลขาก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน แต่เป็นการที่เป็นขุนนางมานานหลายปีทำให้คุ้นเคยกับการที่ต้องเข้าใจเรื่องราวและไตร่ตรองอย่างละเอียดก่อนค่อยลงมือทำการอันใด จึงยกมือขึ้นห้ามบุตรชายของตนเอง “จ้งเอ๋อร์อย่าวู่วามไป เรื่องนี้พวกเราต้องปรึกษากันให้ดีก่อน ถึงค่อยไปเรียกร้องหาความยุติธรรม”
ถึงอย่างไรหลินจ้งก็ยังอายุน้อย นิสัยมุทะลุใจร้อน กล่าวว่า “มีอะไรต้องปรึกษาอีกเล่า ซื่อจื่ออ๋องฉีรู้อยู่เต็มอกว่าเยียนเอ๋อร์นางเป็นว่าที่ชายาของเขา ยังปฏิบัติต่อนางเช่นนี้อีก เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเยียนเอ๋อร์อยู่ในสายตา หากเราไม่ใช้โอกาสนี้ทำให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ซื่อจื่อรับประกันแล้วล่ะก็ หลังจากแต่งงานไปแล้วอาจไม่เหลือเลยแม้แต่ฐานะตำแหน่ง”
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้มิอาจโทษว่าเป็นความผิดของซื่อจื่อได้ทั้งหมด เป็นเฉี่ยวเยว่เองที่ไม่อาจระงับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองได้ ยุยงเสี้ยมสอนให้เยียนเอ๋อร์ไปก่อเรื่อง สุดท้ายได้ไปเจอเข้ากับซื่อจื่อพอดี ถึงได้เสียชีวิตของตัวเองไปเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังทำให้เยียนเอ๋อร์เดือดร้อนไปด้วย” ถือว่าฮูหยินราชเลขายังกล่าวขึ้นอย่างมีสติดีอยู่
หลินจ้งยังไม่สามารถระงับโทสะได้ “ถึงแม้เฉี่ยวเยว่จะมีความผิดนานัปการ เขาก็สั่งให้คนลงโทษจนตายไปแล้ว เหตุใดถึงต้องบังคับให้เยียนเอ๋อร์ไปดูเฉี่ยวเยว่ถูกตีจนตายด้วยตาของตัวเองด้วยเล่า ข้าคิดว่าเขามีใจไม่ซื่อ ต้องการให้จวนราชเลขาของเรายกเลิกการหมั้นครั้งนี้เอง”
ฮูหยินราชเลขาตำหนิเขา “จ้งเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว งานแต่งงานครั้งนี้ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว แม้แต่ไทเฮาที่อยู่ในวังหลวงยังเคยเข้ามาเกี่ยวข้อง มีอย่างหรือที่เขาบอกว่าจะยกเลิกก็ยกเลิกได้”
ถึงแม้ว่าหลินจ้งจะยังโกรธอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ราชเลขากล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเกียรติของจวนราชเลขาเรา จึงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน แต่ว่าไม่อาจทำการณ์อันใดโดยการวู่วาม ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกคนจับจุดอ่อนเอาได้ มีแต่เป็นโทษต่อเรา”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้าเห็นด้วย “นายท่านกล่าวถูกแล้ว ซื่อจื่อมีฐานะสูงส่ง การที่จะลงโทษสาวใช้คนหนึ่งที่ไม่เคารพเขาจนถึงแก่ความตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเราดื้อดึงจับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย ไม่แน่ว่าอาจจะถูกคนอื่นว่าเอาได้ว่าจวนราชเลขาของเรามีกฎบ้านไม่เข้มงวดพอ ขนาดแค่สาวใช้ยังสั่งสอนได้ไม่ดี กลับต้องทำให้พวกเราเองถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่เสียหาย”
ราชเลขาไตร่ตรองสักพักแล้วกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเฉี่ยวเยว่ถูกซื่อจื่อตีจนถึงแก่ความตาย ก็ให้ใช้เสื่อฟางห่อแล้วโยนทิ้งไปที่สุสานอนาถา แสดงให้จวนอ๋องฉีได้เห็นท่าทีของเราก่อน ส่วนเรื่องที่จะไปถามหาความรับผิดชอบจากจวนอ๋องฉีนั้นขอให้ข้าไตร่ตรองดูสักพัก รอข้าพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เราค่อยไปหาที่จวน จะต้องจับจุดที่เจ็บปวดที่สุดของซื่อจื่อไว้ให้ได้ ต่อไปจะได้มิกล้ากำเริบเสิบสานกระทำความผิดต่อจวนราชเลขาของเราอีก”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า
อาการเดือดดาลของหลินจ้งก็สงบลงไปชั่วคราว
ฮูหยินราชเลขาสั่งให้คนไปตามผู้ดูแลบ้านมา แล้วสั่งงานลงไป