ตอนที่ 37-2 ไปเอาเรื่องถึงหน้าประตูบ้าน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลังจากที่ผู้ดูแลบ้านรับคำสั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถอยออกไป จากนั้นชี้นิ้วสั่งให้คนห่อศพเฉี่ยวเยว่ แล้วตามไปดูการโยนศพไว้ที่สุสานอนาถาด้วยตัวเอง คิดแล้วก็รู้สึกปลง เด็กคนนี้ติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูมาตั้งแต่ยังเล็ก คุณหนูกับฮูหยินต่างก็ให้ความสำคัญมาก มีสายตาเฉียบคม ความสามารถในการแยกแยะว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรล้วนแต่ทำได้ดีตลอดมา คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะมีจุดจบเช่นนี้ได้

 

 

ถือว่าหมากกระดานนี้จวนราชเลขาสามีภรรยานั้นวางได้ดี เริ่มด้วยการจัดการเรื่องศพของเฉี่ยวเยว่อย่างไร้ค่า ตัดความสัมพันธ์กับตนเองให้สะอาดหมดจด ทำให้คนนอกคิดว่าตัวของเฉี่ยวเยว่เองนั้นเกิดความคิดที่ไม่ควรมี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จากนั้นค่อยคิดหาวิธีคุกคามและบีบบังคับจวนอ๋องฉีให้รีบจัดงานแต่งงานโดยเร็ว ตราบใดที่พิธีแต่งงานได้ผ่านพ้นไปอย่างเป็นทางการ การแต่งงานครั้งนี้ก็จะเป็นสิ่งแน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก ไม่ว่าเขาซื่อจื่ออ๋องฉีก็ไม่กล้าเปลี่ยนใจได้อีก

 

 

พวกเขาเพียงแค่คิดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องมักไม่เป็นดั่งใจปรารถนา ในตอนที่พวกเขายังคิดไม่ตกว่าจะใช้เหตุผลข้อใดไปจวนอ๋องฉีนั้นเอง กลางดึกคืนนั้น สาวใช้ที่รับหน้าที่เฝ้าดูแลหลินหันเยียนในห้องก็วิ่งเข้ามาในเรือนด้วยท่าทางลุกลนอย่างเสียมารยาท ปลุกพวกเขาให้ตื่นจากความฝัน “นายท่าน นายหญิงเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูตัวร้อนมาก เอาแต่พูดจาไร้สติ พวกเราทำทุกอย่างอาการตัวร้อนก็ไม่ลดลงเลยเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านราชเลขาและฮูหยินสองคนสามีภรรยาต่างก็เร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก ร้องเรียกสาวใช้ที่อยู่กะดึกหาเสื้อผ้ามาใส่ให้พวกเขา แล้วรีบเดินไปที่ห้องของหลินหันเยียนอย่างรีบร้อน เห็นนางหน้าแดงเถือก สองตาหลับใหล สองแขนชูขึ้นโบกสะเปะสะปะ ร้องตะโกนไม่หยุดว่า “ไม่เอา ไม่เอา ข้าไม่เอา!”

 

 

ฮูหยินราชเลขากระวนกระวายใจจนทนไม่ไหว ดุสาวใช้ขึ้นว่า “ไปเรียกผู้ดูแลบ้านมา บอกให้เขาไปเชิญท่านหมอมาเร็ว!”

 

 

สาวใช้ไม่มีเวลามารับคำ วิ่งออกไปอย่างเร่งรีบทันที

 

 

ฮูหยินราชเลขานั่งลงข้างเตียง สองมือจับมือของหลินหันเยียนที่กำลังโบกขึ้นอย่างสะเปะสะปะ กระซิบว่า “เยียนเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว แม่อยู่นี่แล้ว”

 

 

หลินหันเยียนสติเลือนรางไปหมดแล้ว ไหนเลยจะฟังคำพูดของนางรู้เรื่อง พลางร้องไม่ขาดปากว่า “ข้าไม่เอา ข้าไม่เอา!”

 

 

มองดูบุตรสาวที่มีท่าทางไร้สติสตังเช่นนี้ ฮูหยินราขเลขาก็รู้สึกปวดหัวใจจนน้ตาไหลออกมา กล่าวขี้นโดยไม่ยั้งคิดว่า “หากบุตรสาวของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะให้พวกเขาจวนอ๋องฉีตายตามไปด้วย!”

 

 

ราชเลขายังพอมีสติอยู่บ้าง จึงตำหนินางว่า “ฮูหยิน อย่าพูดจาเหลวไหล หากคำพูดนั้นถึงหูของฮ่องเต้แล้วล่ะก็ ศีรษะของคนในจวนราชเลขาของเราจะรักษาไว้ไม่ได้”

 

 

ฮูหยินราชเลขาไม่กล่าวอะไรอีก กระซิบปลอบโยนบุตรสาวของตนเองด้วยน้ำตาไหลเอ่อ

 

 

ราชเลขาร้องตะโกนออกไปข้างนอกด้วยความร้อนรนว่า “รีบไปดูสิ เหตุใดท่านหมอยังมาไม่ถึงอีก”

 

 

มีเสียงตอบรับจากด้านนอก จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังไกลออกไป

 

 

ดูเหมือนว่าคราวนี้หมอชราคงจะถูกไปรับตัวมาจากบ้าน เห็นได้จากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ค่อนข้างหลุดลุ่ยสวมใส่ยังไม่เรียบร้อย และเสียงหายใจกระหืดกระหอบมาอีก

 

 

ฮูหยินราชเลขาไม่มีเวลามาสนใจว่าเขาไม่เรียบร้อยหรือไม่ กล่าวกับเขาอย่างร้อนใจว่า “เร็ว เร็ว รีบมาตรวจอาการเยียนเอ๋อร์เร็วเข้า”

 

 

หมอชราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จัดการลมหายใจของตนเองเรียบร้อยแล้ว จึงเอากล่องยามาวางไว้บนโต๊ะอย่างว่องไว หยิบหมอนตรวจชีพจรออกมาตรวจให้หลินหันเยียน

 

 

ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็ไม่กล้าหายใจเสียงดัง พุ่งสายตามองเขาเป็นจุดเดียวกัน

 

 

ผ่านไปนานหลายอึดใจหมอชราจึงพูดขึ้นว่า “ที่คุณหนูหลินเป็นคืออาการตกใจมากเกินไป ถึงทำให้ตัวร้อนขึ้น ข้าจะจดตำรับยาให้ แล้วพวกเจ้ารีบไปเอายามาต้มให้นางกิน เหงื่อออกแล้วก็จะไม่เป็นอันใดแล้ว”

 

 

“รีบไปเอากระดาษกับพู่กันมาให้ท่านหมอเร็วเข้า” ฮูหยินราชเลขาสั่งงานด้วยอาการลนลาน 

 

 

สาวใช้คนหนึ่งวิ่งออกไปแล้วเอากระดาษกับพู่กันกลับมาอย่างรวดเร็ว

 

 

หมอชราเขียนตำรับยาเรียบร้อย

 

 

ราชเลขาสั่งผู้ดูแลบ้านที่เฝ้าอยูหน้าประตูว่า “ส่งคนไปเอายามา จำไว้ว่าอย่าทำให้ผู้คนรอบๆ แตกตื่น”

 

 

เวลากลางดึกหอโอสถปิดทำการแล้ว ไปเอายาเวลานี้คงต้องเจอกับผู้เฝ้าประตูหอโอสถอย่างแน่นอน ราชเลขาเกรงว่าพวกทหารประจำจวนจะทำงานอย่างบุ่มบ่าม จนทำให้คนในหอโอสถตกใจ หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นคงไม่ออกคำสั่งเช่นนี้ออกไป

 

 

ผู้ดูแลบ้านเข้าใจในคำสั่งของเขา เรียกทหารประจำจวนคนหนึ่งเข้ามา กระซิบสั่งงานเขาสองสามประโยค

 

 

หลังจากที่ทหารประจำจวนตอบรับเสียงเบาแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

หมอชราที่อยู่ในห้องสั่งให้พวกสาวใช้เอาผ้าชุบน้ำเย็นที่บิดจนหมาดแล้ววางไว้บนหน้าผากของหลินหันเยียนเรื่อยๆ เหมือนกับว่าจะทำให้ความร้อนลดลง

 

 

ทหารประจำจวนทำงานอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เอายากลับมาได้ หลังจากที่หมอชราตรวจสอบแล้วจึงพยักหน้า

 

 

ฮูหยินราชเลขาสั่งให้สาวใช้ไปต้มยาแล้วก็ตักใส่ชามมา คิดจะให้หลินหันเยียนได้ทานยา

 

 

เวลาผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูป หน้าผากของหลินหันเยียนก็เริ่มมีเม็ดเหงือผุดซึมออกมา ใบหน้าที่แดงเถือกก็ค่อยๆ ลดลงไป คนก็เงียบสงบลงเช่นกัน

 

 

หมอชราลุกขึ้น เดินไปตรวจดูอาการของนางสักพัก แล้วกล่าวว่า “เริ่มมีเม็กเหงื่อผุดออกมาแล้ว อีกสักพักตัวที่ร้อนอยู่ก็จะลดลงไป อีกประมาณครึ่งชั่วยามคุณหนูหลินก็จะได้สติตื่นขึ้นมาแล้ว”

 

 

ฮูหยินราชเลขากล่าวขอบคุณ

 

 

หมอชราโบกมือกล่าวว่า “เป็นหน้าที่อยู่แล้ว ฮูหยินมิจำเป็นต้องเกรงใจ”

 

 

ราชเลขาสั่งให้ผู้ดูแลบ้านมอบตำลึงเงินเป็นสินน้ำใจ แล้วก็จัดหาคนไปส่งเขากลับจวน

 

 

แล้วก็เป็นไปตามที่บอกไว้ ครึ่งชั่วยามต่อมาหลินหันเยียนก็ได้สติลืมตาฟื้นขึ้นมา

 

 

ราชเลขาและฮูหยินสองสามีภรรยาต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

หลินหันเยียนถามขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินราชเลขากล่าวปิดบังความจริงว่า “อาจเป็นเพราะวันนี้ออกไปจนทำให้ร่างกายได้รับความเย็น จึงตัวร้อนไม่สบายไปบ้าง แม่ให้เจ้ากินยาไปแล้ว เจ้านอนพักสักครู่ก็จะดีขึ้นเอง”

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง หลับตาลงแล้วนอนหลับไป

 

 

ราชเลขาและฮูหยินสองสามีภรรยาต่างก็คิดว่าหลินหันเยียนไข้ลดลงไปแล้ว นอนหลับสักพักก็จะดีขึ้น ไม่คิดเลยว่าอีกหลายวันถัดมาหลินหันเยียนก็ไม่สบายตัวร้อนขึ้นอีก หลังจากที่ทนทรมานอยู่หลายวัน หลินหันเยียนก็ผ่ายผอมลงไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ฮูหยินราชเลขาเห็นบุตรสาวผ่ายผอมลงทุกวันอย่างต่อเนื่อง คนทั้งคนดูซีดเซียวจนแทบไม่เป็นท่า นางทั้งโกรธทั้งร้อนใจ กล่าวกับราชเลขาว่า “นายท่าน ที่เยียนเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าซื่อจื่ออ๋องฉีเป็นคนทำ เราต้องไปเรียกร้องหาความยุติธรรมจากพวกเขานะเจ้าคะ”

 

 

ราชเลขาเห็นบุตรสาวมีสภาพเช่นนี้ก็รู้สึกปวดใจจนทนไม่ไหว จึงรักษาอาการสงบเช่นในวันวานไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ได้ เราจะไปจวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้”

 

 

หลังจากที่สั่งให้สาวใช้ดูแลหลินหันเยียนเรียบร้อยแล้ว ราชเลขาและฮูหยินสองสามีภรรยาก็นั่งรถม้าเดินทางไปยังจวนอ๋องฉี

 

 

ทั้งสองคนลงจากรถม้า เดินตรงเข้าไปเห็นคนเฝ้าประตูที่อยู่ข้างหน้า สั่งเขาว่า “ไปรายงานท่านอ๋องของพวกเจ้ากับชายาด้วย บอกว่าพวกเราสองสามีภรรยามาเยี่ยมเยียน”

 

 

คนเฝ้าประตูไม่กล้าชักช้า รีบวิ่งเข้าไปทันที

 

 

เมื่ออ๋องฉีกับพระชายาได้ฟังคนเฝ้าประตูรายงานก็ออกมาพร้อมกัน ออกมาต้อนรับทั้งสองคนด้วยตัวเอง

 

 

พอทุกคนนั่งกันเรียบร้อย หลังจากที่สั่งให้สาวใช้ไปเอาน้ำชามา อ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองว่า “ที่ทั้งสองท่านมาด้วยกันวันนี้ มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ”

 

 

ราชเลขาก็ไม่พูดจาอ้อมค้อม กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านอ๋อง หลายวันก่อนเรื่องที่ซื่อจื่อลงโทษสาวใช้ที่จวนของเราจนตาย อีกทั้งยังบังคับให้บุตรสาวของเราไปดูการสังหารพวกท่านก็น่าจะทราบข่าวแล้ว หลังจากวันนั้นบุตรสาวของเราก็ตกใจจ้นล้มป่วย แค่เพียงไม่กี่วันก็ผ่ายผอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย ที่เราสองคนสามีภรรยามาในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาเรียกร้องความยุติธรรม ที่ซื่อจื่อปฏิบัติต่อบุตรสาวของเราเช่นนี้ตกลงว่าปรารถนาสิ่งใดกันแน่”

 

 

—————————-