อ๋องฉีกับพระชายาก็ได้ทราบข่าวเรื่องนั้นเช่นเดียวกัน ต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่หวงฝู่อี้เซวียนทำลงไปนั้นออกจะเกินไปอยู่บ้าง จึงเรียกเขามาตำหนิเสียยกใหญ่ และสั่งให้เขาไปขออภัยถึงที่จวนราชเลขา
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ปล่อยให้อ๋องฉีตำหนิติเตียนโดยมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่กลับไม่ตอบรับว่าจะไปขออภัยที่จวนราชเลขา
อ๋องฉีโมโหเกินกว่าจะทนไหว แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ คิดว่าสักวันจะให้พระชายาอ๋องฉีไปจวนราชเลขาด้วยตัวเอง ไปกล่าวปลอบโยนจิตใจ
ไม่นึกเลยว่าพวกเขายังไม่ได้ทำอะไร ราชเลขาสองสามีภรรยาก็มาหาถึงจวน
เมื่อพระชายาอ๋องฉีฟังท่านราชเลขาพูดจนจบก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เยียนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
หลายวันมานี้ฮูหยินราชเลขาเหนื่อยล้าไปทั้งกายใจจากอาการการป่วยเป็นไข้ตัวร้อนที่เกิดขึ้นของหลินหันเยียน จึงโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหวงฝู่อี้เซวียน จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนัก “บุตรสาวของหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องให้พระชายาเป็นห่วงหรอกเพคะ ที่หม่อมฉันกับนายท่านมาในวันนี้ก็เพื่อจะถามว่าที่ซื่อจื่อปฏิบัติต่อเยียนเอ๋อร์เช่นนี้ ต้องการสิ่งใดกันแน่?”
พระชายาอ๋องฉีกับฮูหยินราชเลขาเป็นเพื่อนที่สนิทสนมรู้ใจกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย หลายปีที่ผ่านมาฮูหยินราชเลขาไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้ต่อนางมาก่อนเลยสักครั้ง พระชายาอ๋องฉีสะอึกทันที อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
ถึงแม้ใต้เท้าจะรู้สึกว่าฮูหยินของตนพูดจาไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ก็ไม่ได้กล่าวห้ามแต่อย่างใดปล่อยให้นางแสดงความไม่พอใจของตนเองออกมา
ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นอีกว่า “หลายวันก่อนที่ซื่อจื่อทำเช่นนั้นลงไป ทำให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็เล่าลือกันไปจนเกินกว่าที่จะรับได้ ได้ตบหน้าจวนราชเลขาของเราโดยไม่ไว้หน้า เราก็มิได้ว่ากล่าวซื่อจื่อเลยแม้แต่น้อย ยามนี้แค่เพียงสาวใช้คนหนึ่งทำผิดไป ซื่อจื่อกลับปฏิบัติต่อเยียนเอ๋อร์เช่นนี้ หม่อมฉันจึงคิดจะมาถามเขาให้แน่ชัดว่าที่เขาทำเช่นนี้ต้องการสิ่งใดหรือ?”
นี่เห็นได้ชัดว่ามากล่าวโทษหวงฝู่อี้เซวียน อ๋องฉีและพระชายาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว จึงสั่งสาวใช้ว่า “ไปตามซื่อจื่อมา”
สาวใช้รับคำสั่ง เดินไปถึงเรือนด้านนอกของหวงฝู่อี้เซวียน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป จึงบอกกับหวงฝู่อี้ที่กำลังทำความสะอาดอยู่เรือนด้านนอกว่า “คุณชายอี้ อ๋องฉีกับพระชายาเรียกให้ซื่อจื่อไปหาเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้หยุดชะงัก ถามขึ้นว่า “ทราบไหมว่าเรื่องอันใด?”
สาวใช้ไม่กล้าปิดบัง กล่าวว่า “ท่านราชเลขากับฮูหยินมาที่นี่ เหมือนว่าจะมาด้วยเรื่องที่วันนั้นซื่อจื่อลงโทษสาวใช้จนตายเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้พยักหน้า วางของที่อยู่ในมือไว้ข้างๆ แล้วเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็รายงานหวงฝู่อี้เซวียน
วันนี้กั๋วจื่อเจียนหยุดงาน ทราบว่ายามเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าร้าน หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ออกไปหานาง เวลานี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงอย่างสงบ เมื่อได้ยินที่หวงฝู่อี้บอกก็เม้มปากแล้วลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
หวงฝู่อี้เดินตามหลังเขาไปติดๆ
สาวใช้ที่มาตามหลังจากที่ยอบกายลงเคารพแล้วก็เดินตามอยู่เบื้องหลัง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าห้องโถง ทำความเคารพอ๋องฉีและพระชายาก่อน กล่าวทักทายว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่”
อ๋องฉีและพระชายาพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนก็หันไปเคารพราชเลขาสองสามีภรรยาด้วย “ท่านราชเลขา ฮูหยินราชเลขา”
ราชเลขาพยักหน้าบางๆ “ซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว”
ฮูหยินราชเลขากลับส่งเสียงหึขึ้นจมูก กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดีว่า “ซื่อจื่อมีฐานะสูงส่ง ข้ารับการเคารพจากท่านไม่ไหว”
หวงฝู่อี้เซวียนที่ทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านทั้งสองเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ข้าทำความเคารพเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ฮูหยินราชเลขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือแววเสียดสีประชดประชันขึ้นว่า “หาได้ยากยิ่งนักที่ซื่อจื่อยังเห็นเราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เพียงแต่ไม่ทราบว่าคิดเช่นนั้นด้วยใจจริงหรือว่าเคารพเพียงแค่ผิวเผิน?”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ถือสา ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมเช่นเดิม “ฮูหยินเป็นเพื่อนรักของท่านแม่ข้า โชคดีที่หลายปีมานี้ ตอนที่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายนางยังมีท่านคอยดูแล อี้เซวียนเห็นท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยใจจริง”
“ดี ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็จะว่ากันตามตรงไม่เกรงใจแล้ว ข้าอยากถามซื่อจื่อสักเรื่องหนึ่ง” ฮูหยินราชเลขากล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เชิญท่านกล่าว”
ฮูหยินราชเลขาก็มิได้อ้อมค้อม กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าอยากถามซื่อจื่อว่า เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติเช่นนั้นต่อเยียนเอ๋อร์ เจ้าทราบหรือไม่ว่าวันนั้นเยียนเอ๋อร์ตกใจแทบแย่ หลังจากที่กลับไปก็ตัวร้อนขึ้นไม่หยุด จนถึงวันนี้ถึงค่อยดีขึ้นบ้าง”
พอกล่าวถึงเรื่องในวันนั้น สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดูไม่ดีนัก น้ำเสียงก็ไม่ได้เคารพนอบน้อมเหมือนเมื่อกี้นี้ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกระด้างทว่าไม่อ่อนโยนนักว่า “คุณหนูหลินเป็นถึงคุณหนู แต่กลับไม่สนใจฐานะไปก่อกวนที่ร้านของโยวเอ๋อร์ อีกทั้งยังส่งเสริมให้สาวใช้ข้างกายแสดงออกต่อหน้าผู้คนมากมายว่ามีใจคิดในเรื่องที่ไม่สมควรต่อข้า หากไม่ใช่เพราะเห็นว่านางเป็นบุตรสาวของท่านทั้งสอง เกรงว่าวันนั้นจะไม่เพียงแค่ไปชมการสังหารง่ายๆ แต่เพียงเท่านั้น”
“เจ้า…” ฮูหยินราชเลขาถูกตอกกลับจนโมโหพูดไม่ออก
“เซวียนเอ๋อร์!” อ๋องฉีตำหนิเขา “รีบขออภัยฮูหยินเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ท่านพ่อ ลูกเพียงแต่พูดความจริง มีอะไรผิดหรือ?”
อ๋องฉีก็ถูกตอกกลับจนอึ้ง
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นอีกว่า “ได้ข่าวว่าคุณหนูหลินฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก มีสติปัญญาและความกล้าหาญ ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าข่าวนั้นมิใช่ความจริง ที่แท้นางไม่รู้ความถึงเพียงนี้เอง”
คราวนี้ไม่ใช่แค่ฮูหยินราชเลขา แม้แต่ท่านราชเลขายังถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก
สักพักฮูหยินราชเลขาก็กล่าวโต้เถียงข้างๆ คูๆ ว่า “ถึงแม้เยียนเอ๋อร์จะมีความผิด แต่เห็นแก่ที่นางเป็นว่าที่ชายาของเจ้า เจ้าไม่ควรปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น”
นางยังพูดไม่จบเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นว่า “ฮูหยินกล่าวผิดไปแล้ว ว่าที่ชายาของข้ามีโยวเอ๋อร์แต่เพียงผู้เดียว พวกเราใช้หยกประจำกายเป็นพยาน หมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก ข้าได้ให้คำสาบานต่อนางว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งกับนางเพียงผู้เดียว ส่วนคุณหนูหลินนั้น ขอให้ฮูหยินเลือกว่าที่ลูกเขยคนใหม่ที่ดีพร้อมให้แก่นาง อี้เซวียนจะไม่แต่งนางเป็นชายาแน่นอน”
“เจ้า…” ฮูหยินราชเลขาลุกขึ้นยืนฉับพลัน ชี้หน้าหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความโมโหจนพูดไม่ออก
“เซวียนเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหล!” อ๋องฉีและพระชายาต่างก็ตกตะลึงลุกขึ้นตำหนิเขาพร้อมกัน
ด้านราชเลขายิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เขาถามอ๋องฉีด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “ท่านอ๋อง ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?”
อ๋องฉีคิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะพูดต่อหน้าท่านราชเลขาสองสามีภรรยา กล่าวออกมาอย่างชัดเจน เรื่องที่ได้หมั้นหมายไว้กับเมิ่งเชี่ยนโยว จึงรับมือไม่ทันไปชั่วขณะ กล่าวอธิบายอย่างลนลานว่า “เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด มีอะไรที่เป็นเรื่องเข้าใจผิดไป”
ฮูหยินราชเลขาได้สติกลับคืนมา กล่าวเสียงแหลมว่า “มิน่าเจ้าถึงได้ปฏิบัติเช่นนั้นต่อเยียนเอ๋อร์ ที่แท้เป็นเพราะว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว วันนี้ต้องพูดเรื่องนี้กันให้เข้าใจ มิเช่นนั้นข้าจะเข้าวังไปหาไทเฮาเดี๋ยวนี้ ให้พระนางทรงวินิจฉัยให้”
สีหน้าของท่านราชเลขาอึมขรึมจนแทบจะเค้นน้ำออกมาได้ กล่าวขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “หากวันนี้ไม่พูดเรื่องนี้ให้เข้าใจ ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ท่านจะเป็นถึงท่านอ๋องก็ไม่อาจมาล้อเล่นกับเราเช่นนี้ได้”
อ๋องฉีกล่าวขึ้นทันทีว่า “ทั้งสองท่านระงับโทสะลงก่อน เรื่องนี้พูดกันแค่สองสามคำไม่อาจพูดให้เข้าใจได้ เชิญนั่งลงก่อน ข้าจะอธิบายให้พวกท่านฟัง”
ราชเลขาสองสามีภรรยาฮึดฮัดด้วยความโมโห แล้วนั่งลงกลับที่เดิม รอให้อ๋องฉีอธิบายให้ชัดเจน
อ๋องฉีทราบแล้วว่าพวกเขาโมโหถึงขีดสุด จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กรองคำพูดก่อนจะเล่าขึ้นว่า พ่อแม่ของเมิ่งเชี่ยนโยวเก็บอี้เซวียนได้และได้เลี้ยงดูเขามา พ่อแม่ของนางใช้เงินที่อยู่ในห่อผ้าของอี้เซวียนเพื่อช่วยชีวิตของเมิ่งเชี่ยนโยว พ่อแม่ของนางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงหมายหมั้นให้พวกนางแต่งงานกันเอง สุดท้ายกล่าวขึ้นว่า “ต่อมาหลังจากที่เราทราบเรื่องก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ถึงอย่างไรก็เป็นความปรารถนาของพ่อแม่ของเมิ่งเชี่ยนโยวแต่ฝ่ายเดียว คิดไม่ถึงว่าเซวียนเอ๋อร์จะปล่อยวางนางไม่ได้ แต่ว่าพวกท่านโปรดวางใจ การแต่งงานระหว่างคุณหนูหลินกับเซวียนเอ๋อร์จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป รอสักระยะให้คุณหนูหลินอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะเข้าวังไปขอให้ท่านแม่กำหนดวันแต่งงาน ให้พวกเขาแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด”
หลังจากที่ฟังอ๋องฉีอธิบายจบ สีหน้าของราชเลขาสองสามีภรรยาก็ค่อนข้างดีขึ้นบ้าง ท่านราชเลขากล่าวว่า “เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ถึงอย่างไรบิดามารดาของแม่นางคนนั้นก็เคยมีบุญคุณต่อซื่อจื่อ เราก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก เพียงแต่ตอนนี้ท่าทีที่ซื่อจื่อปฏิบัติต่อนางทำให้เราเสียใจยิ่งนัก วันนี้ยังไม่มีการแต่งงาน เขาก็ปฏิบัติต่อเยียนเอ๋อร์เช่นนี้แล้ว หากว่าแต่งงานกันไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเย็นชาต่อเยียนเอ๋อร์ก็เป็นได้”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?” ชายาอ๋องฉีกล่าวต่อว่า “ข้าเห็นเยียนเอ๋อร์เติบโตมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นิสัยอารมณ์ของนางข้าล้วนแต่ชื่นชอบทั้งสิ้น เจ้าวางใจได้ หลังจากนางแต่งเข้าจวนมาข้าจะปฏิบัติต่อนางราวกับเป็นบุตรสาวของตนเอง หากเซวียนเอ๋อร์กล้าเย็นชาต่อนาง ข้าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน”
สีหน้าของฮูหยินราชเลขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาก เพิ่งจะกล่าวจบเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นอย่างยืนยันในคำพูดเดิมว่า “จะไม่มีการแต่งงาน ไม่ว่าพวกท่านจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่ยอมแต่งงานกับคุณหนูหลินเด็ดขาด พวกท่านทิ้งความคิดเช่นนั้นเถอะ”