พอได้ฟังที่เขาพูด จากเดิมที่ราชเลขาสองสามีภรรยาเริ่มระงับความโมโหขุ่นเคืองใจลงได้ก็เริ่มเดือดขึ้นมาอีก ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด “ข้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าซื่อจื่อจะเป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณเช่นนี้ เจ้าหายไปนานหลายปี เราตระกูลราชเลขาไม่มีความคิดที่จะยกเลิกการแต่งงานเลย บัดนี้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว มีฐานะสูงส่งแล้ว แต่กลับต้องการยกเลิกการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์เพียงเพื่อนางสารเลวบ้านป่าคนหนึ่ง เอาเกียรติจวนราชเลขาของเราไปไว้ที่ใด ต่อไปเยียนเอ๋อร์ของเราจะออกไปพบปะผู้คนได้อย่างไร”
พอได้ยินนางเรียกเมิ่งเชี่ยนโยวว่านางสารเลว สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เย็นชาขึ้น ปล่อยไอเย็นเยียบออกมารอบกาย กล่าวโดยไม่ไว้หน้าว่า “หลายปีที่ข้าหายไป ฮูหยินมักพาคุณหนูหลินมาที่นี่ ปากบอกว่ามาเยี่ยมท่านแม่ แต่ภายในนั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่เกรงว่าพวกท่านคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ วันนี้ที่ข้าไม่พูดความจริงออกไปก็เพื่อไว้หน้าของทุกคน ถ้าหากฮูหยินยังพูดจาใส่ร้ายโยวเอ๋อร์อีกล่ะก็ ถึงพวกท่านจะไปฟ้องร้องต่อหน้าเสด็จย่ากับเสด็จลุง ข้าก็มีคำอธิบายได้”
“เซวียนเอ๋อร์ หยุดพูดจาเหลวไหล!” หลังจากที่พระชายาอ๋องฉีตกตะลึง ก็ได้กล่าวตำหนิเขาขึ้น
เรื่องที่เก็บไว้ในใจมานานหลายปีถูกเปิดโปงออกมา ท่านราชเลขาพาลโกรธขึ้น ลุกขึ้นฉับพลัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้” พูดจบก็หันไปพูดกับฮูหยินราชเลขาว่า “ฮูหยิน เรากลับ!”
ฮูหยินราชเลขาลูกขึ้นแล้วออกเดินออกไปพร้อมกันกับท่านราชเลขา
“เตี๋ยชิง เจ้ารอก่อน!” พระชายาอ๋องฉีเรียกชื่อเล่นของฮูหยินราชเลขา แล้ววิ่งตามออกไปโดยมีสาวใช้คอยประคองอยู่
อ๋องฉีเขม็งมองหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง แล้วก็รีบวิ่งตามออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลงบนเก้าอย่างไม่สนใจ รอพวกเขากลับมาด้วยความสงบ
ดูเหมือนว่าราชเลขาสองสามีภรรยาจะออกไปด้วยความโมโหแล้วจริงๆ อ๋องฉีและพระชายาไม่นานก็กลับมา พอเดินเข้ามาเห็นหวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใด อ๋องฉีระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ตำหนิว่า “ลูกเนรคุณ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นโดยไม่รีบร้อนทว่าไม่เชื่องช้า คุกเข่าลงกับพื้น
อ๋องฉีเดินกลับไปกลับมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น กล่าวขึ้นว่า “ข้ากับท่านแม่ของเข้าพยายามรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลราชเลขามาตลอดหลายปี ก็เพื่อหวังว่าสักวันเมื่อเจ้ากลับมาแต่งงานกับคุณหนูหลิน ตระกูลราชเลขาจะได้เป็นกำลังสำคัญเพื่อช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้ากลับทำดีมาก พูดจาแค่ไม่กี่คำก็ทำให้ความพยายามอย่างยากลำบากให้หลายปีที่ผ่านมาของเราต้องสูญเสียไปเปล่าๆ เพื่อสาวบ้านป่ามันคุ้มค่าแล้วหรือ?”
“ท่านพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขา “โยวเอ๋อร์เป็นนางในดวงใจของข้า สี่ปีก่อนข้าเคยบอกกับท่านแล้วว่าหากไม่ใช่นางข้าก็ไม่ยอมแต่งกับใครอีก เป็นท่านเองที่ไม่ยอมใส่ใจ ดึงดันไม่ยอมให้ข้ายกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูหลิน บัดนี้เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ถ้าหากไม่ยอมตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมแล้วล่ะก็ รอให้เสด็จลุงประทานงานแต่งให้ข้าก็ต้องสูญเสียโยวเอ๋อร์ไปเป็นแน่”
“คำก็โยวเอ๋อร์ สองคำก็โยวเอ๋อร์ แม่นางเมิ่งคนนั้นมีอะไรดีกันแน่? ถึงทำให้เจ้าลืมนางไม่ได้เสียที แม้ทุกคนจะตีตัวออกหากญาติมิตรตัดขาดก็จะแต่งกับนางหรือ?” อ๋องฉีกล่าวตำหนิเขาเสียงดัง
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านคงไม่เคยทำงานในตอนกลางวัน งานหนักที่เด็กอายุเพียงเท่านั้นไม่สมควรได้ทำ ตกเย็นยังต้องซักเสื้อผ้าให้คนทั้งบ้านอีก แล้วท่านก็ยังคงไม่เคยที่หลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน แต่กลับได้รับเพียงอาหารแห้งชิ้นหนึ่งเพื่อดำรงชีพ ท่านยิ่งไม่เคยต้องผ่านฤดูทั้งสี่ในหนึ่งปีด้วยเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ย ทั้งหมดนี้ท่านไม่เคยผ่านมันมาก่อน แต่ลูกได้ผ่านมาหมดแล้ว ตอนนั้นหากวันใดที่ลูกทำงานไม่เสร็จก็จะไม่ได้กินข้าวจนอิ่ม หิวจนคิดจะไปแย่งข้าวหมูมากิน ฤดูหนาวสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ ขาดๆ เพียงตัวเดียว ต้องนอนตัวหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางผนังที่มีรูเต็มไปหมด ในแต่ละคืนไม่เคยมีคืนไหนที่นอนหลับลงได้ เป็นโยวเอ๋อร์ที่ช่วยข้าออกมา ทำให้ข้าหลุดพ้นจากความลำบากทั้งหมดนั้น ทำให้ข้ามีครอบครัวที่เป็นห่วงเป็นใยข้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หากไม่มีนางข้าอาจจะทนต่อชีวิตเช่นนั้นไม่ได้ แล้วฆ่าตัวตายก็เป็นได้ หรือบางทีข้าอาจจะถูกขายไปที่อื่นแล้ว ผ่านชีวิตที่ลำบากแสนสาหัสมาได้ ดังนั้นตั้งแต่วันที่โยวเอ๋อร์รับข้าเข้าบ้านข้าก็สาบานแล้ว ว่าจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี ข้าจะปกป้องนางตลอดชีวิต เป็นนางที่ไม่ยอมรับลูก ดังนั้นลูกจึงใช้แผนบางอย่างเพื่อรั้งนางเอาไว้ หากชาตินี้ไม่อาจแต่งงานกับนางได้ ถ้าเช่นนั้นลูกก็จะขออยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต”
เขาพูดจบอ๋องฉีก็ตกตะลึงตาค้าง พระชายาอ๋องฉีน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดถึงไม่ได้ยินเจ้าเล่าเรื่องนี้มาก่อนเลย?” หลังจากตกตะลึงแล้ว อ๋องฉีก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตอบคำถามเขา กล่าวต่ออีกว่า “ที่ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้รับทราบ มิใช่เพื่อให้พวกท่านเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจ เพียงแต่ต้องการบอกกับพวกท่านว่า หากมีใครที่คิดจะทำร้ายโยวเอ๋อร์ เช่นนั้นลูกก็จะตามนางไปด้วยอย่างไม่มีความลังเลใดๆ โดยเด็ดขาด”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องโถง หลังจากที่พระชายาอ๋องฉีมองบุตรชายด้วยหยาดน้ำตา เพื่อรับฟังบุตรชายที่อ่อนโยนมาโดยตลอดตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เขานิ่งเงียบไร้สีหน้าใดๆ สักพักหนึ่ง ดูเรียบเฉยราวกับว่าเมื่อกี้นี้เข้ากำลังพูดถึงลมฟ้าอากาศอยู่ ทว่าพระชายาอ๋องฉีรู้สึกว่าหากเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอะไรไป บุตรชายของตนจะต้องทำได้อย่างที่พูดแน่นอน
อ๋องฉีก็ตกตะลึง ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดที่หวงฝู่อี้เซวียนเคยได้รับความลำบาก แต่ยังเป็นเพราะน้ำเสียงของเขามีความเด็ดเดี่ยว เหมือนกับว่าจะทำให้เขานึกถึงความหลังของตัวเองเมื่อสิบปีก่อนที่ใช้กำลังทหารฝ่าเข้าไปช่วยไทเฮากับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ ในตอนนั้นเขาละทิ้งทุกสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย และหวงฝู่อี้เซวียนในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน มิหนำซ้ำยังเด็ดเดี่ยวกว่าเขาในปีนั้นอีก
อ๋องฉีอ้าปากแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
น้ำตาของพระชายาอ๋องฉีกลับไหลทะลักออกมามากกว่าเดิม
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเรียบเฉยคุกเข่าตัวตรงอยู่บนพื้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด พระชายาอ๋องฉีก็ลงมานั่งคุกเข่าต่อหน้าอ๋องฉี กล่าวขอร้องอ้อนวอนว่า “ท่านอ๋อง ท่านเห็นชอบกับเซวียนเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ หม่อมฉันมีบุตรชายเพียงคนเดียว คลอดออกมาก็ต้องแยกจากกันไปถึงสิบปี บัดนี้หม่อมฉันไม่อาจสูญเสียเขาไปได้อีกแล้ว”
เมื่อเห็นพระชายาอ๋องฉีขอร้องเพื่อตน สีหน้าท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนก็เริ่มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมา
อ๋องฉีมองดูพวกเขาสองคนแม่ลูก ถอนหายใจด้วยความหดหู่ใจพร้อมกับกล่าวว่า “การแต่งงานครั้งนี้เกี่ยวกับหลายฝ่าย มีหรือจะยกเลิกได้อย่างง่ายดายตามใจพวกเจ้า ถึงแม้ข้าจะเห็นดีด้วย แต่ท่านแม่ท่านก็คงไม่ยอม อีกอย่างคุณหนูหลินก็รอเซวียนเอ๋อร์มาถึงสิบห้าปีแล้ว จนอายุล่วงเลยการแต่งงานไปแล้ว วันนี้ขืนเรายกเลิกการแต่งงานไป ตระกูลราชเลขาก็จะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ ต่อไปจะเป็นศัตรูต่อฝ่ายเรา ถึงตอนนั้นแม้เซวียนเอ๋อร์จะแต่งงานกับแม่นางเมิ่ง ชีวิตในเมืองหลวงก็จะลำบาก”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก กล่าวขึ้นว่า “ขอเพียงแค่ยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูตระกูลราชเลขา แล้วแต่งงานกับโยวเอ๋อร์ได้ ถึงแต่ต่อไปต้องเผชิญหน้ากับภยันตรายทั้งปวงลูกก็ไม่สนใจ”
อ๋องฉีถอนหายใจยาว กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อยนัก ทราบแต่เพียงความรู้สึกรักและผูกพันอันยาวนานของชายหญิง ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของราชสำนัก ไม่ช้าไม่นานสักวันเจ้าอาจจะเสียใจในการตัดสินใจครั้งนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างแข็งขันว่า “ท่านพ่อ ความปรารถนาเดียวเพียงในใจของลูกก็คือแต่งงานกับโยวเอ๋อร์ ขอเพียงได้แต่งงานกับนาง ชั่วชีวิตนี้ของลูกก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดาย”
อ๋องฉีส่ายหน้าแล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้
พระชายาอ๋องฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจว่า “ถ้าหากท่านอ๋องลำบากใจ หม่อมฉันจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮา ให้พระนางช่วยออกหน้าให้ ยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูหลินแล้วกำหนดงานแต่งขึ้นมาใหม่”
อ๋องฉีโบกมืออย่างอ่อนแรง “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนเกินไป ขอข้าคิดดูให้ดีก่อน จะพยายามไม่ทำให้ตระกูลราชเลขากับเราต้องเป็นศัตรูกัน”
พอได้ฟังอ๋องฉีกล่าวเช่นนั้น สีหน้าเรียบเฉยของหวงฝู่อี้เซวียนก็มีความรู้สึกขึ้นมา มีความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้า แล้วโค้งลงคำนับอ๋องฉีด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยท่านพ่อ!”
พอตัดสินใจได้ ก็ดูเหมือนว่าอ่องฉีจะผ่อนคลายขึ้นเป็นกอง กล่าวว่า “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรปีนั้นก็เป็นความผิดของข้าที่ไม่ได้ดูแลพวกเจ้าสองคนแม่ลูกให้ดี จึงทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดต่อจากนั้น วันนี้ก็ตามใจเจ้าสักครั้ง ถือว่าเป็นการทดแทนที่หลายปีมานี้ข้าได้ติดค้างเจ้าไว้”
—————————-