หลังจากที่ราชเลขาสองสามีภรรยาเดินออกมาจากจวนอ๋องฉีด้วยความเกรี้ยวกราด โดยไม่สนใจชายาอ๋องฉีที่ร้องเรียกอยู่ข้างหลัง พวกเขาเดินตรงขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตนทันที จากนั้นก็บอกคนขับรถม้าให้กลับจวนราชเลขา
ทั้งสองคนหน้าดำคร่ำเครียดตลอดทาง นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
คนขับรถม้ารู้สึกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของพวกเขา จึงตกใจและใช้แส้ฟาดให้ม้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลากลับจวนราชเลขาน้อยกว่าขามามากกว่าครึ่ง
พอทั้งสองลงจากรถม้าก็เดินตามกันเข้าไปในห้องโถง
คนเฝ้าประตูก็รู้สึกถึงอารมณ์อันฉุนเฉียวของพวกเขา ถอยออกด้านข้างด้วยความนอบน้อม ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง
ทั้งสองคนเดินกลับไปยังห้องโถง ในระหว่างที่ท่านราชเลขากำลังเดินเข้าห้อง ความเดือดดาลที่อยู่ในใจก็สะกดกลั้นไว้ไม่ได้อีก มือข้างหนึ่งตบโต๊ะเสียงดังปัง กล่าวด้วยความอารมณ์คุกรุ่นว่า “จวนอ๋องฉีจะรังแกกันเกินไปแล้ว เห็นจวนราชเลขาของเราเป็นเพียงแค่โคลนตมที่เขาจะมาขยำเล่นได้หรืออย่างไร เขาคิดจะยกการแต่งงานก็ต้องดูก่อนว่าพวกเราจะยินยอมหรือไม่”
ฮูหยินราชเลขาก็ฉุนเฉียวไม่น้อย พยักหน้าเห็นด้วย “การแต่งงานครั้งนี้ทุกคนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ทราบกันดี หากตอนนี้ยอมให้พวกเขายกเลิกการแต่งงานไปจริง ถ้าเช่นนั้นจวนราชเลขาของเราคงต้องกลายเป็นเรื่องขบขันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ต่อไปเมื่อออกจากบ้านก็ไม่กล้าเผชิญหน้าผู้คน อีกอย่างปีนี้เยียนเอ๋อร์ก็อายุสิบห้าปีแล้ว หากตอนนี้ยกเลิกการแต่งงาน จะต้องหาคู่ที่เหมาะสมมิได้เป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นชีวิตของนางคงถูกทำลายไปจนชั่วชีวิต”
ท่านราชเลขาพยักหน้า กำลังจะพูดขึ้นหลินจ้งก็ถามเสียงดังมาจากนอกเรือนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ อยู่ในห้องไหม?”
ฮูหยินราชเลขาก็ตะโกนขึ้นโดยไม่รอให้สาวใช้ตอบ “จ้งเอ๋อร์ เข้ามาเถอะ”
สาวใช้เปิดประตู หลินจ้งก็วิ่งเข้ามาในห้อง พอเห็นสีหน้าของราชเลขาสองสามีภรรยามีสีหน้าไม่ดีนักก็เดาขึ้นว่า “ท่านแม่ วันนี้ไปจวนอ๋องฉีคุยกันไม่ราบรื่นหรือ?”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า
หลินจ้งถามขึ้นทันทีว่า “พวกเขาว่าอย่างไร?”
ฮูหยินราชเลขายังเดือดดาลอยู่ กล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า “ซื่อจื่อบอกว่าจะยกเลิกการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์”
หลินจ้งตกตะลึง “เป็นเพราะเหตุใดกัน หรือว่าความผิดที่เฉี่ยวเยว่ก่อได้ย้อนกลับมาทำร้ายน้องสาว”
ฮูหยันราชเลขาส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนั้นก็พูดกันง่าย”
หลินจ้งถามขึ้นต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด?”
ฮูหยินราชเลขาเหลือบมองท่านราชเลขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเขาไม่ได้โต้แย้งจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟังไปตามความจริง สุดท้ายกล่าวขึ้นว่า “พวกเราสู้อุตส่าห์ยอมถอยให้แล้วก้าวหนึ่ง รับปากแล้วว่าหลังจากที่เยียนเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วจะยอมให้ซื่อจื่อรับแม่นางคนนั้นเข้ามาเป็นอนุได้ ซื่อจื่อกลับไม่ยินยอม บอกว่าถึงอย่างไรก็จะยกเลิกการแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์”
หลังจากหลินจ้งฟังจนจบก็หมุนกายเดินออกไปข้างนอก พลางพูดว่า “ข้าจะไปคิดบัญชีกับหวงฝู่อี้เซวียนเดี๋ยวนี้ น้องสาวรอคอยเขามาตั้งหลายปี จิตใจของเขาจะโหดร้ายเสมือนหมาป่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ท่านราชเลขาตำหนิเขาขึ้น “จ้งเอ๋อร์ หยุด”
หลินจ้งหยุดชะงัก หันกลับมาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ หากเราอดทนไม่ยอมออกเสียง ยอมให้พวกเขายกเลิกการแต่งงานในคราวนี้ เกียรติของจวนราชเลขาของเราจะเอาไว้ที่ใด ท่านกับข้าจะกล้าเผชิญหน้าต่อคนในราชสำนักได้อย่างไร ต่อไปน้องสาวควรจะทำเช่นไรต่อ?”
ท่านราชเลขากล่าวว่า “ข้ากับแม่ของเข้ากำลังปรึกษากันเรื่องนี้ เจ้าอย่าร้อนใจไป หากเจ้ากระทำการณ์โดยวู่วาม แล้วถูกคนจับจุดอ่อนได้ เรื่องนี้จะมีแต่ผลเสียไม่มีผลดีแม้แต่น้อย”
พอได้ฟังท่านราชเลขากล่าวเช่นนี้ อารมณ์ที่คุกรุ่นของหลินจ้งก็ได้สติกลับคืน ระงับโทสะที่อยู่ในใจแล้วถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านแม่กับท่านพ่อ ปรึกษากันได้หรือยังขอรับ?”
“กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ เจ้าก็นั่งลงเถอะ พวกเราปรึกษากันก่อน ตกลงว่าจะทำอย่างไรดี”
หลินจ้งนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี
อย่างไรก็ตามท่านราชเลขาก็ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางมาหลายปี จึงรู้ว่าต้องจับจุดที่ตัวเองต้องการให้ได้เสียก่อน หลังจากที่ไตร่ตรองได้สักพักก็กล่าวว่า “ท่าทีของซื่อจื่อนั้นมุ่งมั่นมาก ส่วนอ๋องฉีและพระชายาแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ว่าจากความรู้สึกผิดที่พวกเขามีต่อซื่อจื่อ สุดท้ายแล้วต้องใจอ่อนเป็นแน่ วิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือฮูหยินต้องเข้าไปหาไทเฮาที่วังหลวง ขอร้องให้พระนางมีพระเสาวนีย์เรื่องการแต่งงานออกมา ทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกเสีย ข้าไม่เชื่อว่าจวนอ๋องฉีพวกเขาจะกล้าขัดคำสั่งของไทเฮา”
ฮูหยินราชเลขาเองก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว พอฟังที่ท่านราชเลขากล่าวจบก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ข้าก็มีความคิดเช่นนี้ ข้าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ เข้าเฝ้าไทเฮาในวังหลวงโดยเร็ว ให้ไทเฮามีพระเสาวนีย์เรื่องการแต่งงานออกมาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
หลินจ้งก็ก็รู้สึกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี จึงพยักหน้าเห็นด้วย
จึงตัดสินใจได้ด้วยประการฉะนี้ หลังจากที่บอกให้ท่านราชเลขากับหลินจ้งดูแลหลินหันเยียนเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินราชเลขาก็กลับห้องสั่งให้สาวใช้แต่งตัวให้ตนอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งรถเข้าวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ที่หน้าประตูวัง หลังจากที่บอกให้ทหารอารักขาไปรายงานให้ไทเฮาทรงทราบ จึงรออยู่ที่หน้าประตูวังด้วยความกระวนกระวายใจ
พอไทเฮาได้ยินทหารอารักขารายงานเช่นนั้น ในใจก็พอจะเดาออกแล้วว่าที่ฮูหยินราชเลขาเข้าวังมาเฝ้าด้วยเหตุอันใด จึงบอกทหารอารักขาว่าให้นางเข้ามาได้
ทหารอารักขากลับมายังหน้าประตูวัง บอกว่าไทเฮามีพระประสงค์ให้เข้าเฝ้าได้ ทหารอารักขาพาฮูหยินราชเลขามายังตำหนักที่ประทับของไทเฮา หลังจากที่ทำความเคารพไทเฮาตามกฎเกณฑ์แบบแผนปฏิบัติแล้ว ก็นั่งลงบนที่นั่งที่ไทเฮาประทานให้
พระพักตร์ของไทเฮาเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “นานแล้วนะที่เจ้าไม่ได้มาเยี่ยมข้าที่ตำหนักนี้ ที่มาวันนี้มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?”
ฮูหยินราชเลขาตอบด้วยความนอบน้อมว่า “หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องไทเฮาเพคะ”
“อ้อ เรื่องใดหรือ?”
ฮูหยันราชเลขาลุกขึ้นแล้วคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮา กล่าวว่า “หม่อมฉันมาขอพระเสาวนีย์ให้บุตรสาวผู้ต่ำต้อยเยียนเอ๋อร์แต่งงานเพคะ ให้นางกับซื่อจื่อแต่งงานกันโดยเร็ว”
ไทเฮาตกใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าของนาง แล้วพยุงนางขึ้นด้วยตัวเอง กล่าวว่า “เรื่องการแต่งงานระหว่างเซวียนเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์กำหนดไว้นานแล้ว บัดนี้พวกเขาก็มีอายุถึงการแต่งงานแล้ว ถึงแม้เจ้าจะไม่มาขอร้อง ข้าก็มีความประสงค์ให้พวกเขาแต่งงานกันอยู่แล้ว”
“ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ” ฮูหยินราชเลขาลุกขึ้น กล่าวด้วยความนอบน้อม
ไทเฮาพยักหน้า บอกเป็นนัยๆ ว่าให้นางนั่งลงที่เดิม เอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวว่าคุณหนูหลินป่วยไม่สบายอยู่หลายวัน ไม่รู้ว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงระลึกถึงเพคะ บุตรสาวของหม่อมฉันอาการดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ในช่วงหลายวันมานี้ ทุกวันจะตัวร้อนเป็นประจำ ทรมานอยู่เช่นนี้ จนคนทั้งคนผอมแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้วเพคะ”
ไทเฮาถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เรื่องที่เซวียนเอ๋อร์ปฏิบัติต่อคุณหนูหลินข้าเองก็ได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว ครานี้เขาทำเกินไปจริงๆ คุณหนูหลินผู้บอบบาง เหตุใดเขาถึงได้ให้นางต้องไปเผชิญกับกลิ่นคาวเลือดเช่นนั้น วันนั้นข้าเรียกเขามาสั่งสอนแล้ว เจ้าวางใจเถิด รอให้คุณหนูหลินหายดีแล้ว ข้าจะมีพระเสาวนีย์ลงไปเอง ให้พวกเขาแต่งงานกันโดยเร็ว”
ฮูหยินราชเลขากล่าวขึ้นทันทีว่า “บุตรสาวของหม่อมฉันไม่เป็นอันใดแล้วเพคะ เพียงแค่ตกใจไปเท่านั้น ดูแลอีกไม่กี่วันก็หายสนิทแล้ว หม่อมฉันอยากให้ไทเฮาทรงมีพระเสาวนีย์ให้พวกเขาแต่งงานกันเดี๋ยวนี้เลยเพคะ กำหนดเรื่องนี้ให้ชัดเจนลงไป ส่วนวันแต่งงานนั้นยืดเวลาไปสักพักก็ได้เพคะ”
ไทเฮารู้สึกได้ถึงความร้อนใจของฮูหยินราชเลขา มองนางแวบหนึ่ง ถามขึ้นว่า “มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงได้ต้องการให้ข้าสั่งการให้พวกเขาแต่งงานการอย่างเร่งด่วนเช่นนี้?”
ฮูหยินราชเลขามองนางกำนัลที่อยู่รอบๆ
ไทเฮาเข้าพระทัย จึงโบกพระหัตถ์ขึ้น “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ไม่มีคำสั่งจากข้าผู้ใดก็ห้ามเข้า”
นางกำนัลที่อยู่ในห้องต่างก็รับคำ แล้วก็ถอยออกไป