หลังจากที่กูกูผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายไทเฮาปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว ก็หันกลับไปสั่งนางกำนัลที่อยุ่ข้างๆ เสียงเบาว่า “เจ้ารีบไปส่งให้พระชายาอ๋องฉีโดยด่วน บอกว่าฮูหยินราชเลขาเข้าวังมาด้วยตัวเองเพื่อขอร้องให้ไทเฮามีพระเสาวนีย์เรื่องการแต่งงาน บอกให้นางรีบพาซื่อจื่อเข้าวังโดยด่วน หากช้าไปเมื่อมีพระราชเสาวนีย์ออกมาแล้วจะแก้ไขอะไรม่ได้แล้ว”
สาวใช้รับคำสั่ง วิ่งออกไปส่งข่าวอย่างรวดเร็ว
กูกูผู้ดูแลไทเฮามองไทเฮาที่อยู่ในห้อง แล้วยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
รอจนกระทั่งทุกคนออกไปแล้ว ฮูหยินราชเลขาจึงเล่าเรื่องที่วันนี้นางกับท่านราชเลขาทั้งสองคนไปถามซื่อจื่อที่จวนอ๋องฉี ว่าเหตุใดถึงได้ปฏิบัติต่อบุตรสาวของตนเช่นนั้น รวมทั้งเรื่องที่พวกเขาเสนอให้เยียนเอ๋อร์กับซื่อจื่อแต่งงานกันโดยเร็ว แต่ทว่าหวงฝู่อีเซวียนกลับปฏิเสธ บอกว่านอกจากเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วจะไม่ยอมแต่งกับผู้ใดอีก นางเล่าเรื่องทุกอย่างออกมาโดยไม่ปิดบังไทเฮา
หลังจากที่ไทเฮาฟังจบก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ แล้วจึงถามนางขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “เซวียนเอ๋ฮร์พูดเช่นนั้นจริงหรือ?”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้า “กล่าวเช่นนั้นจริงเพคะ หม่อมฉันไม่กล้ากล่าวคำเท็จแม้แต่คำเดียว”
ไทเฮาขมวดพระขนง
ฮูหยินราชเลขากล่าวต่ออีกว่า “เรื่องการแต่งงานของหญิงชายนี้เดิมทีเป็นเรื่องของการยินยอมพร้อมใจกัน ในเมื่อซื่อจื่อไม่ยินยอม เราก็ไม่ควรไปบีบบังคับ เพียงแต่ว่าบุตรสาวของหม่อมฉันได้มีกำหนดการแต่งงานไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็กแล้ว ถึงแม้จะตามหาซื่อจื่อกลับมาไม่ได้ พวกเราก็มิได้มีความคิดที่จะยกเลิกการแต่งงาน ไม่เคยคิดที่จะทำเรื่องไร้หัวจิตหัวใจเช่นนั้น ต่อมาตามหาซื่อจื่อกลับมาได้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงว่าจะยกเลิกการแต่งงาน พวกเราก็นึกว่าซื่อจื่อยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ จึงไม่ได้ไปซักไซ้ไล่เลียง บัดนี้เยียนเอ๋อร์ก็อายุสิบห้าแล้ว ถึงเวลาต้องแต่งงานแล้ว ทว่าจู่ๆ ซื่อจื่อกลับบอกว่าจะยกเลิกการแต่งงาน เมื่อเป็นเช่นนี้บุตรสาวของหม่อมฉันจะเผชิญหน้าต่อผู้คนได้อย่างไรเพคะ”
พอกล่าวจบก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่ แล้วกล่าวต่อว่า “หากแม้นว่าบุตรสาวของหม่อมฉันมีความผิด ซื่อจื่อคิดจะยกเลิกการแต่งงานพวกเราก็มิอาจว่ากล่าวสิ่งใดได้ แต่ว่าชื่อเสียงในเมืองหลวงของบุตรสาวหม่อมฉันก็มีแต่ด้านดีมาโดยตลอด และก็มิได้มีนิสัยหยิ่งผยองเอาแต่ใจ ที่ซื่อจื่อกล่าวว่าจะยกเลิกการแต่งงานเช่นนี้ จะให้พวกเราจวนราชเลขาเอาหน้าไว้ที่ใด?”
ถือว่าฮูหยินราชเลขามีความสามารถในการใช้คำพูด โดยบอกกับไทเฮาว่าถึงแม้อ๋องฉีจะเป็นโอรสของพระองค์ ซื่อจื่อเป็นนัดดาของพระองค์ แต่จวนราชเลขาของเราก็มีความสำคัญในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่ด้อยไปกว่ากัน หากท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็ต้องอย่าลืมพิจารณาฐานะและตำแหน่งของพวกเราจวนราชเลขาด้วย
มีหรือที่ไทเฮาจะไม่รู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ ยิ้มโดยไม่ปรากฏถึงแววตาพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เซวียนเอ๋อร์กับแม่นางคนนั้นเติบโตมาด้วยกัน จึงได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันมากไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรนางก็มาจากชาวบ้าน มีหรือจะเป็นชายาซื่อจื่อได้ เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย ยังไม่รู้จักเรื่องความเกี่ยวพันกันว่าสิ่งใดมีคุณและโทษดีพอ รอวันพรุ่งข้าจะเรียกตัวเขาเข้าวัง แล้วจะบอกเขาให้ทราบถึงความสัมพันธ์ของคุณและโทษว่ามันเกี่ยวพันกับสิ่งใดบ้าง เขาจะต้องเปลี่ยนใจเป็นแน่”
ฮูหยินราชเลขาส่ายหน้า “ซื่อจื่อมีพรสวรรค์ฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนจากท่านราชครูมานานหลายปี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบถึงเหตุผลข้อนี้ แต่เขาก็ยังดื้อดึงที่จะยกเลิกการแต่งงาน เห็นชัดว่าไม่ได้เห็นบุตรสาวของหม่อมฉันอยู่ในสายตาจริงๆ หากมีวิธีอื่นหม่อมฉันก็จะไม่เข้าวังมารบกวนพระนางหรอกเพคะ ขอให้พระนางทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงไปด้วยเถิดเพคะ หากเป็นเช่นนี้พวกเราก็จะได้เบาใจขึ้น ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนในทุกวัน ที่ต้องกลัวว่าซื่อจื่อจะยกเลิกการแต่งงาน บุตรสาวของหม่อมฉันรับอะไรที่หนักหนาไม่ไหวแล้วเพคะ”
พอพูดมาถึงตรงนี้ ไทเฮาก็เข้าใจถึงความต้องการของฮูหยินราชเลขา ก็คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามวันนี้ต้องได้รับพระราชเสาวนีย์
พอนึกขึ้นว่าการแต่งงานครานี้เดิมทีนั้นตัวเองหวังว่าจะสำเร็จได้ด้วยดี ไทเฮาจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “ก็ได้ ข้าบจะเขียนพระราชเสาวนีย์เดี๋ยวนี้ แล้วสั่งให้คนไปส่งงานที่จวนอ๋องฉี”
พอได้ฟังที่ไทเฮาทรงรับปาก ฮูหยินราชเลขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวขึ้นด้วยความนอบน้อมว่า “ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ”
ไทเฮาโบกพระหัตถ์ แล้วสั่งคนที่อยู่ด้านนอกว่า “มีใครอยู่ไหม!”
กูกูผู้ดูแลรับคำแล้วเดินเข้ามา “ไทเฮา รับสั่งอะไรหรือเพคะ?”
“ไปเอาแท่นหมึกกับกระดาษเข้ามา ข้าจะเขียนพระราชเสาวนีย์การแต่งงานให้เซวียนเอ๋อร์”
กูกูผู้ดูแลตอบรับแล้วปิดประตูเดินออกไป อีกด้านก็หันไปสั่งให้นางกำนัลเอาแท่นหมึกกับกระดาษพู่กันมา อีกด้านก็มองออกไปข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจไม่หยุด แอบร้อนใจว่า ผ่านไปนานแล้วเหตุใดชายาอ๋องฉีกับซื่อจื่อยังไม่มาอีก
นางกำนัลที่ส่งข่าวออกจากวังมาด้วยความร้อนรน จนมาถึงจวนอ๋องฉี แล้วหยิบแผ่นป้ายของตัวเองส่งให้คนเฝ้าประตูดูแล้วบอกว่าตัวเองมีเรื่องด่วนต้องมาหาชายาอ๋องฉี
คนเฝ้าประตูพอเห็นแผ่นที่มาจากในวังก็ไม่กล้าชักช้าอีก แล้วพานางเขาไปในเรือนของพระชายาอ๋องฉีทันที
อ๋องฉีกับพระซายาอ๋องฉีก็กำลังปรึกษากันว่าจะยกเลิกการแต่งงานอย่างไรดี พอได้ยินสาวใช้รายงานก็รีบให้นางกำนัลเข้ามาทันที
หลังจากที่นางกำนัลเข้ามายอบกายทำความเคารพต่อพวกเขาแล้วก็กล่าวว่า “กูกูผู้ดูแลบอกให้ข้ามาส่งข่าวกับพระชายา ว่าฮูหยินราชเลขามาขอร้องไทเฮาให้มีพระราชเสาวนีย์เรื่องการแต่งงานของซื่อจื่อกับคุณหนูหลิน บอกให้ท่านพาซื่อจื่อเข้าไปโดยเร็วที่สุดเพคะ หากมีพระราชเสาวนีย์ลงไปแล้ว ทุกอย่างจะสายเกินแก้”
อ๋องฉีกับพระชายาต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ถามว่า “ไปตั้งแต่เมื่อใด?”
“ตอนที่บ่าวออกมา นางก็มาได้สักครู่แล้ว เป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดกับไทเฮา ไทเฮาจึงสั่งให้พวกบ่าวออกมา กูกูผู้ดูแลถึงได้มีเวลาบอกให้บ่าวมาส่งข่าวกับพวกท่านได้”
พระชายาอ๋องฉีบอกกับสาวใช้ติดตามข้างกายว่า “มอบเงินรางวัลให้นางยี่สิบตำลึง”
นางกำนัลยินดีจนออกนอกหน้า กล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ “ขอบพระทัยท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”
สาวใช้ติดตามข้างกายพานางกำนัลไปยังห้องบัญชีเพื่อรับเงิน
พระชายาอ๋องฉีสั่งสาวใช้อีกคนด้วยความกระวนกระวายใจว่า “เร็ว ไปเรียกซื่อจื่อมาเร็วเข้า บอกให้เขาตามไปตำหนักไทเฮาเป็นการด่วน”
สาวใช้ตอบรับแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
พระชายาอ๋องฉีกล่าวกับอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง รบกวนท่านบอกให้พวกเขาเตรียมม้าฝีเท้าดีให้เราสองตัว เราจะเข้าวังเดี๋ยวนี้”
อ๋องฉีรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง กล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เจ้าร่างกายอ่อนแอ ในยามปกติไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก จู่ๆ วันนี้จะขี่ม้าออกไป ร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหวเอา ข้าจะสั่งให้คนเตรียมเกี้ยวไว้ให้เจ้า ในระหว่างเดินทางให้พวกเขาเดินเร็วขึ้นหน่อยก็ได้แล้ว”
พระชายาอ๋องฉีรู้ว่าเขาทำเพื่อตนเอง ทว่านางร้อนใจมาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรีบว่า “ท่านอ๋อง เตี๋ยชิงเข้าวังไปพักใหญ่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพูดให้ท่านแม่ทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงไปแล้ว ถ้าหากข้ากับเซวียนเอ๋อร์ชักช้าเกินไป แล้วท่านแม่เขียนพระราชเสาวนีย์เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็จะสายเกินแก้ ท่านให้คนเตรียมม้าฝีเท้าดีให้พวกเราดีกว่าเพคะ”
แต่งงานกันมาหลายปี พระชายาอ๋องฉีพูดจาต่ออ๋องฉีอย่างเกรงอกเกรงใจเสมอมา ดูไม่คุ้นเคยราวกับว่ามิใช่คู่สามีภรรยาฉะนั้น เป็นครั้งแรกที่พูดจาเช่นนี้ต่อเขา อ๋องฉีอดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้ง
พระชายาอ๋องฉีเมื่อเห็นเขายืนอึ้ง คิดว่าเขาจะไม่ยอมให้นางขี่ม้าไป จึงกล่าวอย่างกระวนกระวายขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่ยอมออกคำสั่งออกไปอีกหรือเพคะ อยากให้เซวียนเอ๋อร์โกรธเกลียดเราไปชั่วซีวิตหรืออย่างไร?”
ท่านอ๋องฉีรู้สึกตัวทันที ตะโกนสั่งงานคนที่อยู่ข้างนอก แล้วก็มีเสียงคนตอบรับจากด้านนอก แล้วก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
พอหวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังที่สาวใช้รายงาน ก็รีบมายังเรือนพระชายาอ๋องฉีทันที
พระชายาอ๋องฉีเก็บของทุกอย่างอย่างเหมาะสมแล้ว ก็รีบเดินออกประตูไป สั่งงานคนดูแลที่อยู่ข้างกายว่า “ข้ากับ เซวียนเอ๋อร์จะขี่ม้าออกไปก่อน พวกเจ้าแบกเกี้ยวตามไปรอข้าที่หน้าประตูวัง”
ทุกคนรับคำสั่ง
พระชายาอ๋องฉีไม่ได้อธิบายอะไรให้หวงฝู่อี้เซวียนฟัง บอกเขาที่กำลังจะเดินเข้าประตูเรือนว่า “เซวียนเอ๋อร์ เร็วเข้า พวกเราจะขี่ม้าออกไป”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า หลังจากที่รอรับพระชายาอ๋องฉีแล้วก็ประคองนางเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
อ๋องฉีมองแผ่นหลังของพวกเขาสองคนแม่ลูกที่อยู่ไกลออกไป ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างค่อยๆ หลุดออกมาจากในใจ
พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินมาถึงประตู คนรับใช้จูงม้ามารอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว ชายาอ๋องฉีก็รับบังเ**ยนมาจากคนรับใช้ แล้วกระโดดขึ้นม้า พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนที่ขึ้นม้าเรียบร้อยแล้วว่า “เซวียนเอ๋อร์ พวกเราไปเร็วเข้า” พูดจบ ก็ควบม้าบึ่งออกไปโดยไม่รอให้เขาพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนควบม้าตามมาติดๆ
พระชายาอ๋องฉีเกิดมาจากตระกูลแม่ทัพ แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่วรยุทธ์นั้นก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก่อนตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกับอ๋องฉีก็มักจะออกไปขี่ม้าเล่นกับท่านแม่ทัพฉู่ที่จากไปแล้ว เพียงแต่หลังจากที่แต่งเข้าจวนอ๋องฉี มีฐานะเป็นถึงพระชายาขวางเอาไว้ อีกทั้งยังมีเรื่องที่อี้เซวียนเกิดมาแล้วก็หายไปอีก จากความเสียใจกลายเป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนแอ หลายปีมานี้จึงไม่เคยได้ขี่ม้าเลย บัดนี้มีเรื่องเร่งด่วน จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก ควบม้าตะบึงไปยังวังหลวงโดยไม่ยอมลดความเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนตามมาติดๆ จนขึ้นมาอยู่ข้างๆ นาง เห็นนางมีสีหน้ากระวนกระวายใจ ไม่สนใจแม้ว่าร่างกายอ่อนแอ เร่งม้าไปอย่างบ้าคลั่ง จึงเกิดเป็นความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ
ทั้งสองคนมาถึงประตูวัง หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนแสดงป้ายประจำตัว ทหารอารักขาก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปข้างใน
เดินเข้าไปยังตำหนักของไทเฮาด้วยความรีบร้อน ประจวบเหมาะกับเห็นกงกงคนหนึ่งถือพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาเดินออกมาจากพระตำหนัก พระชายาอ๋องฉีถามขึ้นด้วยอาการร้อนรนว่า “กงกง จะไปประกาศที่จวนอ๋องฉีใช่หรือไม่?”
—————————-