บทที่ 1649 - หากเจ้าแพ้เจ้าก็ไม่ใช่ผู้ชาย เจ้าแพ้แล้ว

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1649 – หากเจ้าแพ้เจ้าก็ไม่ใช่ผู้ชาย เจ้าแพ้แล้ว

 

ด้วยท่าทีของผู้อาวุโสซีจี้ ชิงสุ่ยบอกได้ว่าเขามีความวิตกกังวลบางอย่างต่อตระกูลชี

 

ตระกูลซีนี่นั้นเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองจักรพรรดิและถือเป็น 3 ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดซึ่งตระกูลชีถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ทรงพลังที่สุด นอกเหนือจากเหล่าตระกูลขุนนางแล้วพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย

 

ผู้คนของตระกูลเหลียนก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีนัก เมืองหลินหายนั้นอยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิ พวกเขานั้นเหนือกว่าผู้ใดเมื่ออยู่ที่เมืองหลินห่ายแต่เมื่อไปยังเมืองจักรพรรดินั้นมันต่างออกไป พวก เขาอาจจะเทียบได้กับตระกูลซีฉีแต่ไม่ใช่กับตระกูลชี

 

“วันนี้เป็นวันสําคัญของชาเอ๋อ เป็นเรื่องที่ดีนักที่ประมุขตระกูลชีได้มาที่นี่ โปรดนั่งลงก่อน” ผู้อาวุโสซีฉีตรงเข้ามาทักทายทันที

 

ประมุขตระกูลชียิ้มให้กับผู้อาวุโสซีฉีและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสซีฉี ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อยินดีกับท่านในวันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อขอแต่งงาน”

 

“ขอแต่งงาน? ตระกูลซีหากเราก็ยังมีหญิงสาวอีกมากแต่โดยปกติข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ เรื่องการแต่งงานของพวกนาง ข้าไม่แน่ใจว่านายน้อยตระกูลชีต้องการแต่งงานกับเด็กสาวในตระกูลของเราหรือไม่?” ผู้อาวุโสซีฉีพูดอย่างสุภาพ

 

“หยุนเหอของพวกเรานั้นหมายตาแม่นางซูฉี เขาอยากจะมาขอแต่งงานก่อนหน้านี้แต่ข้านั้นไม่ว่าง โชคดีที่มาทันเวลาวันนี้พอดี” ชายชราหัวเราะออกมา

 

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าตระกูลชีนั้นช่างบ้าคลั่งยิ่งนัก มันไม่สายเกินไปหรือ? การตแงงานถูกจัดขึ้นแล้วไม่สายเกินไปหรือ? หรือเขาคิดว่าตราบใดที่การแต่งงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ยังถือว่าไม่สายเกินไป?

 

สีหน้าของผู้อาวุโสซีจีนันดูไม่ดีนักในขณะที่สีหน้าของผู้คนของตระกูลเหลียนนั้นดูแย่ยิ่งกว่าเหลียนหลิงเฟิง นั้นยังคงสงบนิ่งในขณะที่ชีฉีชานั้นดูแย่เช่นกัน เมื่อนางได้เห็นสีหน้าของผู้อาวุโสซี

 

นางก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม

 

ชิงสุ่ยมองไปที่พวกเขาและหัวเราะออกมา “หลิงเฟิง ออกไปส่งเสียงหน่อยสิ ตอนนี้ ไม่ต้อง กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง”

 

ชิงสุ่ยไม่ได้พูดดังมากนักแต่เหลียนหลิงเฟิงนั้นศรัทธาในตัวเขาอย่างสุดหัวใจและพยักหน้าอย่างมีความสุข “ข้ารู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่อาจเทียบได้กับหยุนเหอแต่หากพวกท่านจะเอาเปรียบเราคงไม่ง่ายนัก ตระกูลของข้าและตระกูลซีฉีย่อมไม่ยอมโอนอ่อนต่อพวกท่านแม้ว่าเราจะด้อยกว่าก็ตาม”

 

“อย่ากังวลไปเลย เจ้าแค่ต้องรับมือกับชีหยุนเหอ หากเขาประลองกับเจ้าจงทําให้เขาพิการซะคนอื่นๆนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆหรอก” ชิงสุ่ยเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

 

ผู้อาวุโสซีฉีสายศีรษะของเขาเบาๆ “ ข้าขอขอบคุณความตั้งใจดีของประมุขตระกูลชีแต่ชาน้อยของเรานั้นได้มีคู่ครองของนางแล้ว”

 

ผู้อาวุโสซีได้พูดสิ่งที่ตัวเองควรพูดออกไปแล้วและต่อจากนั้นชเหลียนหลิงเฟิงก็ยืนขึ้นมาและ พูดอย่างสุภาพว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความยินดีของข้า หากท่านมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีข้าก็ยินดีต้อนรับ หากมีจุดประสงค์อื่นก็ต้องขอให้ท่านกลับไปก่อน”

 

เหลียนหลิงเฟิงนั้นมีชิงสุ่ยคอยหนุนหลังดังนั้นเขาจึงกล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างมั่นใจ

 

ในตอนนี้มีชายหนุ่มที่หล่อเหลาและมีดวงตากระจ่างใสเดินออกมา เขาดูเป็นคนที่เย่อหยิ่งอย่างยิ่ง 

 

ชีหยุนเหอ!

 

เขามองไปที่เหลียนหลิงเฟิงและกล่าวออกมาช้าๆ “เจ้าไม่เหมาะสมกับแม่นางซูฉี ข้าอยากจะขอให้เจ้าออกห่างจากนางซะ”

 

คําพูดของชีหยุนเหอนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจแต่ก็ดูหยิ่งยะโสเป็นอย่างมาก เหลียน หลิงเฟิงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน “เจ้าคิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือ? ถ้าหากไม่มีตระกูลชีหนุนหลังเจ้าเองก็ไม่ได้มีอะไรเลย”

 

ชีหยุนเหอรู้ดีว่าตนเองนั้นมีความสามารถและพรสวรรค์แต่เขาก็รังเกลียดคนที่พูดว่าเขามีดีแค่ครอบครัว

 

“เจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่? นายน้อยอันดับหนึ่งในเมืองหลินห่ายก็ไม่เท่าไรในสายตาของข้า หากเจ้ายังเป็นผู้ชาย ประลองกับข้า ผู้แพ้จะต้องไปจากแม่นางซีฉี” ชีหยุนเหอมองไปที่เหลี่ยนหลิงเฟิงอย่างเย็นชาและกล่าวขึ้น

 

“ข้าว่าแล้วเจ้ามันปัญญาอ่อนจริงๆ ชาน้อยเป็นภรรยาของข้า ไม่คิดว่าที่เจ้าพูดนั้นดูปัญญา อ่อนไปหน่อยหรือไม่? หากมีผู้ใดมาท้าประลองเจ้าและหยิงหยิงจะเป็นของผู้ชนะ เจ้าจะรู้สึกเช่นไร?”

 

“สามหาว!” ชีหยุนเหอตะโกนออกมา

 

หยิงหยิงนั้นเป็นหนึ่งในหญิงสาวของเขาแต่พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน ภูมิหลังของนางนั้นไม่ดีนักเพราะหญิงสาวผู้นี้มีเกี่ยวข้องกับการพิพาทระหว่างชายคนอื่นๆมากมายแต่ตอนนี้นางก็เป็น ของเขา การพูดถึงหญิงสาวผู้นี้แน่นอนว่าเขาต้องโกรธอย่างแน่นอน

 

ความโกรธของชีหยุนเหอทําให้ผู้คนโดยรอบคิดว่าเขาคนที่โง่งมดังนั้นใบนั้นของเขาจึงดูเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าเหลียนหลิงเฟิงจะเป็นที่รักของทุกๆคน แต่พลังของเขาก็ไม่ได้ดีมากนักหากเขาไม่ได้พบกับชิงสุ่ยในตอนนี้พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ชีหยุนเหอยังไม่กล้าที่จะนุ่มบ่าม ทําอะไรเพราะว่าเขาคิดว่าตระกูลเหลียนอาจจะมีผู้ที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังในตอนนี้

 

ชีหยุนเหอท้าทายเหลียนหลิงเฟิง: “เช่นนั้นเราก็มาสู้กันสักรอบแล้วค่อยพูดคุยกันภายหลังดีหรือไม่?”

 

“เจ้าไม่อาจต่อกรข้าได้ ลืมไปซะเถอะ!” เหลียนหลิงเฟิงพยายามที่จะปลุกปั่นเขาให้มากที่สุด

 

“หากเจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่จงสู้กับข้า!” ชีหยุนเหอโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง

 

“เช่นนี้เป็นไร เรามาประลองกันหนึ่งรอบ ผู้แพ้จะต้องประกาศต่อหน้าทุกๆคนที่นี่ว่าเขาไม่ ใช่ผู้ชายเจ้าคิดเช่นไร?” เหลียนหลิงเฟิงยิ้ม

 

ตั้งแจ่เริ่มต้นเหลียนหลิงเฟิงนั้นยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา ชีหยุนเหอรู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้อย่างยิ่งและมองไปยังเหลียนหลิงเฟิงก้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

 

“ได้”

 

ชีหยุนเหอทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีที่เขากล่าวจบ

 

เหลียนหลิงเฟิงไม่ได้เร่งรีบตามไป ชิงสุ่ยใช้หงส์เพลิงสะบั้นศึกพร้อมกับรัศมีแห่งเทพสงครามไปยังเหลียนหลิงเฟิง เคล็ดวิชาเหล่านี้ยังมีข้อจํากัดทางด้านระยะทางและเวลาอยู่หากระยะห่าง เกินไปเวลาแสดงผลของมันอาจจะลดน้อยลงไปอีก

 

แต่ความจริงมันก็ไม่ส่งผลมากเท่าไร ชิงสุ่ยสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ออกไปได้ตลอดเวลาดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลอะไร

 

เหลียนหลิงเฟิงรู้ดีถึงความสามารถของชิงสุ่ยดังนั้นเขาจึงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและ มองไปยังชีหยุนเหอ

 

ทั้งสองฝ่ายนําอาวุธของตัวเองออกมาในตอนนี้ ต่อจากนี้การต่อสู้กําลังจะเริ่มต้นขึ้น

 

เหลียนหลิงเฟิงนั้นได้รับมรดกแห่งเทพสงครามและความสามารถบางส่วนจากหมาปาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีทั้งด้านความเร็ว พลังโจมตีโจมตีและสัญชาตญาณ กระบี่ยาวในมือของเขานั้นแหลมค มอย่างยิ่งและเมื่อรวมกับเคล็ดวิชาของชิงสุ่ยทําให้เขาเหนือกว่าชีหยุนเหอในตอนนี้

 

บางทีหากเหลียนหลิงเฟิงต้องการเอาชนะชีหยุนเหอด้วยตนเองเขาอาจจะต้อซงการเวลามากกว่านี้แม้แต่ด้วยพลังของเหลียนหลิงเฟิงในตอนนี้ก็ยังไม่แน่นอนว่าเขาจะชนะ แม้ว่าชิงสุ่ยจะยกระดับพลังของเขาเพิ่งขึ้นมาในตอนนี้แต่ศัตรูนั้นก็ยังเป็นอัจฉริยะของตระกูลชีที่ทรงพลังอย่างยิ่ง นั่นทําให้ผลของการต่อสู้ครั้งนี้นั้นยังไม่แน่นอน

 

ชิงสุ่ยไม่อาจสัมผัสได้ถึงมรดกแห่งจอมอสูรจากพลังของชีหยุนเหอ บางทีอาจเป็นเพราะสายเลือดลึกลับภายในตระกูลของเขาแต่เมื่อต้องมาปะทะกับพลังของเหลียนหลิงเฟิงในตอนนี้ก็ถือเป็นงานที่หนักสําหรับเขา

 

จิตแห่งปราณอันทรงพลังปกคลุมไปทั่วร่างกายของชีหยุนเหอและทําให้พลังของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้พลังของเขาเพิ่มขึ้นจนมากกว่าเหลียนหลิงเฟิง

 

กระบี่พลังจิต

 

กระเปร่งแสงประกายพุ่งตรงเข้ามาหาเหลียนหลิงเฟิง มันเปร่งประกายดุจสายฟ้าและพุ่งตรงเข้ามาที่หัวใจของเหลียนหลิงเฟิง

 

แสงรัศมีสีเงินที่สว่างไม่ด้อยไปกว่ากันปรากฏขึ้นและกระบี่ยาวของเหลียนหลิงเฟิงก็พุ่งไปยังหน้าอกของชีหยุนเหอพร้อมกับเงาของหมาปาสีขาวที่ปรากฏตัวขึ้นมา

 

เป้ง เป้ง!

 

ร่างของเหลียนหลิงเฟิงกลายเป็นภายลวงตาในตอนนี้ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปหาชีหยุนเหออย่างรวดเร็ว

 

ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลแต่อย่างใดเพราะว่าเหลียนหลิงเฟิงและหยิน ซึ่งต่างก็มีเคล็ดวิชาที่ทรงพลังมากมายและส่วนใหญ่นั้นสามารถช่วยให้พวกเขารอดชีวิตได้

 

เหลียนหลิงเฟิงรู้สึกโกรธเล็กน้อยที่พลังของชีหยุนเหอมากกว่าเขาในตอนนี้ เหลียนหลิง เพิ่งเริ่มเข้าใจแล้ววว่าเหตุใดชิงสุ่ยจึงไม่ช่วยเหลือเขาอย่างต่อเนื่องเพราะถ้าหากเขาประมาทเกินไปนั้นก็เหมือนพาตัวเองไปสู่ความตายไม่ว่าเขาจะมีพลังมากเพียงใดก็ตาม

 

ร่างของเหลียนหลิงเพิ่งเริ่มเลือนหายไปในขณะที่เขาโจมตีและล่าถอยรวดเร็วราวกับสายลม ชี หยุนเหอ ทําได้แค่เพียงทนรับการโจมตีของเขาเท่านั้น ทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างปกคลุมไปที่ศีรษะของเหลียนหลิงเฟิงและทําให้ความเร็วของเขานั้นลดลงไปทันที

 

เหลียนหลิงเฟิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในหัวใจเพราะในตอนนี้พลังของเขาลดลงไปอย่างมหาศาล

 

ดวงตาของชิงสุ่ยเบิกกว้างขึ้นและมองไปที่ผู้คนของตระกูลชีทันทีเพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆหรือไม่ เขาใช้เคล็ดวิชาล่าสังหารและปราณจักรพรรดิไปยังชีหยุนเหอทันที

 

เหลียนหลิงเฟิงรู้สึกกังวลลึกๆในใจขณะที่ความเร็วของเขาลดลงอย่างมาก การที่เขาเหนือกว่าศัตรูนั้นเป็นเพราะความเร็วและหากขาดเรื่องนี้ไปเขาก็ไม่มั่นใจเลย แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าพลังและความเร็วของชีหยุนเหอนันลดลงไปโดยเฉพาะความเร็วที่ลดลงไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง

 

ชิงสุ่ยรับรู้ได้ทันทีในตอนนี้ว่าเหตุใดประมุขตระกูลซีถึงยอมปล่อยให้ชีหยุนเหอและเหลียนหลิง เฟิงนั้นประลองกัน เขามั่นใจว่าชีหยุนเหอต้องชนะ น่าเสียดายที่เขายังไม่รู้ถึงตัวตนของชิงสุ่ย

 

ประมุขตระกูลชีนั้นก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของชีหยุนเหอ ทั้งพลังและความเร็วของเขาลดลงไปอย่างมาก ชีหยุนเหอที่ก่อนหน้านี้ยังเต้มไปด้วยความยินดีในหัวใจยังคงต้องการที่จะทําให้ เหลียนหลิงเฟิงนั้นพิการไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาแต่การเปลี่ยนแปลงอย่างอย่างกะทันหันในร่างกายของเขาทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งมันเหมือนกับคนปกติที่เหลือขา เพียงข้างเดียว

 

เหลียนหลิงเฟิงรู้สึกได้ถึงความวุ่นวายและเขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน แม้ว่าความเร็วของเขาจะถูกลดลงไปแต่ก็ยังเหนือกว่าชีหยุนเหอในตอนนี้

 

กระบี่ยาวของเหลียนหลิงเฟิงแทงทะลุจุดสําคัญของชีหยุนเหอ

 

ชีหยุนเหอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาแม้ว่ามันจะไม่ได้สาหัสนักแต่เขาก็คงไม่อาจรักษาให้หายได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

 

ชีหยุนเหอกําลังร่วงหล่นลงมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่อยากจะเชื่อในตอนนี้ เขาจ้องมองไปที่หน้าอกของตนเองที่มีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลาใบหน้าของเขาซีดเซียวและดูตกตะลึงเมื่อมองไปที่เหลียน หลิงเฟิงในตอนนี้

 

เหลียนหลิงเฟิงทะยานลงมาอย่างช้าๆ เขายืนอยู่ไม่ไกลจากชีหยุนเหอที่พยายามยืนขึ้นมาในตอนนี้ “เจ้าแพ้แล้ว!”

 

“ธีม ใครกันที่กล้าเข้ามาเล่นสกปรกในการต่สู้ครั้งนี้ เจ้าเองก็รู้ดี” ชีหยุนเหอกําหมัดแน่นขณะที่เขากระอักเลือดออกมาที่มุมปาก

 

“ข้าไม่รู้ ข้ารู้แค่เจ้าพ่ายแพ้แล้ว หรือว่านายน้อยซีเป็นพวกที่ยอมแพ้ไม่เป็น?” เหลียน หลิงเฟิงหัวเราะออกมา