ตอนที่ 693

The Divine Nine Dragon Cauldron

693 – สวมกอด

 

“นี่เจ้า”

 

ท่าทางแม่ทัพฮงหยูเปลี่ยนไปความชิงชังและความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า

แม้เขาจะไม่เคยเห็นซือหยูแม้สักครั้งแต่เขาก็รู้ดีว่าพิษของม้าเมฆาคือเหตุที่ทัพทมิฬได้สูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้

 

ทัพทมิฬเริ่มลังเลความหวาดกลัวเขียนอยู่บนใบหน้าเมื่อพวกเขามองซือหยู ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมองชายหนุ่มกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าภูติระดับสองที่เพิ่งจะสังหารไป

 

เหล่าทัพของอาณาจักรทมิฬและเหล่าจ้าวแห่งความมืดตกตะลึง…

 

ทำไมทัพทมิฬถึงหวาดกลัวซือหยูกัน?

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วมองซือหยูเห็นได้ชัดว่าฐานพลังของซือหยูนั้นต่ำกว่าที่เขาคาดไว้มาก

 

“เป็นแค่พลังจิตวิญญาณของเขาเท่านั้นรึที่เหนือกว่าคนอื่น?”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์โล่งใจที่เห็นว่าซือหยูมีฐานพลังที่ต่ำมากและไม่ควรค่าให้เขาสนใจด้วยซ้ำ

“ชายคนนี้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่บ้างระวังด้วย”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์เตือน

 

ดวงตาของเหล่าจ้าวแห่งความมืดลุกวาวพวกเขาตาเป็นประกาย

 

“ซือหยู…ข้าหมายถึง…เจ้าพันธมิตรซือพวกข้าขอฝากด้วย”

 

จ้าวหนึ่งรับมือกับสี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังทั้งหมดที่มีขณะที่มองซือหยูเขาแอบส่งสัญญาณกับจ้าวคนอื่น

 

จ้าวแห่งความมืดคนอื่นใจสั่นและแอบโทรจิตกัน

 

“จะดีรึที่ให้เจ้าพันธมิตรซือที่เดินทางมาไกลเพื่อช่วยพวกเรารับมือกับสิ่งเหล่านี้แล้วหนีไปน่ะ?”

 

จ้าวสองขมวดคิ้วเบาๆ

 

เหล่าจ้าวแห่งความมืดอยู่ร่วมกันมาหลายปีเพียงมองตาก็รู้ใจ ดังนั้นพวกเขาจึงบอกได้เพียงแค่มองว่าแต่ละคนคิดอ่านอย่างไร

 

เขาบอกเหล่าจ้าวแห่งความมืดว่าซือหยูเป็นเหตุให้ทัพทมิฬหนีมาถึงก้นบึ้งมังกรและพวกเขาก็เสียความได้เปรียบไปหมดแล้วเมื่อสี่ศักดิ์สิทธิ์มาถึง เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ดังนั้นการสู้ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ตายเปล่า

 

แต่ซือหยูมาที่นี่แล้วเขาอาจจะพอรับมือทัพทมิฬได้บ้าง พวกเขาจะมีโอกาสร่วมมือกันจู่โจมเหล่าภูติและหนีไปได้ แต่ซือหยูมาร่วมสงครามเพื่อช่วยเหลือพวกเขา การทิ้งซือหยูก็ไม่ต่างจากการกัดมือผู้ที่ให้อาหาร

 

“อย่าลังเลซือหยูมันอ่อนแอ ถึงเขาจะมีวิธีทำให้พวกทัพทมิฬหวาดกลัว แต่มันก็ไม่มากพอกับสงครามนี้หรอก เราอย่าพลาดโอกาสหนี ข้าเชื่อว่าคนภายนอกที่รู้เรื่องนี้จะไม่โทษพวกเรา”

 

จ้าวหนึ่งส่งโทรจิตอย่างรีบร้อน

 

เขาพูดต่อ

 

“อย่ามัวเสียเวลาแค่หนีไปก็พอ พอหนีไปแล้วข้าจะหาโอกาสหนีเหมือนกัน ส่วนซือหยู ข้าจะขอบคุณเขากับเรื่องนี้แม้หลังจากที่เขาตายไปแล้ว ข้าจะดูแลพันธมิตรผู้คุมสวรรค์แทนเขาเอง”

 

ความละอายและความรู้สึกผิดปรากฏบนใบหน้าของจ้าวแห่งความมืดทุกคนแต่พวกเขาก็กำหมัดถอนหายใจ พวกเขาตัดสินใจทำตามจ้าวหนึ่ง

 

ซือหยูมองทัพทมิฬอยู่ชั่วครู่เขาละสายตาไปมองกรงขังที่อยู่ข้างหลัง

 

“ยังมันมันก็แค่คนเดียว มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

 

แม่ทัพฮงหยูตะโกน

 

ซือหยูผู้ไร้อารมณ์ถือธนูสีเงินและก้าวไปข้างหน้าเขาพูดอย่างเยือกเย็น

 

“ถ้าไม่อยากตายก็หลีกทางไปซะ”

 

เหล่าพลธนูที่เตรียมพร้อมเริ่มลังเลและมองชายผมสีเงินที่กำลังใกล้เข้ามาพวกเขาหวาดกลัวเพราะศรพลังชีวิตของธนูสีเงินที่เต็มไปด้วยพิษม้าเมฆา

 

ทัพทมิฬได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวดและโหดร้ายมันสอนให้พวกเขารับฟังคำสั่งดั่งทหาร พวกเขาไม่เคยละเลยคำสั่งของแม่ทัพฮงหยูเลยสักครั้ง แต่มันกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้!

 

แม่ทัพฮงหยูโกรธแค้นและตะโกน

 

“ใครที่ขัดคำสั่งจะต้องตาย”

 

เขายกกระบี่ขึ้นตัดหัวพลธนูที่อยู่ใกล้เขาที่สุด

 

พอได้เห็นดังนั้นเหล่าทหารทัพทมิฬเริ่มกลับมาได้สติ เหล่าพลธนูเริ่มยิงซือหยู

 

ซือหยูดึงสายธนูอย่างเยือกเย็นและพูดเบาๆ

 

“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้วนะ…”

 

พรึ่บ!

 

เพลิงขาวเผาไหม้ในดวงตาของซือหยูเหล่าพลธนูที่ยกธนูขึ้นมากรีดร้องอย่างทุกข์ทนมาน ดวงตาของพวกเขาหม่นแสงลงไปพร้อมกับชีวิต พวกมันตายหมด!

 

นี่คือเพลิงวิญญาณของกบแก้วเพลิงเนตรขาว!แค่กระพริบตาก็ฆ่าพลธนูไปมากกว่าสิบคน! เหล่าพลธนูที่เหลือไม่กล้าจะทำอะไรอีก

 

ซือหยูเริ่มยิงศรพลังชีวิตอีกครั้งเสียงระเบิดดังก้อง พิษม้าเมฆากระจายออก มันสังหารคนหลายสิบคนไปพร้อมกับพลธนูทั้งหมดของทัพทมิฬ

 

“พลหอกจัดการมัน!”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพฮงหยูได้ต่อสู้กับซือหยูโดยตรง

 

เขาเคยคิดว่าซือหยูเพียงแค่เชี่ยวชาญในการวางอุบายและมีเล่ห์เหลี่ยมที่ยากจะแข่งขันแต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังของซือหยูคนเดียวจะมากมายเช่นนี้!

 

พลธนูที่เหลืออยู่สามสิบคนถูกซือหยูฆ่าตายหมดแล้วเหลือพลหอกอีกเพียงแค่ร้อยคน เหล่าพลหอกลังเลเมื่อได้ฟังคำสั่ง ความหวาดกลัวเอ่อล้นในใจเมื่อมองใบหน้าเยือกเย็นราวน้ำแข็งของซือหยู

 

“ไปให้พ้น!”

 

ซือหยูก้าวไปข้างหน้าและตะโกน

 

เหล่าพลหอกจิตใจแตกสลายเมื่อได้เห็นซือหยูสังหารพลธนูเมื่อครู่ก่อนพวกเขาละเลยคำสั่งของฮงหยูเมื่อซือหยูใกล้เข้ามา แม้แต่คนที่ยังมีใจสู้ก็สิ้นหวัง

 

พวกเขาสลายตัวหลีกทางให้กับซือหยูครู่ก่อน ทัพทมิฬต่อสู้อย่างดุร้ายกับทัพอาณาจักรทมิฬ แต่ตอนนี้ พวกเขาไม่กล้าแม้จะโต้ตอบ

 

แม่ทัพฮงหยูไม่พอใจอย่างมาก

 

“ทุกคนที่ขัดคำสั่งจะต้องถูกประหาร”

 

เปรี๊ยะ!

 

สายฟ้าปรากฏห่างจากเขาเพียงเอื้อมมือแขนข้างหนึ่งที่มีเส้นโลหิตสีทองได้ยื่นออกมา แม่ทัพฮงหยูที่ไม่ทันระวังตะโกนขึ้นมา

 

“นี่มันเลี่ยงสายฟ้า!”

 

ร่างของซือหยูที่ห่างจากเขาอยากมากเริ่มจางหายไปและปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแม่ทัพฮงหยูปล่อยหมัดทั้งสองข้างเข้าใส่ด้วยความตกใจ

 

เขาเป็นภูติระดับหนึ่งพลังกายของเขาควรจะไม่อ่อนแอไปกว่าซือหยู เขาควรจะป้องกันตัวจากซือหยูได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้หายใจ แสงสีทองก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของซือหยู มันเร็วจนเขามองตามไม่ทัน

 

แม่ทัพฮงหยูใจเต้นอย่างรุนแรงเขาพยายามจะหนี เขารีบตะโกน

 

“ช่วยข้าด้วย”

 

แผละ!

 

เสียงตะโกนของเขาแทนที่ด้วยเสียงกรีดเนื้อในไม่นานกระบี่ทองเจาะทะลวงหัวใจของเขาไปพร้อมกับชีวิต ก่อนตาย เขาเห็นสายฟ้ารอบกายซือหยูและสีหน้าไม่แยแสของเขา

 

“ถ้าไม่มีทัพทมิฬเจ้ามันก็ได้แค่นี้”

 

คำพูดของซือหยูดังก้องอยู่ในใจนี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินในชีวิตนี้

 

ทหารทัพทมิฬที่เหลือหวาดกลัวอย่างหนักแม่ทัพของพวกเขาเพิ่งจะถูกสังหาร

“พวกเจ้าจะกลับจิวโจวหรืออยากตายอยู่ที่นี่?”

 

ซือหยูมองเหล่าพลหอกอย่างเยือกเย็น

 

เหล่าพลหอกร้อยคนนี้มีอำนาจทำลายล้างมหาซาลพวกเขากำจัดกองทัพของอาณาจักรใดก็ได้อย่างง่ายดาย

 

หลังจากที่ลังเลไม่นานพวกเขาทุกคนล้วนกระจัดกระจายแยกออกไป บางคนพุ่งไปหาห้าศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่มีไม่กี่คนที่เลือกกลับจิวโจว แต่ก็มีคนที่ไปรอบๆสี่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อหลบสายตาเยือกเย็นของซือหยู

 

ตอนนั้นเองซือหยูยิงศรพลังอีกหลายดอกด้วยธนูสีเงิน เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังอย่างไร้ที่มา เพราะร่างของพวกเขากลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว

 

“เจ้าหนูกล้าดียังไง?”

 

ห้าศักดิ์สิทธิ์มิอาจเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นกึ่งภูติกระจอกที่มีแก้วพลังสามดวงเกือบจะฆ่าทัพทมิฬจนตายหมด! แม้แต่แม่ทัพก็ตายเพราะเขา!

 

แววตาของเหล่าจ้าวแห่งความมืดเปลี่ยนไปพวกเขาพยักหน้าและเหลือบมองกันและกัน

 

“เจ้าพันธมิตรซือโปรดไล่ล่าพวกทหารทัพทมิฬต่อไป อาณาจักรทมิฬจะตอบแทนที่ท่านช่วยพวกเราในวันนี้อย่างดี”

 

จ้าวสองพูดเสียงดัง

 

เหล่าจ้าวแห่งความมืดอยู่ใกล้กับทหารของพวกเขาแล้วแค่คำสั่งเดียวก็จะทำให้พวกเขามีโอกาสหนี ส่วนซือหยูจะถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ เขาคงจะถูกสังหารโดยบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน

 

แต่ซือหยูไม่แม้แต่ชายตามองเหล่าคนของอาณาจักรทมิฬเขาก้าวไปยังกรงขังและตอบอย่างไม่แยแส

 

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะเข้าใจผิดนะข้ามาที่นี่เพื่อช่วยจ้าวคณะวิหคเพลิง ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะอยู่หรือตาย”

 

เขาอัดหมัดใส่กรงเหล็กจนแตกเป็นเสี่ยงๆกรงเหล็กนี้มีผนึกมากมายวางเอาไว้ เหล่าสตรีที่อยู่ภายในมิอาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภายนอก พวกนางตกใจเมื่อกรงขังถูกเปิดออก

 

พวกนางตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าคนที่ปรากฏหาใช่คนของศัตรูอย่างที่คาดแต่กลับเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียว!

 

“ซือหยู!”

 

จ้าวคณะวิหคเพลิงและหญิงสาวงดงามอีกเก้าคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

จ้าวคณะวิหคเพลิงกระพริบตาไม่หยุดนางรู้สึกราวกับเห็นภาพลวงตา

 

“เจ้าคือซือหยูจริงๆรึ?”

 

จ้าวคณะวิหคเพลิงตัวสั่นอย่างแรงนางไม่คิดว่าคนที่มาเพื่อช่วยนางจะเป็นซือหยู!

ซือหยูรับตัวจ้าววิหคเพลิงขึ้นมานางยังคงงดงามมิเสื่อมคลาย นางสง่างามกว่าสตรีทั่วไป

 

และดูเหมือนว่านางจะยังไม่ถูกพวกศัตรูทำมิดีมิร้ายซือหยูโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่งง

 

“หนีไปจากที่นี่ก่อนคุยกันเถอะ”

 

ซือหยูดึงมือนางไปกับเขาและบินจากไป

 

เหล่าสตรีวิหคเพลิงทั้งเก้าต่างไล่ตามซือหยูไปด้วยพวกนางบินออกมาด้วยความยินดีและหัวเราะเบาๆเมื่อมองซือหยูกับจ้าวคณะวิหคเพลิงที่อยู่เคียงคู่กัน

 

“ซือหยูเจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าจะทิ้งพวกข้าไปเฉยๆงั้นเรอะ?”

 

จ้าวหนึ่งเบิกตาโพลงเขาลืมตัวจนหยุดเรียกซือหยูว่าเจ้าพันธมิตรและเรียกชื่อเขาตรงๆ

 

ซือหยูหันไปมองเขาอย่างเยือกเย็น

 

“ข้าไม่เคยพูดสักครั้งว่ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกเจ้า!หึ แล้วเจ้าไม่รู้รึว่าพวกเจ้าวางแผนอะไรอยู่? ข้าเห็นคนอย่างพวกเจ้ามามากนัก แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นคนที่โสมมอย่างพวกเจ้าเท่าไหร่นัก! เจ็ดจ้าวก็แค่พวกตาขาว จะเป็นตายอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของข้า!”

 

ซือหยูเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาหมดแล้วไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาของเขา

 

“นี่เจ้า…”

 

จ้าวหนึ่งทั้งโกรธแค้นและอับอาย

 

เขาไม่คิดเลยว่าซือหยูจะมองแผนของเขาออกและยิ่งไปกว่านั้นยังกลายเป็นว่าซือหยูไม่ได้สนใจเขาเลย เขานำเหล่าสตรีและหนีไป!

 

เมื่อผ่านไปไม่นานในน่านฟ้าเหนือก้นบึ้งมังกร

 

“ท่านจ้าวคณะพาพวกนางไปกับท่าน คณะวิหคเพลิงถูกปกป้องจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ของข้า ท่านไปลี้ภัยที่นั่น”

 

ซือหยูปล่อยมือนางกลิ่นอันหอมหวานของนางยังคงอบอวลรอบกายเขา

 

จ้าวคณะวิหคเพลิงแก้มแดงระเรื่อนางกลัวว่าความสัมพันธ์ของนางจะถูกเหล่าศิษย์มองออกเพราะนางถูกเขาจับมือมาจนถึงเมื่อครู่

 

“ทำไมเจ้าไม่หนีไปกับพวกเราล่ะ?”

 

จ้าวคณะวิหคเพลิงถาม

 

“พวกเจ็ดจ้าวรับมือไม่ได้นานแน่”

 

ซือหยูส่ายหน้าเมื่อมองรอบๆเขาถอนหายใจเบาๆ

 

“ดินแดนเฉินหลงกำลังถูกฟื้นคืนกลับมาแต่รอยแยกมิติของก้นบึ้งมังกรยังไม่ปิดลง พวกเราเสียสละคนไปมากเหลือเกิน เราจะต้องไม่ให้โอกาสพวกมันกลับมาอีก ข้าต้องไปปิดรอยแตกมิตินั่น”

 

“แล้วเจ้าจะกลับมาไหม?”

 

จ้าวคณะขมริมฝีปากด้วยความเป็นห่วง

 

นางอยากจะหยุดเขาแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพราะนางในตอนนี้มิอาจมองเห็นฐานพลังของซือหยู ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานะปัจจุบันของเขาหรือความรู้สึกนึกคิดต่างๆ

 

“ใช่แล้วข้ามีพันธะกับเหล่าโลหิตที่อาบธรณีและเหล่าคนที่ต่อสู้ พวกเขายังนอนตายตาไม่หลับ”

 

ซือหยูรู้ว่าเขามิอาจเห็นแก่ตัวได้ในขณะที่ทวีปต้องประสบพบเจอกับการทำลายล้าง

จ้าวคณะครุ่นคิดนางมองเหล่าศิษย์ของนาง

 

“หนีไปโดยไม่ต้องมีข้า”

 

ศิษย์ทั้งเก้าโค้งให้นางและทำตามคำสั่งพวกนางยิ้มมองหน้ากันไปมา พวกนางปิดปากด้วยมือและบินจากไป

 

เมื่อพวกนางไปไกลแล้วจ้าวคณะวิหคเพลิงขมริมฝีปากที่แดงดั่งกลีบกุหลาบ ใบหน้าของนางแดงราวกับหญิงสาวที่กำลังได้พบคนรัก นางเข้าสวมกอดอำลาซือหยู

 

“เจ้าต้องกลับมานะ…”

 

นางพูดเบาๆก่อนจะผละตัวออกจากซือหยู

 

จากนั้นนางจึงบินหนีไปโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้สักครั้งนางกลัวว่าถ้าหันไปแล้วจะทนไม่ได้ที่จะกลับมาหาเขา

 

ซือหยูมองนางจนลับสายตาจากนั้นจึงกลับไปที่ก้นบึ้งมังกร