ตอนที่ 694

The Divine Nine Dragon Cauldron

694 – หนึ่งต่อสาม

 

ทันทีที่ซือหยูกลับมาที่ก้นบึ้งมังกรเขาได้พบกับวายุลมอันรุนแรง เขาจ้องมองไปยังด้านหน้าและเห็นกลุ่มคนกำลังปะทะกัน

 

จ้าวสองกับจ้าวหกกำลังหนีด้วยทัพทหารพวกเขาหลายคนกำลังช่วยพยุงกันหนี ทหารบางคนมีร่างที่เต็มไปด้วยโลหิต

 

มีคนหนึ่งที่ท้องเปิดกว้างโลหิตไหลออกมาไม่หยุดหย่อน ส่วนด้านหลังก็มาทหารหลายร้อยคนจากต่างโลกที่ไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิด

 

“จ้าวแห่งความมืดสูงสุดอย่างเจ้าไม่ลังเลก่อนจะทิ้งชีวิตคนของตัวเองด้วยซ้ำ!”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่ากองทัพบนกลางอากาศเขาดูสบายใจอย่างมากและยิ้มเหยียดหยาม

 

หลังจากที่ซือหยูหนีไปจ้าวหนึ่งเลือกที่จะทิ้งจ้าวสี่และห้าในจังหวะสุดท้าย พร้อมกันเขายังเลือกใช้กระบวนท่าอันตรายต่อสี่ศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะทำให้เขาตายได้ แต่วิธีนั้นก็ทำให้เขารอดมาจากดงทัพศัตรูได้จนถึงตอนนี้

 

แม้กระนั้นสี่ศักดิ์สิทธิ์ก็แทบจะไม่เป็นอะไร ส่วนเขาเองเกือบถูกฆ่าตาย! แม้เขาจะเป็นภูติระดับหก แต่จ้าวหนึ่งก็สู้สี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย!

 

ใบหน้าจ้าวหนึ่งซีดราวกับผีจ้าวหนึ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำถากถางจากด้านหลัง เพราะอย่างไรเขาก็ยินดีแม้จะต้องสละชีวิตของราชาแห่งความมืด แล้วทำไมเขาจะไม่ทำแบบเดียวกันกับพวกซือหยูแล้วจ้าวแห่งความมืดคนอื่นเล่า?

 

จ้าวหนึ่งใบหน้าแสดงความชิงชังเมื่อคิดถึงซือหยูไอ้เด็กนั่นพังทุกอย่าง!

 

ซูม

 

เสียงกรีดนภาดังขึ้นเขาคือซือหยูที่กลับมาหลังจากหนีออกไป

 

“ดูเหมือนเจ้าจะดูมีคุณธรรมดีตอนสละชีวิตคนอื่นแต่พอบาดเจ็บเสียหน่อย เจ้ากลับโทษคนอื่นรึ? พวกเจ้าเป็นแค่ตัวตลกสำหรับข้าจริงๆ…”

 

ซือหยูหัวเราะเหยียดหยาม

 

การกระทำของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบันทำให้ซือหยูหมดความนับถือในตัวพวกเขาบางทีคนเหล่านี้อาจจะคุ้นเคยกับการลอบทำลายชีวิตคนอื่นกับการปกครองทวีปมายาวนาน แต่ซือหยูก็มิอาจยอมรับได้

 

“ยังมีหน้ากลับมาอีกเรอะ?กองทัพข้าสูญเสียหนักก็เพราะเจ้า! จ้าวแห่งความมืดโดนฆ่าไปสองคน เราไม่มีพลังจะต่อสู้กับพวกมันอีกแล้ว เจ้าจะพูดอะไรอีก เจ้ามันแกะดำของเฉินหลง!”

 

จ้าวหนึ่งกระอักเลือดด้วยความโกรธแค้น

 

ซือหยูหัวเราะ

 

“ไอ้งูพิษเอ้ย!”

 

“ไม่ต้องห่วงเฉินหลงไม่ได้ต้องการคนอย่างเจ้าให้ปกป้อง ข้าจะผิดหรือไม่ก็ไม่ได้ตัดสินโดยเจ้า ยุคสมัยจะพูดแทนเจ้าเอง!”

 

ซือหยูหุบยิ้มเขาหันไปมองผู้ไล่ล่าที่กำลังมาถึง

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์แปลกใจ

 

“น่าสนใจนักข้าเคยคิดจะใช้เวลามองดูเจ้าในเฉินหลง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกลับมาเองแบบนี้”

 

ห้าศักดิ์สิทธิ์หกศักดิ์สิทธิ์ และเก้าศักดิ์สิทธิ์มองซือหยูด้วยสายตาเยือกเย็น

 

เก้าศักดิ์สิทธิ์แปลกใจเป็นที่สุดชายหนุ่มตรงหน้าที่เขาเคยคิดไล่ล่าให้ตายได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากพอที่จะกำจัดทัพใหญ่ของจิวโจว

 

“ใช่มันก็น่าสนใจอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเจ้าเลือกถอยตอนนี้ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ากลับไป แต่ถ้าพวกเจ้ายังคิดจะบุกเฉินหลงต่อไปก็อย่ามาโทษที่ข้าไร้ปรานี…”

 

ซือหยูพูดราวกับเพิ่งจะตัดสินใจครั้งใหญ่

 

เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์และคนจากตำหนักเจ็ดจ้าวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงคำพูดอันร้ายกาจของซือหยูมันเกินความจริงไปแล้ว!

 

ตามที่ซือหยูพูดเขาจะไม่ร่วมมือกับเหล่าเจ็ดจ้าวที่เหลือ แต่…เขาจะเอาชนะพวกจิวโจวด้วยตัวคนเดียวได้ยังไงกัน?

 

ตามข่าวลือพลังของเขาที่มีนั้นต่อสู้กับหกศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น น่าแปลกสำหรับพวกเขาที่ซือหยูดูมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ แต่พวกเขาก็ใจสั่นไหวเมื่อเห็นความมั่นใจบนใบหน้าของเขา

 

“ฮ่าๆๆๆ…”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์หัวเราะเสียงดังดูเหมือนว่าซือหยูจะทำให้เขาสนใจหรือไม่ก็ทำเป็นตัวตลกต่อหน้าเขา

 

“ไม่คิดเลยว่าที่บ้านนอกแบบนี้จะมีคนหยาบคายแบบนี้อยู่ด้วย!ย่อมได้ ข้าไม่สนแล้วว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่ลมปากเจ้าพล่ามมาหรือไม่ แต่เพราะเจ้า ข้าจะให้โอกาสคนของเจ้าได้รอดชีวิต!”

 

น้ำเสียงของสี่ศักดิ์สิทธิ์ดูอบอุ่นขึ้น

 

โอกาสได้รอดชีวิตรึ?จ้าวหนึ่งตาเป็นประกาย

 

จ้าวหนึ่งกับกลุ่มของพวกเขาไม่มีโอกาสรอดอีกแล้วในตอนนี้คงจะยากแม้จะให้คนเดียวมีชีวิตรอด และเมื่อโอกาสรอดเสนอมาตรงหน้า พวกเขาต้องรับมันไว้อย่างแน่นอน!

 

จ้าวหนึ่งมองซ้ายขวาไปหาจ้าวที่เหลือสองคนเขาพยักหน้าช้าๆและยอมรับ

 

“ก็ได้ข้ายอมร…”

 

แต่ก่อนที่จ้าวหนึ่งจะพูดจบสี่ศักดิ์สิทธิ์ก็หัวเราะออกมา

 

“ข้าถามเจ้ารึ?ข้าจะบั่นคอเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้ที่ข้าต้องการ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า?”

 

พร้อมกันนั้นเขายังหันไปหาซือหยูด้วยรอยยิ้ม

 

“ข้าต้องการคำตอบของเจ้า”

 

จ้าวหนึ่งใบหน้าหมองมัวเขาโมโหแต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไร

 

“บอกข้า…เจ้าคิดเช่นไรอยู่?”

 

ซือหยูตอบอย่างใจเย็นเขาไม่สนใจใบหน้าอัปลักษณ์จากเหล่าจ้าวแห่งความมืดที่กำลังมองเขา

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์ตอบ

 

“มีคนจากต่างโลกของข้ามากมายนักข้าอยากจะรู้ว่าใครคือคนที่แกร่งที่สุดในเฉินหลง เริ่มจากตอนนี้ พวกเจ้าจะต้องสู้กันเอง! มีแค่สิบคนเท่านั้นที่จะรอดไปได้ ข้าเป็นคนรักษาคำพูด สิบคนที่มีชีวิตรอดเป็นกลุ่มสุดท้าย ข้าจะปล่อยออกไป”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มซือหยูดูจะไม่สนใจคำพูดของเขา เหล่าจ้าวแห่งความมืดมองหน้ากันก่อนจะเงียบไป

 

“เจ้าพันธมิตรซือทวีปกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราคือยอดฝีมือสูงสุดของทวีป ถ้าพวกเรามาตายที่นี่ ทวีปก็คงจะไร้เกราะป้องกัน ข้าหวังว่าท่านจะยอมรับข้อเสนอ ตามพลังที่พวกข้ามี คงจะไม่ยากนักที่จะได้เป็นสิบคนแรกที่รอดชีวิต”

 

คนที่พูดคือจ้าวสองแม้เขาจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็กำลังพูดแทนจ้าวหนึ่งที่หยิ่งยโสเกินกว่าจะพูดด้วยตัวเอง

 

สละคนอื่นเพื่อตัวเองอีกแล้วรึ?ซือหยูขยะแขยงพวกเขามาก ถ้าพวกเราต้องอาศัยความเวทนาของศัตรูเพื่อให้มีชีวิตรอด แล้วพวกเขามีสิทธิ์อะไรกันที่จะมาปกป้องทวีปต่อไป?

 

ถ้าคุกเข่าต่อหน้าศัตรูหนึ่งครั้งคนผู้นั้นก็จะมิอาจยืนด้วยขาของตัวเองได้อีก ถ้าหากสละชีวิตทหารเก้าร้อยคนเพื่อปกป้องคนแก่เฒ่าไม่กี่คน…มันก็ไม่มีหวังเหลือในทวีปอีกแล้ว!

 

“ข้าไม่สนใจข้อเสนอนั่นหรอกข้าฆ่าพวกเจ้าให้หมดเสียดีกว่า!”

 

ซือหยูเมินคำพูดของจ้าวสองไปเลยเขาจ้องมองสี่ศักดิ์สิทธิ์

 

ทุกคนตัวแข็งทื่อ…ซือหยูเป็นบ้าไปแล้วรึ?

 

เขาเสียสติหลังจากที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์พ่ายแพ้กองทัพจากต่างโลกรึ?

 

ไม่มีใครที่นี่ที่รู้ว่าซือหยูได้ล้างบ้างทัพทมิฬที่แข็งแกร่งที่สุดไปในสงคราม

 

“น่าละอายนัก”

 

รอยยิ้มของสี่ศักดิ์สิทธิ์จางหายไปมีพลังอันตรายปะทุออกมาจากดวงตาของเขาพร้อมกับจิตสังหาร

 

การต่อสู้อันดุเดือดกำลังจะเริ่มขึ้น!แต่ตอนนั้น สี่ศักดิ์สิทธิ์ได้หันไปมองทางรอยแยกมิติ จู่ๆเขาก็ดูหวาดกลัว

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ทางเลือกอย่างอื่นกับพวกเจ้า การประลองน่าจะดีมิใช่รึ? เราจะเลือกสามคนมาประลองกับอีกสามคนของแต่ละฝั่ง กลุ่มที่รอดจะถือว่าชนะ เจ้าจะว่าอย่างไร?”

 

สี่ศักดิ์ยสิทธิ์ถาม

 

เขาพูดต่อ

 

“ถ้าเจ้าชนะข้าสัญญาว่าจะให้พวกเจ้าทุกคนรอด แต่ถ้าพวกเจ้าแพ้ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่ให้โอกาส”

 

อะไรนะ?เหล่าจ้าวแห่งความมืดรู้สึกถึงความหวัง แต่ใบหน้าพวกเขาก็หม่นหมองหลังจากที่เห็นว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน

 

นี่เป็นการประลองสามต่อสามแต่สี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายศัตรู พวกเขาจะต้องแพ้แน่นอน! ในเบื้องงหน้า มันดูเหมือนเป็นโอกาสรอดชีวิต แต่ในความจริงแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องตลกร้ายเท่านั้น!

 

“สุดท้ายก็แค่ต่อสู้อยู่ดีใต้เท้าเล่นตลกอะไรถึงเสนอการประลอง! มันจะมีประโยชน์อะไรกัน?”

 

จ้าวหนึ่งถอนหายใจยาวเขาสิ้นหวังแล้วในตอนนี้

 

แต่น่าแปลกที่สี่ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมา

 

“ข้าจะไม่เข้าร่วมการประลองจะมีแค่ห้าศักดิ์สิทธิ์ หกศักดิ์สิทธิ์ และเก้าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เจ้าเลือกสามคนในกลุ่มพวกเจ้าได้”

 

พอเขาพูดจบเหล่าผู้คนเริ่มตกตะลึง แม้แต่ททัพต่างโลกเองก็ไม่เข้าใจการตัดสินใจนี้

 

ซือหยูเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยเพราะนี่คือการให้ความได้เปรียบแก่คนเฉินหลง แม้จ้าวหนึ่งจะบาดเจ็บหนัก แต่ฝั่งพวกเขาก็ยังมีจ้าวสองที่เป็นภูติระดับห้า ยังมีจ้าวหกที่เป็นภูติระดับสอง และซือหยูที่สามารถสังหารภูติระดับสามได้เหลืออยู่!

 

ส่วนศัตรูมีห้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นภูติระดับห้าหกศักดิ์สิทธิ์เป็นภูติระดับสี่ และเก้าศักดิ์สิทธิ์เป็นภูติระดับหนึ่ง ถ้าหากตัดสี่ศักดิ์สิทธิ์ออกไป ผลการประลองมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว!

 

ซือหยูไม่เชื่อว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์จะใจดีเช่นนี้เขาไม่คิดจะปล่อยพวกซือหยูไปง่ายๆแน่

 

ซือหยูเหลือบมองส่วนลึกสุดของรอยแยกมิติโดยไม่ขยับไปไหน

 

“คิดกันจบรึยัง?มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดเดี๋ยวนี้”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์สีหน้าเย็นชาลง

 

คนจากตำหนักเจ็ดจ้าวมองซือหยูด้วยความตื่นตระหนกซือหยูเงียบไปก่อนจะพยักหน้าเบาๆ  

 

“ก็ได้แต่ข้าจะเลือกเองว่าใครจะต้องประลอง”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์ใบหน้าผ่อนคลายลงเขาหัวเราะ

 

“ดีก็แล้วแต่เจ้า! สนามประลองให้อยู่ระหว่างกองทัพสองฝั่ง ถ้าใครออกมาจะถือว่ายอมแพ้โดยปริยาย!”

 

ซือหยูพยักหน้าและก้าวไปข้างหน้าเขาจะถูกนับเป็นหนึ่งในสามคนของฝั่งประลองเฉินหลง ขณะที่อีกฝั่งจะเป็นห้า หกและเก้าศักดิ์สิทธิ์

 

“เอาสิเจ้ายังเลือกได้อีกสองคน…”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยรอยยิ้ม

 

ในบรรดาคนจากตำหนักเจ็ดจ้าวจ้าวสองกับจ้าวหกกลั้นหายใจ ชีวิตของคนพันคนขึ้นอยู่กับเขาทั้งสองทั้งหมด จ้าวสองรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากเพราะเขาคือคนเดียวที่จะรับมือกับห้าศักดิ์สิทธิ์ได้

 

จ้าวหนึ่งดูกังวลใจอย่างมากเขามองไปทางซือหยูอย่างระวัง ถ้าเขาถูกเลือก เขาจะไม่ให้ซือหยูประลองในครั้งนี้แน่

 

แม้จะมีข่าวลือว่าชายหนุ่มคนนี้สังหารภูติระดับสามมาก่อนเขาก็อวดดีและดื้อรั้นเกินกว่าจะยอมรับ ภูติของศัตรูล้วนเป็นนักรบที่กรำศึกมาหลายครั้ง เขาต้องคิด…

 

ซือหยูที่เป็นเด็กน้อยจะเทียบกับคนเหล่านั้นได้อย่างไร?

 

จ้าวหนึ่งเพียงหวังว่าซือหยูจะไม่โงง่พอที่จะลากทุกคนจมลงไปกับเขา

 

“จ้าวพันธมิตรซือโปรดปล่อยให้จ้าวสองกับจ้าวหกไปประลองเถอะ ท่านแค่ต้องสนับสนุนทั้งคู่เท่านั้น ถ้าทั้งสามคนชนะ ข้าจะรู้สึกขอบคุณไปตลอดชีวิตแน่”

 

จ้าวหนึ่งพยายามจะเก็บความรู้สึกเมื่อพูดกับทั้งสามคน

 

แต่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อซือหยูตอบโดยไม่คิด

 

“ข้าต้องพูดซ้ำอีกรึ?การอยู่รอดของเฉินหลงหรือพ่ายแพ้มิได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ให้มันอยู่ที่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

 

หลังจากที่เขาพูดจบซือหยูมองไปยังศัตรูทั้งสาม เขายืนมือไพล่หลัง

 

“เข้ามาข้าจะสู้กับเจ้าสามคนเอง!”

 

เมื่อพูดจบทั้งสองฝั่งเงียบกริบ สี่ศักดิ์สิทธิ์นิ่งงันไปครู่หนึ่งด้วยความกังวลใจ

 

ในหลายครั้งซือหยูได้พูดว่าเขาสามารถสังหารทุกคนได้รวมถึงเขาเองด้วย ทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงการพูดข่มขวัญ พวกเขาจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก

 

แต่เมื่อการประลองอันดุเดือดกำลังจะเริ่มซือหยูกลับมั่นใจมากพอที่จะประลองกับสามคนด้วยเขาเองคนเดียว! มีอยู่สองอย่างที่เป็นไปได้ นั่นก็คือเขาบ้าไปแล้ว ไม่ก็เขามีพลังที่สังหารทุกคนได้จริง!

 

คนจากตำหนักเจ็ดจ้าวตกใจไม่แพ้กันจ้าวหนึ่งไม่พอใจและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขาคิดว่ายังพอมีหวังที่จะรอดชีวิต แต่ซือหยูกลับบ้ามากพอที่จะสู้กับสามคนด้วยตัวคนเดียว!

 

ตามที่เขารู้พลังต่อสู้ของห้าศักดิ์สิทธิ์นั้นมากจนจ้าวสองรับมือคนเดียวไม่ไหว…

 

แล้วซือหยูจะรับมือกับห้าศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะ?เขามาเพื่อตายงั้นรึ?

 

“ซือหยู!เจ้าจะลากพวกข้าไปตายกับเจ้าทำไมกัน? พวกเจ้าทำอะไรลงไปถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เรอะ?”

 

จ้าวหนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“เจ้าแพ้สงครามจนพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ถูกทำลายเจ้ามันก็แค่แกะดำ ข้าจะไม่ห้ามถ้าเจ้าอยากตายนัก แต่ทำไมต้องเอาพวกข้าไปเกี่ยวข้องด้วย?”

 

จ้าวสองจ้าวหก และทัพอาณาจักรทมิฬล้วนสับสนกับการกระทำของซือหยู เพราะซือหยูปรากฏตัวโดยไม่มีคนจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์อยู่ด้วยสักคนเดียว!

 

จากนั้นสี่ศักดิ์สิทธิ์ลูบคางและพูดอย่างซุกซน

 

“ข้าไม่รู้ว่าทำไมคนแก่เลอะเลือนอย่างพวกเจ้าถึงเอาแต่เรียกคนอื่นว่าผู้แพ้ตามที่ข้ารู้ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์เอาชนะทัพทมิฬของพวกข้าอย่างราบคาบ ทวีปเหนือถูกพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ยึดกลับคืนไปหมดแล้ว”

 

เขาพูดต่อ

 

“ข้าชักจะสงสัยแล้วว่าเจ้าพันธมิตรที่เจ้ากำลังพูดอยู่ใช่คนเดียวกับเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์หรือไม่?ถ้าใช่ ข้าก็ไม่คิดหรอกว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์เรียกเขาว่าผู้แพ้ แต่พวกเจ้าก็เป็นซากทัพอยู่นี่ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครหน้าไหนทั้งนั้น!”

 

ของทัพของอาณาจักรทมิฬเงียบกริบดวงตาหลายคู่รีบหันไปมองซือหยูด้วยความตกใจกลัว

 

พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ชนะศึกงั้นรึ?แล้วพวกเขายังชนะทั้งที่ต่อสู้กับกองทัพแบบนี้งั้นรึ?

 

ถ้าข่าวนี้ไม่ได้มาจากหัวหน้าของศัตรูพวกเขาก็คงจะไม่เชื่อ!จ้าวหนึ่ง จ้าวสอง และจ้าวหกตกตะลึงกับข้อมูลนี้เช่นกัน

 

ผ่านไปครู่หนึ่งจ้าวหนึ่งถึงได้พักหายใจ เขามิอาจเก็บซ่อนความตกใจในสายตาได้…

 

พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะเอาชนะทัพทมิฬที่ไร้เทียมทานได้ยังไง?พวกข้าถ่วงเวลาทัพต่างโลกไม่ได้ด้วยซ้ำ!

 

และที่สำคัญที่สุดเจ้าพันธมิตรซือยังมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา!

 

จ้าวหนึ่งชาไปทั้งตัว

 

“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”

 

สี่ศักดิ์สิทธิ์มองเขาอย่างเวทนาและส่ายหน้าหัวเราะ

 

“เจ้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้แล้วมันจะมีค่าอะไรรึ?เจ้ามันก็แค่เศษขยะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความกล้าที่ไหนมาสบประมาทชายหนุ่มผู้นี้ ไอ้โง่เอ้ย!”

 

จากนั้นสี่ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองซือหยูด้วยรอยยิ้ม

 

“หนึ่งต่อสามรึข้านับถือความกล้าหาญของเจ้า ข้าจะตั้งใจดูการประลองของเจ้า”

แสงสว่างจ้าผ่านดวงตาสิ่งที่โปร่งใสได้ลงไปยังพื้นจากเท้าของเขา…