บทที่ 182
การเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่กินอาหารกับคุณปู่คุณย่าเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็เดินทางกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงเรื่องที่คุณปู่พูด ให้กล้าที่จะไขว่คว้ามันงั้นเหรอ?!! ในชีวิตที่แล้วเธอบ้าบิ่นและกล้าหาญที่จะไขว่คว้าแต่มันน่าเสียดายที่เธอได้เจอกับคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ ในชีวิตนี้เธอมักจะขี้อายและไม่กล้าที่จะมอบหัวใจให้ใครแต่เธอก็อยากที่จะได้ความอบอุ่นที่พวกเขามอบให้ เธอเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆ
นี่เธอเข้าใจความหมายของความรักผิดไปหรือเปล่า
ท้องฟ้าข้างนอกยังสดใสแต่หัวใจของเธอกลับเยือกเย็นราวสายฝน
อันที่จริง เธอไม่รู้เจตนาของคนพวกนั้นจริงๆงั้นเหรอ?!! ไม่ เธอรู้ดี เธอรู้ดีแต่ก็เพราะความโลภอยากจะได้ความอบอุ่นของชีวิตที่แล้ว เธอจึงปล่อยให้มันเข้ามาครอบคลุมจิตใจตัวเองได้ แล้วคนที่เธอแคร์ก็ค่อยจากไปทีละคนๆจนกระทั่งไม่เหลือใคร แต่เธอก็ยังต้องเป็นไปตามกระแสของโลกอยู่ดี
ถ้าจะต้องตาย เธอก็จะตาย หัวใจที่ขลาดกลัวของเธอทอดทิ้งตัวเธอไปแล้วอย่างหมดสิ้น แทนที่จะเข้ามาช่วยเหลือตัวเอง เธอเกิดใหม่มานานจนสามารถมองทะลุแก่นแท้ของตัวเองได้แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้
ความเห็นแก่ตัวของเธอไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเธอแต่กลับทำร้ายคนที่รักเธอด้วย เช่นพี่ชูและชางกวนโม่
เธออยู่กับชางกวนโม่มานานแต่ก็มองเห็นไม่ชัด ความผิดพลาดคือร่างกายของเธอเองซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาร้าวฉานและเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดนี้
และเมื่อนึกถึงความอ่อนโยนของพี่ชู เธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เธอรู้ดีอย่างชัดเจน เธอเอาเปรียบความใจดีของคนอื่นเพื่อมาปลอบโยนหัวใจที่บาดเจ็บของตัวเองหลังจากที่เขาดีกับเธอมากขนาดนั้นได้ยังไง? นี่เป็นการดึงคนที่รักเธอลงไปในเหวที่เธอเองก็ขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหม?
อีกอย่างเธอไม่กล้าที่จะมองเข้าไปในความกลัวของตัวเอง ว่าตัวเองโหดร้ายมากแค่ไหนและตอนนี้สุดท้ายเธอก็ได้หันกลับมามองตัวเอง จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็ลุกขึ้นและรีบวิ่งออกไป เธอขับรถอย่างเร็วเพื่อตรงไปฐานของฮวงฟูอี้ ตอนนี้เธอได้สติแล้วและหวังว่าทุกอย่างจะยังทันเวลา เธอหวังว่าอย่างนั้นจริงๆ
…
เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ขึ้นเครื่องกลับมาที่เมืองหลวง เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูทะเลหมอก เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เธอเข้าใจเรื่องที่คุณปู่พูดแต่มันก็สายเกินไปหน่อยแล้ว
เมื่อวานตอนที่เธอไปถึงฐานที่เธอกับฮวงฟูอี้เคยอยู่ด้วยกัน ตึกสูงใหญ่ตรงหน้าเธอมันหายไปไหนแล้วล่ะ? ตรงหน้าเธอมีเพียงกองซากปรักหักพัง หัวใจเธอกลายเป็นพื้นที่รกร้างไปแล้ว เขาตัดการติดต่อกับเธอทั้งหมด ช่างใจแข็งและยโสเหลือเกิน มู่หรงเสวี่ยยืนอยู่แบบนั้นอยู่นานจนกระทั่งอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นค่ำคืน
แต่ยังไงซะเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มใหม่อีกครั้ง ลาก่อนมู่หรงผู้ขี้ขลาดที่ในชีวิตที่แล้วไร้ซึ่งอิสระ
…
ในร้านกาแฟที่ดูธรรมดาอย่างมากแต่บรรยากาศกลับดีอย่างเหลือเชื่อ เพลงฟังสบายและรอบๆก็มีดอกไม้ ต้นไม้ปลูกไว้ด้วย แต่ละที่นั่งจะมีฉากกั้นไว้ นี่เป็นช่วงเวลาทำงานในร้านจึงมีคนไม่มาก มู่หรงเสวี่ยนั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองผู้คนที่เดินไปมาด้วยความเร่งรีบพร้อมรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก
“ขอโทษนะเสี่ยวเสวี่ย รอนานหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมด้วยอาการหอบหายใจและเหงื่อเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยถือแก้วกาแฟไว้ในมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกค่ะ ฉันเพิ่งมาถึง นั่งสิพี่ชู ขอโทษนะคะที่มักจะเรียกให้พี่ออกมาแบบกะทันหันแบบนี้ตลอดเลย”
การที่มู่หรงเสวี่ยเรียกให้เขาออกมาทำให้เขามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใด
“เสี่ยวเสวี่ยมาที่นี่ได้ยังไง?” แถวนี้อยู่ไม่ห่างจากบริษัทเขาและเขาจำได้ว่ามู่หรงแทบจะไม่เคยมาถนนแถวนี้เลย
“ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับพี่ชูหน่อยน่ะค่ะ…” มู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนท่าทางและมองไปที่ชูอี้เสิ่นอย่างจริงจัง
รอยยิ้มที่มุมปากของชูอี้เสิ่นหยุดแล้วก็กลับมาอีกครั้ง “ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็จะตั้งใจฟัง”
“พี่ชู ขอบคุณที่ฟังฉันนะคะ” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาแล้วก็หยุด แล้วก็พูดต่อ “พี่ชู ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะตามเขาไปตลอดชีวิตของฉัน…”
เธอมองไปที่ชูอี้เสิ่นและเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดแต่เขาก็ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองไว้ เธอไม่สนใจว่าพี่ชูจะเสียใจมากแค่ไหนและสนใจเพียงความเห็นแก่ตัวของตัวเอง จากนี้ไปเธอจะไม่มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือพร้อมกันสองคนอีก ในเมื่อมันเป็นความผิดของเธอ งั้นเธอก็ต้องแก้ไข
“ขอโทษนะคะพี่ชู! อันที่จริงฉันรู้มาตลอด…” สายตาที่เย็นชามู่หรงเสวี่ยมั่นใจและมีร่องรอยของการตัดสินใจแล้ว “ฉันรู้เจตนาของพี่ชู…”
ชูอี้เสิ่นยังนั่งฟังเงียบ มู่หรงเสวี่ยกำแก้วกาแฟอีกครั้ง ความอุ่นของแก้วดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความกล้าให้เธอได้ “พี่ชูเข้าใจฉันผิด อันที่จริงฉันตั้งใจและเห็นแก่ตัวมาก ฉันไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่พี่ชูเห็น”
“ฉันเป็นแค่คนที่เห็นแก่ตัว จากนี้ไปฉันจะไม่ทำให้พี่ชูต้องสับสนอีก…และต้องขอบคุณพี่ชูที่ก่อนหน้านี้ทนกับฉันมาตลอด…”
มู่หรงเสวี่ยวางแก้วกาแฟลงและกำหมัดแน่น “ฉันจะตามคนที่ฉันชอบและจะไม่เปลี่ยนใจไปตลอดชีวิต ฉันหวังว่าพี่ชูจะมีความสุขได้ ในอนาคตฉันจะไม่พึ่งอ้อมกอดของพี่ชูพร่ำเพรื่อเหมือนแต่ก่อนอีก ฉันขอโทษ มันเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเองที่ทำให้พี่ชูมีความหวัง…”
ชูอี้เสิ่นเปิดปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเสี่ยวเสวี่ยพูดความคิดตัวเองออกมาอย่างชัดเจน เธอที่อยู่ตรงหน้าเขาดูไม่เขินอาย, ไม่ลนลาน, และไม่อ่อนโยน เธอดูเฉียบขาดมากกว่าแต่ก่อน
“เสี่ยวเสวี่ย ฉันไม่มีความหวังเลยใช่ไหม?” น้ำเสียงของเธอที่พูดออกมาอย่างรอบคอบเพื่อตัดความหวังของเขาช่างแตกต่างจากน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเห็นใจก่อนหน้านี้มาก
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา ถึงแม้ในหัวใจเธอจะรู้สึกเจ็บปวดแต่เธอก็ไม่ชอบการยอมแพ้ เธอเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่สับสนหรือให้ความหวังคนอื่นและทำร้ายความรู้สึกคนอื่นจนสุดท้ายก็ย้อนกลับมาทำร้ายเธอเองอีกแล้ว “ใช่ค่ะพี่ชู! ฉันตัดสินใจแล้ว…”
หลังจากที่เงียบไปนาน ชูอี้เสิ่นก็พูดออกมาอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง “ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการให้เธอมารักฉัน เธอไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉันหรอก…แค่ปล่อยให้ฉันอยู่ข้างเธอได้ไหม?” ถึงแม้เขาจะถูกเธอปฏิเสธ
อันที่จริงเขาไม่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องการความอ่อนโยนของเขาก็แค่เพียงตอนที่เธออ่อนแอและเขาก็รู้ด้วยว่าเธอไม่รักเขาแต่เขาก็พร้อมยอม
ไม่จำเป็นต้องเข้ามารับผิดชอบ นี่เป็นกับดักที่สวยงาม พี่ชูพาตัวเองมาติดอยู่กับกับดักซะแล้ว “พี่ชู ฉันไม่ต้องการอีกแล้ว! พี่ควรจะรีบออกไปให้ไว! โอเคไหม?” เธออยากที่จะปล่อยพี่ชูไป อยากจะไขกุญแจข้อมือที่เธอใช้รั้งพี่ชูเอาไว้
“ฉันเข้าใจแล้ว!” ชูอี้เสิ่นลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยแล้วเขาไม่แม้แต่จะกล่าวลา เขาจะไปแล้วจริงๆ
เธอกลัวว่าตัวเองจะเสียการควบคุมในวินาทีต่อมา มันยากสำหรับมู่หรงเสวี่ย การโตขึ้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเธอ เขากลายเป็นต้องขวางกั้นเธองั้นเหรอ? เขาจะเติมเต็มทุกอย่างที่เธอต้องการ ถ้าอย่างงั้นเธอก็ยังทอดทิ้งเขา
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ร่างของพี่ชูที่เดินออกไปโดยไม่ขยับ เธอยกแก้วกาแฟที่เย็นแล้วขึ้นมาจิบ รสชาติขมกระจายไปทั่วหัวใจ
ดื่มยากงั้นเหรอ!? เธอวางแก้วกาแฟลง จากนี้ไปเธอได้เสียความอ่อนโยนของพี่ชูไปแล้ว แต่พี่ชูก็จะได้เป็นอิสระจากเรื่องนี้ด้วย
คนที่เดินผ่านไปมาที่หน้าต่างก็ยังเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง มีทั้งความสุข โกรธหรือกังวล ปล่อยให้เธอได้มองอย่างเพลิดเพลิน ทุกคนต่างก็มีเรื่องกังวลของตัวเอง แต่ก่อนเธอมองไม่เห็นได้ยังไง
เธอลุกขึ้นไปจ่ายตังค์โดยไม่สนใจสายตาชื่นชมของพนักงาน สิ่งที่คนอื่นเห็นคือหน้าตาที่สวยงามของเธอ พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าหัวใจที่อยู่ภายใต้ผิวที่ขาวนวลของเธอเป็นยังไง
มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาจากร้าน แสงอาทิตย์ด้านนอกยังร้อนแรง แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ เธอเดินออกมาจากปราสาทด้วยเท้าข้างเดียว เธอไม่จำเป็นต้องรอให้คนอื่นเข้ามาช่วย เธอทำได้ด้วยตัวเอง ใช่ไหม?!!
…
วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยสวมชุดนักศึกษาและพร้อมที่จะไปมหาลัย
พวกนักศึกษาตามถนนของมหาลัยยังมองและหัวเราะมาที่เธอ ตอนนี้เธอคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เธอดีเกินไป เธอแค่บังเอิญเป็นหัวข้อบทสนทนา ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าภูมิใจเท่าไร ตรงกันข้ามเธอน่าจะรู้สึกผิด
เมื่อเธอมาถึงห้องเรียน เธอก็เห็นว่าทุกคนยืนล้อมรอบกันแน่นและบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา เธอประหลาดใจปกติในชั้นเรียนแทบจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เลย เธอเดินเข้ามาด้วยความสงสัยและก็ได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน
“ว่าว! สวยอะไรขนาดนี้” เด็กสาวคนหนึ่งร้องอุทานออกมา
“ฮ่าฮ่า นี่เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ของไชในประเทศซีเลยนะ เป็นของลิมิเตทด้วย!” เสียงที่คุ้นเคยทำให้มู่หรงเสวี่ยถึงกับต้องเดินเข้าไป
“เสี่ยวเฟ่ย มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าครอบครัวเธอจะรวยขนาดนี้ เหมือนเจ้าหญิงเลยอ่ะ น่าอิจฉาเธอจริงๆเลย” เด็กสาวอีกคนพูดโอ้อวด
“เสี่ยวเฟ่ย ไปเที่ยวด้วยกันไหม ฉันรู้สึกว่าตัวเองหลงรักเธอเข้าแล้ว…” เด็กหนุ่มพูด
“ไปเลย ไปเลย ไอ้ขี้แพ้ถ้านายยังอยากจะตามจีบ เสี่ยวเฟ่ยละก็ ไปเข้าแถวรอเลย…”
” ฮ่าฮ่า อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันขอโทษจริงๆ…” ถึงแม้ ฮวงเสี่ยวเฟ่ยจะเขินแต่สีหน้าเธอก็ค่อนข้างภูมิใจอยู่เล็กๆ
“เสี่ยวเฟ่ยนี่สวยจริงๆเลย ฉันขอโทษนะที่ไอ้พวกผู้ชายตัวเหม็นนี่พยายามที่จะตามจีบเธอ…”
“…”