บทที่ 661 รำจิงหง

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 661 รำจิงหง

ซื้อตั๋วงานโปรโมทหนัง แต่สุดท้ายกลับได้ดูคอนเสิร์ต แฟนคลับเหล่านี้ได้กำไรจริงๆ

ในเวลาเดียวกัน ฉินเทียนอดคิดไม่ได้ ไม่แปลกใจที่ช่วงนี้ไม่มีข่าวเกี่ยวกับหลิวหรูยู่ ที่แท้ไปถ่ายภาพยนตร์สาธารณประโยชน์นี่เอง

สำหรับหลิวหรูยู่ที่เป็นดาราดัง แต่ยังสามารถรักษาตัวตนเดิม บริสุทธิ์และใจดี เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ฉินเทียนยกย่องเธอจากจริงใจ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวระหว่างทั้งสองคน ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยในใจ

ในไม่ช้าเขาก็เดินเข้าไปในสนามกีฬาภายใต้การคุ้มกันของหม่าหงเทา

แรวดึงดูดของหลิวหรูยู่นั้นไม่ได้โรยหน้าจริงๆ สนามกีฬามีผู้คนนับหมื่นนั่งเต็มไปหมดแล้ว

หม่าหงเทาชี้ไปทางเข้าทางหลังเวทีซึ่งอยู่ห่างออกไป และพูดด้วยเสียงต่ำว่า: “นายท่านอานกับผู้นำอีกหลายท่านอยู่ทางนั่นทั้งหมดครับ”

“พี่เทียน พี่อยากจะไปทักทายไหม”

“พวกเขายังไม่รู้ว่าพี่มา”

ฉินเทียนยิ้มและพูดว่า “กับกลุ่มคนแก่มีไรน่าไปทักทาย ฉันไปหาภรรยาดีกว่า”

หม่าหงเทาอดไม่ได้ที่จะขำแล้วพูดว่า: “มากับผม คุณผู้หญิงอยู่ทางนี้!”

ภายใต้การนำของเขา ในไม่ช้า ฉินเทียนก็มาถึงพื้นที่วีไอพีที่อยู่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ที่ดีที่สุดในการชมคอนเสิร์ต

จากสิ่งที่เห็น ฉินเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือร่างที่สง่างามเหมือนดั่งหงส์ เธอสวมชุดเดรสยาวสีเหลือง ซึ่งปกปิดหน้าท้องที่ป่องออกมาเล็กน้อยของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในขณะเดียวกัน ผิวขาวที่สะท้อนดั่งหิมะ และผมดำเหมือนดั่งน้ำตก

เธอถือถังป๊อปคอร์น โดยกินไปด้วย และชมการแสดงบนเวทีอย่างมีความสุข

พื้นที่วีไอพีหลายสิบที่นั่งรอบตัวเธอนั้นถูกจับจองไปหมดแล้ว

นอกเหนือจากเหลิ่งเฟิงและคนของทีมหมาป่าเดียวดาย ก็คือกลุ่มคนในทีมของหนิงซวง

พวกเขาไม่ได้ดูคอนเสิร์ตอย่างสบายใจเหมือนอย่างซูซู สีหน้าแต่ละคนนั้นหนักแน่น สายตาที่ตื่นตัวและมองไปรอบๆเป็นครั้งคราว

การรักษาด้านความปลอดภัยแบบนี้ ทำให้ซูซูเหมือนลูกสาวของคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่ออกมาเที่ยว และเหมือนดั่งเจ้าหญิงออกมาเดินเล่น

เหลิ่งเฟิงที่เห็นฉินเทียนในตอนแรกรู้สึกประหลาดใจมากและรีบลุกขึ้นยืนทันที

ฉินเทียนโบกมือส่งสัญญาณให้เงียบ

เขารีบเดินไปที่ด้านข้างของซูซูอย่างรวดเร็ว

ซูซูที่ดื่มด่ำกับความสุขของคอนเสิร์ตและป๊อปคอร์นนั้นไม่ได้สังเกตอยู่แล้ว

ด้านขวาของเธอ คือหม่าเซวี่ยที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่ตั้งใจเช่นกัน และข้างหลังคือหลินเซวี่ย

ทางด้านซ้าย คือเถียหนิงซวงที่มาพร้อมกับดาบติดตัวพลางคอยปรนนิบัติข้างกายตัวเอง

ฉินเทียนตบไหล่ของเถียหนิงซวง

เถียหนิงซวงที่หันศีรษะไปก็อ้าปากกว้างเมื่อเห็นเขา และเธอเกือบจะร้องในวินาทีถัดไป

ฉินเทียนรีบทำท่าให้เงียบๆ แล้วส่งสัญญาณให้เถียหนิงซวงนั้นหลีกทาง

เถียหนิงซวงเข้าใจ กลั้นขำ และถอยให้ฉินเทียนนั่งอย่างเงียบ ๆ

ฉินเทียนนั่งลงข้างๆซูซู หยิบถังอปคอร์นที่เธอวางไว้บนตักมาใส่ปากเคี้ยว จากนั้นก็พูดเบาๆว่า: “ท้องอยู่ยังจะกินป๊อปคอร์นอีก ไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นอาหารขยะ?”

“นานๆกินบางครั้งเอง…” ซูซูพูดโดยไม่คิด แต่จู่ๆก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ จึงหันหน้าไปมอง

จากนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากเล็ก ๆ และเบิกตาที่สวยงามของเธอ

“ทำไมคือคุณ?”

“ไอบ้า คุณกลับมาทำไมไม่บอกฉันสักคำ!” เธอตีฉินเทียนด้วยความโกรธ

ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย หลังจากออกไปนานๆ ในที่สุดเขาก็เห็นภรรยาตัวน้อยที่มีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์อีกครั้ง เขาอยากจะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาจริงๆ

แต่ว่า ที่นี่มีคนมากเกินไป เขาจึงอดทนเอาไว้

ในขณะที่กินป๊อปคอร์น และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “เซอร์ไพรส์ไหม ตกใจหรือเปล่า?”

“สิ่งที่ต้องการก็คือผลลัพธ์นี้!”

“บ้า!” ซูซูหัวเราะขึ้นมา และพูดว่า: “เอาป๊อปคอร์นของฉันคืนมาเลย!”

“คุณห้ามกิน!”

ขณะที่เขาพูดก็ยื่นมือออกไปคว้ามัน

ฉินเทียนกอดเธอมาไว้ในอ้อมแขน และพูดว่า “แมวน้อยจอมตะกละ กินสิ่งนี้มันไม่ดีต่อเด็ก!”

“ดูสิคุณผอมลง ช่วงที่ผมไม่อยู่ ไม่กินของมีประโยชน์ใช่ไหม? ไว้ผมจะทำซุปให้คุณดื่ม”

ซูซูเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา และพูดอย่างโกรธๆว่า: “คุณไม่เห็นหรือไง”

“เพราะฉันท้องให้คุณ ฉันอ้วนขึ้นแล้วห้าโล!”

“ฉันเสียใจจริงๆ รู้แต่แรกก็คงไม่ตั้งท้อง ลำบากเกินไปแล้ว!”

ฉินเทียนรีบปลอบเธอ

เหลิ่งเฟิงและทีมหมาป่าเดียวดาย รวมทั้งคนในทีมหนิงซวงต่างก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะมอง

หวานสวีทโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว!

เถียหนิงซวงทนมองไม่ไว้อีกต่อไป และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “คอนเสิร์ตใกล้จะจบลงแล้ว พี่เทียน ถ้าพี่อดไม่ได้ ก็กลับไปกับพี่สะใภ้ก่อนเถอะ”

“เดี๋ยวฉันจัดห้องให้พี่ทันที”

ซูซูรีบผลักฉินเทียนออก และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “หนิงซวงน้อย อย่าพูดไปเรื่อย!”

“ใครจะกลับไปกับเขา ฉันจะดูคอนเสิร์ต!”

ฉินเทียนไอ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสร้งทำเป็นจริงจังและมองขึ้นไปบนเวที

เวทีเรียบง่ายมาก เนื่องจากเดิมทีไม่ได้ออกแบบมาสำหรับคอนเสิร์ตอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการตกแต่งที่สวยงาม

หลิวหรูยู่สวมชุดเดรสสีขาว ยืนอยู่ตรงกลางเวที รายล้อมด้วยลำแสงและร้องเพลงอย่างสงบ

เสียงร้องอันไพเราะ รวมถึงการแสดงออกที่ทุ่มเทของเธอ เป็นงานใหญ่ที่ควบทั้งการฟังและการมองจริงๆ

นักร้องที่มีความสามารถจริงๆคือแบบนี้ เพียงแค่เธอร้องเพลงนิ่งๆ ก็มีเสน่ห์ที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณ

และบนหน้าจอขนาดใหญ่ด้านหลังเธอ มีภาพบางที่กำลังเลื่อนไหวไปมา หลิวหรูยู่สวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายของคนในท้องถิ่น เดินลึกเข้าไปในภูเขาใหญ่ อยู่กับเด็กๆ ยิ้มอย่างมีความสุข

ดวงไฟทุกดวงที่รวมอยู่ที่ตัวเธอที่ยืนตรงหน้า เป็นดาราดังที่คู่ควร และสวยราวกับนางฟ้า

บนหน้าจอขนาดใหญ่ เธอเรียบง่ายเหมือนลูกสาวของภูเขาเป็นนางฟ้าในโลกนี้

การรวมกันของทั้งสองภาพ เกิดเป็นความสวยงามที่ไม่มีใครเทียบได้

ในตอนท้ายของเพลง เสียงปรบมืออย่างอบอุ่นดังขึ้นจากผู้ชม

แฟนๆที่ตื่นเต้นนั้นร้องกันสนั่นว่า อีก

หลิวหรูยู่ยิ้มแล้วพูดว่า: “ร้องไม่ได้แล้วจริงๆค่ะ”

“เพราะต่อไป ฉันยังมีงานเลี้ยงขอบคุณในมื้อค่ำ นี่ก็สายไปมากแล้ว ทุกคนโปรดเข้าใจด้วยนะคะ—”

พูดจบ เธอกำลังจะกลับไปหลังเวที

วันนี้ร้องเพลงล่วงเวลาไปเยอะมาก และรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว

ด้านข้าง ผู้จัดการพี่หรงและฟู่เจียงผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเทียนยู่ มีเดีย ซึ่งเดินออกมาเตรียมที่จะรับหลิวหรูยู่กลับ

ในเวลาเดียวกันก็อำลากับแฟนๆ

งานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดไว้แล้วนั้น ไม่สามารถสายไปกว่านี้ได้อีกแล้วจริงๆ

ใครจะรู้ว่าเมื่อหลิวหรูยู่กำลังจะหันกลับไป สายตาก็ได้เผลอจับจ้องไปโดยไม่ตั้งใจ และทันใดนั้นก็เห็น ฉินเทียนที่นั่งถัดจากซูซู เธออดไม่ได้ที่จะสั่น

ในขณะนี้ ดวงตาที่สวยงามที่แต่เดิมดูอ่อนล้าเล็กน้อยดวงหนึ่ง จู่ๆก็ฉายแววเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่วร่างของเธอ

เธออ้าปากเล็กน้อยด้วยความตกใจ

ในวินาทีถัดมา เธอพูดด้วยรอยยิ้ม: “แม้ว่าจะร้องเพลงไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังสามารถเต้นได้อยู่”

“ทุกคนยังจำรำจิงหงได้กันไหม?”

เมื่อคำพูดประโยคนี้ออกมา ทำพี่หรงและฟู่เจียงบนเวทีตกตะลึง

และแฟนๆที่อยู่ด้านล่างก็เหมือนระเบิดขึ้นมา!

“จิงหง!”

“จิงหง!”

พวกเขาตะโกนพร้อมกัน

พี่หรงรีบพูดว่า: “เธอบ้าไปแล้วหรือไง? อยู่ดีๆ จะมารำจิงหงอะไร!”

“นั่นคือโชว์พิเศษของเธอ เธอจะมาเต้นมั่วซั่วได้ยังไง!”

ฟู่เจียงก็พูดด้วยความกังวล: “หรูยู่ รู้ว่าคุณรักแฟนๆของคุณ แต่ที่ให้ไปในวันนี้มันเพียงพอแล้ว”

“คุณเหนื่อยมากแล้ว หยุดเต้นได้แล้ว!”

“เรารีบไปกันเถอะ ยังต้องไปงานเลี้ยงอาหารค่ำอีก”