กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 881

ผู้คนจ้องมองกันไปมาอีกครั้ง

ซั่งกวนชิงกล่าวขึ้น “พี่น้องไป๋หลี่ สตรีนางนี้ไม่มีทางหนีรอดได้แล้ว เวลากระชั้นชิดนักเจ้าก็ปล่อยให้นางพูดเถิด”

“พี่น้องซั่งกวน เจ้าคิดว่าตระกูลไป๋หลี่ของข้าจะเก็บซ่อนความลับเรื่องดอกบัวศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”

“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นเลย ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์มีเพียงสองดอกเท่านั้น ผู้ที่มีความสามารถจะสามารถเอามันไปได้ นิกายแต่ละนิกายต่างก็อยู่กันที่นี่แล้ว เมื่อใดที่นางพูดออกมา เราต่างก็ไปแย่งชิงกันด้วยฝีมือของตน นั่นถึงจะยุติธรรม หากพานางไปที่ตระกูลไป๋หลี่และใช้วิชาลับต่อนาง หากคนอื่นๆ ได้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ไปก็ว่าไปอย่าง แต่หากตระกูลไป๋หลี่ของเจ้าได้ไปก่อนก้าวหนึ่ง เช่นนั้นเกรงว่าทั่วทั้งใต้หล้าคงจะกล่าวหาว่าตระกูลไป๋หลี่ขี้โกง เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

“เจ้า…”

ไป๋หลี่เฉิงหมดคำจะพูด

นังหนูตัวดี

จะตายอยู่ทนโท่ แต่กลับพูดยุได้อีก

นิกายแต่ละนิกายต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

ไม่มีใครอยากให้ตระกูลไป๋หลี่นำตัวกู้ชูหน่วนไป

เพียงแค่ไป๋หลี่เฉิงคนเดียวต่อกรกับทุกคนไม่ได้ จึงทำได้เพียงเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ

“แม่หนู…”

เซี่ยวอวี๋เซวียนขมวดคิ้วปมและส่ายหัวไปมา

ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองถูกเขากินไปหมดแล้ว

นางไปเอาดอกบัวศักดิ์สิทธิ์มาจากไหนอีก?

หากพวกเขารู้ว่าไม่ใช่ความจริงล่ะก็ เกรงว่านางคงจะตายเสียดีกว่า

“มีชีวิตอยู่ย่อมดีกว่าตาย”

กู้ชูหน่วนส่งสายตาไปรอบหนึ่งบ่งบอกว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้

เซี่ยวอวี๋เซวียนเพียงแค่อ้าปากก็กระอักเลือดออกมา

เขาบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นแม้หมอเทวดาจะจุติบนโลกก็มิอาจรักษาเขาได้

เพียงแต่หากยื้อเวลาได้นานเพียงใดก็ยื้อไว้นานเท่านั้น

หรือ…เยี่ยจิ่งหานอาจจะมาถึงในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้

ไป๋หลี่เฉิงกล่าว “ใช่ว่าเราไม่อยากปล่อยตัวเซี่ยวอวี๋เซวียนไปหรอก เพียงแต่เขาบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจลุกเดินได้”

“พวกเจ้าช่วยห้ามเลือดและรักษาเขาเบื้องต้นเสียก่อน จากนั้นค่อยส่งเขาไปให้เยี่ยจิ่งหาน หากเขาตาย พวกเจ้าอย่าแม้แต่จะคิดว่าจะได้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ไป”

“นี่แม่หนู เจ้าล้อพวกข้าเล่นหรืออย่างไร เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาบาดเจ็บหนักเพียงนั้น? ใครจะช่วยชีวิตเขาได้กัน?”

“ข้าไม่ได้ให้พวกเจ้ารักษาเขาจนหายทันทีเสียหน่อย พวกเจ้าเพียงแค่ทำตามสิ่งที่ข้าบอกเท่านั้น ส่วนที่เหลือพวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป”

ซั่งกวนชิงรีบสั่งให้คนไปตามหมอมาให้หมอเป็นคนรักษาเซี่ยวอวี๋เซวียนเอง

ด้านนอก ชายหนุ่มผู้มีรัศมีอันยิ่งใหญ่และมีอำนาจเดินเข้ามาภายใต้ความเคารพนับถือของทุกคน

ตัวของเขายังมาไม่ถึง แต่เสียงกลับดังแว่วเข้ามาก่อน

“ไม่ต้องลำบากไป ข้าจะทำการใช้วิชาค้นหาวิญญาณต่อหน้าทุกคนเอง”

“ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ ผู้นำตระกูลไป๋หลี่มาแล้ว”

ผู้คนต่างตะลึงงันและเปิดทางออกให้กับเขา ใบหน้าของไป๋หลี่เฉิงเผยท่าทางอารมณ์ดีใจออกมา

“คารวะผู้นำตระกูล”

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่โบกมือบ่งบอกว่าให้พวกเขาลุกขึ้น จากนั้นตนจึงมองกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี๋เซวียนที่หายใจลำบากด้วยสายตาอันเยือกเย็น แล้วพูดออกมาว่า “สร้างค่ายกล”

ผู้ถือธงทั้งแปดโบกธงและไม่รู้กำลังท่องอะไรอยู่ในปาก จากนั้นก็ก่อเป็นกระแสลมที่รุนแรงขึ้นท่ามกลางอากาศ

ดวงตาของกู้ชูหน่วนหรี่ลง “วันนี้เราต้องตายพร้อมกันจริงๆ หรือ?”

“เจ้ากลัวหรือไม่?” เซี่ยวอวี๋เซวียนจับมือนางกลับ

“มีอะไรต้องกลัวอีก เพียงแค่ไม่พอใจเท่านั้น ชีวิตนับร้อยชีวิตของตระกูลมู่ต้องตายไปเสียเปล่าเช่นนี้ ข้าไม่เพียงแต่ช่วยพวกเขาตามหามือสังหารไม่ได้ไม่พอ แม้แต่หนทางที่จะไปเก็บศพของพวกเขา ข้ายังไม่มีเลย”

เซี่ยวอวี๋เซวียนเจ็บปวดใจ

ใช่สิ

เขาไม่พอใจเช่นกัน

มือสังหารที่สังหารตระกูลเซี่ยวทั้งตระกูลนั่น จวบจนวันนี้แล้วยังไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้เลย

เผ่าเพลิงฟ้าก็ยังไม่ถูกทำลายจนสิ้นซาก

แม่สาวอัปลักษณ์ก็ยังไม่ฟื้นคืนชีพ

เขาเองก็มีหลายเรื่องที่ไม่พอใจเช่นกัน

“พวกเขา…ต้องเข้าใจเจ้าแน่”

เมื่อเห็นว่าค่ายกลกำลังจะสำเร็จแล้ว มือของเซี่ยวอวี๋เซวียนและนางประสานกันรอความตายที่จะมาถึง

กระแสวนยิ่งหมุนยิ่งเร็วขึ้น พลังอันยิ่งใหญ่ได้ดูดกลืนกู้ชูหน่วนเข้าไป และในขณะเดียวกัน ฝ่ามือของผู้นำตระกูลไป๋หลี่ก็ฟาดลงบนศีรษะของเซี่ยวอวี๋เซวียน

ผู้คนจ้องมองอย่างไม่ละสายตา

มีบางคนชมดูอย่างเพลิดเพลิน

มีบางคนตื่นเต้น

และมีบางคนรู้สึกสงสาร

มีผู้คนลักษณะมากมายเต็มไปหมด

ที่ต้องยอมรับคือ ทุกคนต่างต้องการดอกบัวศักดิ์สิทธิ์และรอให้เซี่ยวอวี๋เซวียนถูกฆ่า กู้ชูหน่วนถูกล้วงความจำ

“โครม…”

เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกับทำลายค่ายกลค้นหาวิญญาณด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ราวผืนทะเลอันกว้างใหญ่

“ชิ้ง…”

จู่ๆ ลำแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นสาดส่องตาผู้คนจนมิอาจลืมตาขึ้นได้

ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากราวกับสายฟ้าแลบ

และเพียงเวลาสั้นๆ นี้ ทำให้กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี๋เซวียนถูกพลังอันยิ่งใหญ่นั้นดึงดูดไป

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่รู้ตัวเป็นคนแรก

เขาจึงโจมตีด้วยแรงฝ่ามือ แต่ก็ถูกโจมตีกลับ ไม่สามารถต้านทานพลังที่ดึงดูดกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี๋เซวียนได้เลย

ซั่งกวนชิง ไป๋หลี่เฉิงและเจ้าสำนักอื่นๆ ก็รวมพลังฝ่ามือด้วย ต้องการจะดึงทั้งสองคนกลับมา

ทันใดนั้นเอง เสียงขลุ่ยดังขึ้น จิตสังหารก็ปรากฏ

เสียงขลุ่ยกลายเป็นดนตรีมรณะ ใบไม้สีเขียวเหี่ยวเฉาในทุกที่ที่เสียงดนตรีลอยผ่าน คนก็ถูกโจมตีจนกลายเป็นผุยผงเช่นกัน

ผู้คนต่างตะลึงงันและถอยกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน

หากมิใช่ว่าพวกเขาเคลื่อนไหวเร็ว มิเช่นนั้นคงได้ตายไปตั้งนานแล้ว

เป็นพลังที่แข็งแกร่งมากจริงๆ

ใครกัน ใครกันที่ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งสองไปได้?

ผู้คนรอบๆ ยังไม่ทันได้เห็นโฉมหน้าของเขาเลย กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี๋เซวียนก็ถูกนำตัวไปเสียแล้ว

นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามพวกเขาเหลือเกิน

“ตามไป…”

พวกเขาไม่เชื่อว่าคนมากมายเพียงนั้นจะทำอะไรเขาไม่ได้

พวกเขายิ่งไม่พอใจ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่ถึงมือแล้วกลับหายไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้

ตามไปเพียงไม่กี่ก้าว ทหารอารักขาในชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นสกัดกั้นผู้คนที่ไล่ตามมาเอาไว้ โดยมีเจี้ยงเสวี่ยเป็นหัวหน้า

เพราะว่าเจี้ยงเสวี่ยปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมเอาไว้ จึงไม่มีใครจำได้

“อยากฆ่าพวกเขาทั้งสองก็ข้ามศพพวกข้าไปเสียก่อน”

“พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงช่วยพวกมันได้”

“ไม่สามารถบอกได้”

“หยิ่งผยอง พวกเจ้าคิดอยากบาดหมางกับนิกายใหญ่แห่งรัฐปิงงั้นหรือ?”

“หึ…” เจี้ยงเสวี่ยหัวเราะเยาะ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืดอกเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เท่านั้น

ไป๋หลี่ป้ากล่าวเยาะเย้ยว่า “ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ฆ่าสถานเดียว”

ในจวนมู่ เสียงดินปืนดังขึ้น

เจี้ยงเสวี่ยและคนอื่นๆ ต่างมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจนัก ฝีมือถึงระดับสามขึ้นไปทุกคน

นิกายใหญ่แต่ละนิกายตระหนักได้ว่า

ทหารอารักขาชุดดำเหล่านี้ หากอยู่ในรัฐปิงของพวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอันดับสองอย่างแน่นอน

ทว่าพวกเขายินยอมที่จะเป็นทหารอารักขาผู้ต่ำต้อยเท่านั้น

คนพวกนั้นมาจากไหนกัน?

เหตุใดจึงมีฝีมือยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ได้?

รัฐปิงมียอดฝีมือมากเพียงนี้เลยหรือ?

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ขมวดคิ้ว และสั่งการผู้คนด้วยตนเองให้แบ่งทหารเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งไล่ตามพวกกู้ชูหน่วนไป อีกฝั่งหนึ่งให้สร้างค่ายกลสังหารทหารอารักขาพวกนี้ซะ

นอกจวนมู่

กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี๋เซวียนถูกดูดมายังรถม้าคันหนึ่ง

รถม้าแล่นอย่างรวดเร็ว

คนควบม้าก็คอยฟาดแส้อย่างต่อเนื่อง และคอยมองไปยังด้านหลังตลอดเวลา

ราวกับว่ามีคนไล่ตามมาจากด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น

ทั้งสองลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือชายหนุ่มผู้ส่งสักดิ์ที่สวมหน้ากากผีและนั่งอยู่บนรถเข็น

เมื่อเห็นเยี่ยจิ่งหาน เซี่ยวอวี๋เซวียนก็โล่งใจในทันที

เขาอดทนด้วยลมหายใจเฮือกนั้นมาโดยตลอด

บัดนี้ลมหายใจนั้นไม่มีแล้ว เซี่ยวอวี๋เซวียนจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป กลิ่นอายของเขาจึงได้ร่วงลงมาในทันที

กู้ชูหน่วนเองก็เพราะบาดเจ็บหนัก กลิ่นอายก็อ่อนแอตามไปด้วย

เยี่ยจิ่งหานขมวดคิ้วปม ประคองทั้งสองขึ้นประทับมือทั้งสองไว้บนแผ่นหลังของพวกเขาสองคน และถ่ายทอดกำลังภายในให้กับพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อช่วยเสริมพลังปราณแท้ให้พวกเขาพอประคองชีวิตได้

“จ๊ะ…”

ในค่ำคืนอันมืดมิดและเงียบสงบ ทำให้เสียงควบม้าดังชัดเจนในภูเขารกร้าง